ราชามารมองเขาเงียบๆ จ้องมองอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
ในรอยยิ้มของเขามองเห็นทั้งฟันและสีหน้าที่ซีดเผือด ทำให้เฉินฉางเซิงคิดถึงหิมะขาวโลหิตแดงสี่คำนี้ขึ้นมา
สุดท้ายราชามารก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก เขาบอกแต่เพียงว่า “เจ้ารู้แค่เพียงว่า ข้าถือกำเนิดและเติบโตที่ดินแดนแห่งนี้ก็พอ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงคำพูดนั้นที่หวังจือเช่อจดไว้ในสมุดบันทึก
…ตำแหน่งตรงข้ามกัน
ความหมายของราชามารชัดเจนยิ่งนัก ในเมื่อเขาอยู่ฝั่งนี้ อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนของฝั่งนั้น
นี่ฟังดูแล้วราวกับเป็นคำพูดไร้สาระ แต่ที่จริงแล้วมันกลับเป็นการแสดงออกที่สำคัญที่สุด
เฉินฉางเซิงมองเห็นความทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด มองเห็นความสงบนิ่งและเย็นชา เขาไม่ได้มองเห็นคำโกหกใดๆ ในแววตาของราชามาร
เขาเงียบอยู่นานก่อนเอ่ย “ในส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดินแดนเซิ่งกวง ข้ามีความคิดบางอย่าง”
เกิดความชื่นชมขึ้นวาบหนึ่งตรงส่วนลึกในดวงตาของราชามาร จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว
เขาเข้าใจเจตนาของเฉินฉางเซิง เนื่องจากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเองก็มีความคิดบางอย่างเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงระมัดระวังในตัวเฉินฉางเซิงยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นซางสิงโจวหรือว่าคู่สามีไป๋ตี้ รวมไปถึงคนชุดดำหรือผู้คุมกฎเผ่ามารต่อให้จะมีกลอุบายลึกลับซับซ้อน ยิ่งใหญ่ไร้ศัตรู ราชามารก็ล้วนไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เขายังเด็กนัก ยังมีเวลาอีกมากในการเติบโต และเนื่องด้วยยังเด็ก เขาจึงมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่ผู้อาวุโสหลายคนได้สูญเสียมันไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขาเผชิญหน้ากับเฉินฉางเซิงที่รุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง แล้วเขาก็เห็นถึงคุณสมบัติพิเศษนั้นในตัวของอีกฝ่ายเช่นกัน และนี่มันทำให้เขาค่อนข้างไม่สบายใจ
แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาต้องพบเจอกับความเป็นความตาย เนื่องจากการสนทนานี้ยังไม่จบลง หรือจะพูดได้ว่ามันพึ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
หากถึงตอนสุดท้ายแล้ว เฉินฉางเซิงยังคงไม่สามารถให้คำตอบที่ทำให้เขารู้สึกพอใจได้ อย่างนั้นก็ค่อยเจรจากันอีกที
“ท่านเคยคิดหรือไม่ ว่าจะมาร่วมมือกับข้าเพื่อจัดการเรื่องนี้”
ราชามารใช้น้ำเสียงสบายๆ ตั้งคำถามที่สำคัญอย่างแท้จริงของวันนี้ขึ้นมา
เฉินฉางเซิงไม่ได้ใช้เวลาคิดนานเลย เขาให้คำตอบว่า “ความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายหยั่งรากลึกเกินไป ผู้ใดก็ล้วนไม่มีสิทธิ์เจรจาให้เกิดสันติภาพ แม้กระทั่งความคิดนี้ก็ไม่สามารถมีได้”
ราชามารส่ายหน้าก่อนเอ่ย “ก็เหมือนกับคนอย่างถังซานสือลิ่ว แน่นอนว่าต้องไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากพวกเขาเป็นเพียงขุนนาง หากมีความคิดนี้ขึ้นมาเมื่อใด นั่นหมายถึงมีใจแปลกแยก แต่พวกเรานั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากพวกเราเป็นผู้ปกครอง พวกเราคือผู้นำที่นำพาพสกนิกรให้เดินไปข้างหน้า แน่นอนว่าพวกเราย่อมมีสิทธิ์เลือกทางเดิน”
เมื่อมองไปยังเกล็ดหิมะที่ละลายทันทีเมื่อร่วงหล่นลงบนกา เฉินฉางเซิงนึกถึงบทสนทนาในบ้านตระกูลถังที่เมืองเวิ่นสุ่ยเมื่อไม่นานมานี้
หิมะในวันนั้นก็ตกหนักเช่นนี้ หัวข้อที่พูดคุยกันก็เป็นหัวข้อเดียวกัน แม้จะไม่ได้เงียบขรึมเป็นพิเศษ แต่ก็หนาวเหน็บไปถึงกระดูก
ดินแดนในอนาคตควรจะเป็นอย่างไรเล่า ทั้งสามเผ่าพันธุ์ควรจะคบหาสมาคมกันด้วยความสัมพันธ์แบบใด คำถามเหล่านี้ ผู้มีความรู้และนักปราชญ์ไม่น้อยล้วนเคยขบคิดกันมาแล้ว
คำตอบนั้นถึงแม้ว่าจะค่อนข้างยากเอ่ยออกมา หากแต่ไม่ต้องอธิบายให้ชัดเจน ผู้ใดก็ล้วนทราบได้ แน่นอนว่ามันควรจะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นมา
แต่ว่าในบ้านตระกูลถังที่เมืองเวิ่นสุ่ยนั่นเอง ท่านผู้เฒ่าตระกูลถังเคยบอกไว้ ท่านแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้
ในเวลากว่าร้อยปีที่สามารถมองเห็นได้นี้ ล้วนเป็นไปไม่ได้
เฉินฉางเซิงนึกไปถึงการล้อมลั่วหยางในปีนั้น เขาเอ่ย “เผ่ามารนั้นกินมนุษย์”
ราชามารมองสบตาเขาก่อนเอ่ย “ข้าไม่กิน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ความเกลียดชังจะไม่สูญสิ้นไปเนื่องจากเหตุผลนี้ และคนจากเผ่าพันธุ์ของท่านจะไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นที่เป่ยฝาเพียงเพราะข้าไม่เคยสังหารชนกลุ่มน้อยของพวกท่าน”
ราชามารเอ่ยต่อ “เผ่าปีศาจสามารถลืมความเกลียดแค้นในปีนั้นได้ เหตุใดเผ่ามนุษย์จึงทำไม่ได้ มันเป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หรือบางทีอาจจะเป็นหลายปีให้หลัง ถึงจะสามารถลืมเลือนความเกลียดแค้นในปีนั้นได้จริงๆ แต่ตอนนี้มันยากยิ่งนัก ข้าเองก็ทำไม่ได้”
ราชามารเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เจ้าไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่เผ่าพันธุ์ของข้าต้องเดินทางลงใต้ ช่วงเวลาที่เจ้าอาศัยอยู่นั้นเผ่ามนุษย์รุ่งโรจน์ที่สุดแล้ว ข้าไม่เข้าใจว่าความเกลียดชังของเจ้ามาจากที่ใด”
“ข้าเคยอ่านหนังสือมากมาย หนังสือเหล่านั้นบันทึกเรื่องราวในปีนั้นเอาไว้มากมาย มีเรื่องหนึ่งในนั้นที่ข้าจำได้ไม่มีวันลืม”
เฉินฉางเซิงนึกถึงหนังสือประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก่อนหน้าที่เขาเคยเห็นในห้องเก็บหนังสือของสำนักฝึกหลวง เขาเงียบอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ในปีนั้นพี่เผ่ามารรุกรานแดนใต้ กำลังอำนาจรุนแรงดั่งเพลิงผลาญ บังเอิญกับในเวลานั้นเผ่ามนุษย์เกิดความวุ่นวายขึ้นภายใน จึงไร้อำนาจในการต่อกร อดีตแม่ทัพเทพหลี่สวินควบคุมทหารม้าเก่งกาจสามพันนายปกป้องด่านยงเสวี่ยเอาไว้ ในตอนนั้นเขาโดดเดี่ยวไร้แรงสนับสนุน แต่ยืนหยัดปกป้องไว้ได้นานถึงหนึ่งปีเต็ม จนกระทั่งเฉินเสวียนป้าปรากฏตัวขึ้น”
ดวงตาของราชามารหรี่ลงเล็กน้อย ความเยือกเย็นในแววตาพลันหายไปด้วย
การสู้รบปกป้องเมืองอันขึ้นชื่อนี้ ทั่วทั้งดินแดนไม่มีผู้ใดไม่ทราบเรื่อง แล้วหลังจากนั้นก็เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวางขึ้น ตราบจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงมีการโต้เถียงกันไม่หยุด แม้กระทั่งผู้อภิปรายเหล่านั้นในเมืองเสวี่ยเหล่าเองก็มักจะนำเรื่องนี้ขึ้นมาถกเถียงกันอยู่เสมอ จู่ๆ เฉินฉางเซิงยกเรื่องนี้ขึ้นมา เขามีเจตนาอันใด
“มิใช่การยืนหยัดปกป้อง แต่เป็นการป้องกันตัวตาย…”
เฉินฉางเซิงยื่นมือออกไปยกกาน้ำชาบนเตาขึ้นมา เขารินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย
หลังจากนั้นเขามองไปยังเกล็ดหิมะที่ละลายตกลงไปในถ้วยชา เงียบขรึมอยู่นาน
ด่านยงเสวี่ยในปีนั้นอาจจะมีหิมะฤดูหนาวอย่างนี้ตกอยู่ทุกวัน เหล่าทหารเหล่านั้นและประชาชนจะมีน้ำชาร้อนๆ เช่นนี้หรือไม่
แน่นอนว่าต้องไม่มีแน่ เนื่องจากเสบียงอาหารล้วนหมดไปแล้ว แม้แต่เปลือกของต้นไม้ก็ถูกปอกออกมาจนหมดสิ้น มันแย่กว่าการถูกล้อมที่ลั่วหยางเสียอีก
เมื่อเฉินเสวียนป้านำทัพทหารม้าขับไล่ทหารสุนัขป่าจากเผ่ามารไป แล้วเข้าสู่ด่านยงเสวี่ย สิ่งที่เขามองเห็นก็คือภาพของนรกบนดิน
เหล่าทหารกล้ากว่าสามพันนายสุดท้ายมีชีวิตหลงเหลือเพียงสี่ร้อยนาย ผู้หญิงและเด็กที่อยู่ในเมืองล้วนเสียชีวิตไปจำนวนมาก และเป็นที่ร่ำลือกันว่าทั้งหมดถูกเผ่ามารกินไปมากโข
และผู้ที่ลงมือสังหารสนมของตนเอง แล้วเฉือนเนื้อของนางแบ่งให้กับเหล่าทหารก็คือหลี่สวิน ผู้ขึ้นชื่อว่ามีความเมตตากรุณา
เรื่องนี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งพันปีต่อมา เรื่องนี้ก็ยังคงถูกอภิปรายอยู่
คนเหล่านั้นในปีนั้นก็คงยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นถูกหรือผิด
ต้องรักษาด่านยงเสวี่ยไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นทหารสุนัขป่าจากเผ่ามารก็จะสามารถบุกรุกเข้ามาได้ มันนำมาซึ่งการคุกคามถิ่นที่อยู่ของเผ่ามนุษย์
เมืองเทียนเหลียงก็ไม่มีโอกาสได้หายใจอีกต่อไป เผ่ามนุษย์แทบจะไม่มีโอกาสอยู่รอดได้เลย
แต่เมื่อทำอย่างนี้แล้วก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้วหรือ
ต่อให้เป็นบัณฑิตที่เกลียดชังเผ่ามารเป็นที่สุด ต่อให้เป็นเฉินเสวียนป้าที่เคารพรักหลี่สวินที่สุด เมื่อเจอคำถามนี้เข้าก็คงทำได้แค่นิ่งเฉยเสีย
แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หลายคน ไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบอีกต่อไป
เมื่อการปิดล้อมด่านยงเสวี่ยถูกตีพ่าย หลี่สวินก็ฆ่าตัวตายในที่แห่งนี้ ตั้งแต่รองแม่ทัพไปจนถึงเหล่าทหารยศต่ำที่สุดต่างก็เสียชีวิตอยู่ในสนามรบไปกว่าหนึ่งพันคน
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับราชามารว่า “ข้าไม่รู้ว่าควรจะตัดสินเขาอย่างไร เผ่ามารกินคน พวกเขาเองก็กินคน แล้วที่เขากินเข้าไปก็คือเพื่อนร่วมชาติของตน แต่หากพวกเขารักษาด่านยงเสวี่ยเอาไว้ไม่ได้ ก็คงจะมีมนุษย์มากกว่านั้นถูกพวกท่านกินไป”
ราชามารเอ่ย “ดังนั้นเจ้าถึงได้เกลียดชังเผ่าพันธุ์เทพของข้ามากถึงเพียงนี้หรือ”
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้พูดให้ชัดแจ้ง นี่มิใช่เกลียดชัง”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “ข้าเพียงแค่ต้องต่อสู้เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงขึ้นกับเผ่ามนุษย์อีกต่อไป และข้าก็จะไม่ตัดสินเรื่องนี้อีกต่อไปเช่นกัน”
ความหมายคำพูดของเขานี้ชัดแจ้งยิ่งนัก
หากในประวัติศาสตร์ต่อไป ภายภาคหน้ายังเกิดโศกนาฏกรรมที่ยากจะตัดสินอย่างนี้อีก ถ้าอย่างนั้นเขาก็หวังว่ามันจะเกิดในฝั่งของเผ่ามาร ไม่ใช่เผ่ามนุษย์