เฉินฉางเซิงมิใช่ซางสิงโจว เขาไม่ได้มีปณิธานหรือความตั้งใจกำจัดเผ่ามารให้ราบคาบ แต่เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
เขาคาดหวังให้เผ่ามารอ่อนแอลงไปจนถึงที่สุด และภายในระยะเวลาอันยาวนานที่สามารถมองเห็นได้ จะไม่กล้าเกิดความคิดอื่นใดต่อเผ่ามนุษย์อีก
ท่าทางของราชามารสงบนิ่งๆ ยิ่งนัก ไม่มีความโกรธใด เขาเอ่ย “หลังจากนั้นพวกเจ้าก็จะทำมาค้าขายกับพวกข้า ราชวงศ์ของทั้งสองเผ่าพันธุ์สามารถสมรสกันได้ พวกเจ้าก็จะบังคับไม่ให้ใช้ตัวอักษรและภาษาของเผ่าเทพ เหลือไว้เพียงภาพวาดและรูปเคารพเหล่านั้นหรือ ช่างบังเอิญยิ่งนัก ที่จริงมันก็เป็นความคิดของข้าเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงมองไปยังน้ำชาที่ค่อยๆ จับตัวเป็นน้ำแข็ง มิได้เอ่ยความใด
ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงราคา เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอะไรใหม่อยู่แล้ว
การสนทนานี้อาจจะสิ้นสุดลงตรงนี้ ไม่มีความเป็นไปได้ในการดำเนินต่อไปอีกแล้ว
ราชามารถามต่อว่า “ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่อความคิดของเจ้ามั่นคงถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมาพบกับข้า”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เนื่องจากข้าต้องการรู้ว่าเหตุใดท่านจึงต้องการพบข้า”
ราชามารสบตากับเขาก่อนเอ่ย “ต่อให้เจ้าไม่ยินดีเจรจา แต่เราก็ยังสามารถร่วมมือกันได้”
ไม่มีทางเจรจา แต่สามารถร่วมมือกันได้ อย่างนั้นก็คงต้องพุ่งเป้าไปยังบุคคลที่สาม
นี่ก็คือเรื่องที่เฉินฉางเซิงคิดไม่ตกที่สุดก่อนจะมาที่นี่
สถานการณ์ตอนนี้ก็คือ เผ่าปีศาจตัดสินใจร่วมพันธมิตรกับเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาพุ่งเป้าไปที่เผ่ามนุษย์
ความร่วมมือที่ราชามารเอ่ยถึงในเวลานี้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน หรือเขารู้สึกว่ามู่ฮูหยินไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว เผ่าปีศาจสุดท้ายแล้วยังคงต้องการร่วมเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์หรือ
หากเป็นเช่นนี้จริง เฉินฉางเซิงจะร่วมมือกับเขาด้วยเหตุผลอันใดกันเล่า
“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว”
ราชามารเงยหน้าขึ้นมองหิมะที่ตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับขนห่าน ก่อนเอ่ยขึ้น “คืนนั้นเมื่อสี่วันก่อน กลิ่นของทั้งเมืองไป๋ตี้ก็เปลี่ยนไป”
เฉินฉางเซิงทราบว่ามันคือเรื่องอะไร เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องเสียใจ”
ราชามารส่ายหน้าก่อนเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิขาวกำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าก็ไม่รู้”
เฉินฉางเซิงสังเกตได้ว่า คนที่เขาพูดถึงคือจักรพรรดิขาว มิใช่มู่ฮูหยิน
ราชามารเอ่ยว่า “ข้าสงสัยมาตลอดว่าจักรพรรดิขาวกำลังแกล้งทำเป็นนอนหลับ”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาอาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
ราชามารมองเขาก่อนจะเอ่ยอย่างยิ้มเยาะว่า “ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามเจ้ามักเคยชินคิดไปในแง่ไม่ดีหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “นี่ข้ากำลังคิดไปในทางที่ดีอยู่”
ทั้งสองคนล้วนเข้าใจในความหมายของอีกฝ่าย
ราชามารเอ่ยว่า “เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก บุคคลใดก็ตามที่ดูแคลนจักรพรรดิขาวล้วนจะได้รับการลงโทษ หรือแม้แต่รวมไปถึงบิดาผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นของข้าก็เช่นกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หากว่าจักรพรรดิขาวไม่ได้กำลังได้รับบาดเจ็บแล้วถูกคุมขังไว้ อย่างนั้นเขาจะปิดบังคนทั้งโลกด้วยเหตุใดกันเล่า”
ราชามารเอ่ย “แน่นอนว่านี่คือการนั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน…อย่าลืมไปเสียว่า เขานั่นแหละคือเสือตัวที่ดุร้ายที่สุดในโลกนี้ เย็นชาทั้งยังชั่วร้าย”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ราวกับว่าท่านกำลังเกรงกลัวเขา”
“ผู้อาวุโสล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น มันมีกลิ่นอายของความเน่าเหม็น”
ใบหน้าของราชามารมีความรู้สึกเกลียดชังเปิดเผยออกมา ราวกับว่าเขาได้กลิ่นอะไรที่ทนไม่ได้เข้าจริงๆ
เฉินฉางเซิงเอ่ย “นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย”
ราชามารสบตาตาเขา ก่อนเอ่ย “พวกเราล้วนแล้วแต่กำลังแบกเปลือกนอกที่แสนจะหนักหนาเอาไว้อยู่ ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปด้านบนทีละก้าวๆ อย่างนี้มันเหนื่อยยิ่งนัก”
เฉินฉางเซิงเงียบอีกครั้ง
สีหน้าของราชามารเข้มขึ้นหลายส่วน “พวกเราช่วยเหลือกันและกัน นำเอาเปลือกนอกที่หนักหนานั้นถอดออกเสีย ดีหรือไม่”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาก่อนเอ่ย “ท่านอยากให้ข้าประทุษร้ายอาจารย์หรือ”
“แล้วนั่นมันจะเป็นอย่างไรเล่า แม้แต่บิดาของข้าเองข้ายังสังหารแล้วเลย นับประสาอะไรกับอาจารย์ท่านนั้นที่เป็นเสียสติไปแล้วเล่า”
สีหน้าของราชามารมีความประหลาดใจ เขาเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจเลย เหตุใดเขาต้องไม่ถูกชะตาเจ้าด้วย”
เฉินฉางเซิงไม่ได้อธิบายอันใด นี่เป็นปัญหาระหว่างตัวเขากับซางสิงโจว ไม่ควรค่าให้คนนอกรู้
“ลำพังแค่ตัวเจ้าเอง ไม่สามารถสังหารซางสิงโจวได้แน่นอน”
ราชามารเอ่ย “ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ รอให้บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนสิ้นเสียให้หมด ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมาสู้กัน มันจะไม่สาแก่ใจกว่าหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หากข้าต่อสู้กับอาจารย์ของข้า เผ่ามารจะต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุดแน่นอน”
ราชามารเอ่ย “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี ดังนั้นก่อนถึงเวลานั้น ข้าเองก็จะแสดงความจริงใจของข้าด้วยเช่นกัน”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ ต่อให้เฉินฉางเซิงมันไม่เคยมีความคิดทางด้านนี้มาก่อน ก็ตกใจจนพูดไม่ออกอย่างอดไม่ได้
ในทุ่งหิมะของดินแดนเผ่ามารทางทิศเหนือ ผู้ใดจะมีความสำคัญเท่าเทียมกับซางสิงโจวอีกเล่า
เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ราชามารกลับเตรียมตัวแตกหักกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ช่วยเขาแย่งชิงบัลลังก์ หรือเป็นแม้กระทั่งศิษย์พี่เลยทีเดียว
คาดไม่ถึง ทั้งยังยากจะเชื่ออีกด้วย ความรู้สึกและอารมณ์เหล่านี้ล้วนปรากฏออกมาในแววตาของเขา
ราชามารทราบดีว่านี่อาจเป็นการยากที่จะโน้มน้าวอีกฝ่าย แต่เขาเองก็ไม่สามารถเอ่ยพูดเหตุผลออกมาได้
“ถ้าหากเจ้าตกลง ข้าก็จะไม่แย่งชิงสวีโหย่งหรงและลูกศิษย์สาวผู้นั้นของเจ้า ข้ายังสามารถยกน้องสาวข้าให้เจ้าได้อีกด้วย”
ราชามารมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนจะอมยิ้มแล้วออกมาว่า “ถึงอย่างไรนางก็ล้วนอยู่กับเจ้าที่นั่น”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ เขาเอ่ย “ท่านต้องการอะไรกันแน่”
ราชามารเอ่ย “สิ่งที่ข้าต้องการนั้นข้าได้พูดไปหมดแล้ว หากต่อไปในภายภาคหน้าเจ้าได้ตัดสินใจอะไรลงไป ลองส่งจดหมายบอกข้าดูบ้าง”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “จดหมายรึ”
ราชามารเอ่ย “ในปีนั้นทงกู่ซือและใต้เท้าสังฆราชในสมัยนั้นมักจะแลกเปลี่ยนจดหมายกันเสมอ พวกเราเองก็สามารถลองแลกเปลี่ยนจดหมายดูสักหน่อย”
เฉินฉางเซิงคิดพลางเอ่ย “หากพวกเราทั้งหมดสามารถมีชีวิตรอดออกจากเมืองไป๋ตี้ได้ ข้าจะตอบจดหมายเจ้า”
ใช่แล้ว การมีชีวิตอยู่คือเงื่อนไขของเรื่องราวทั้งหมด
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในเมืองไป๋ตี้มีอันตรายซ่อนอยู่มากมายเท่าใด รู้แค่เพียงว่าระหว่างพวกเขาล้วนคือการคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างกัน
ไม่ว่าในการสนทนาครั้งนี้จะเอ่ยถึงเรื่องเจรจา ร่วมมือ ช่วยเหลือ หรือแม้แต่มิตรภาพมากเท่าใด
หากมีโอกาสแล้วละก็ พวกเขาต่างก็คงไม่ลังเลสังหารอีกฝ่ายเป็นแน่
อย่างเช่นเวลาในตอนท้ายของการสนทนาเช่นนี้
หิมะยังคงตกไม่หยุด
ต้นไม้ต้นนั้นที่เป็นต้นเดียวในบ้านได้กลายเป็นสีขาวโพลนเสียแล้ว
สีสันเดียวในตอนนี้มาจากเตาเผาเล็กๆ นั้น
เนื่องจากเตาเผานั้นและกาน้ำชากำลังเดือด ทั้งยังไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด น้ำในกานั้นกลับไม่ได้แห้งลงเลย
เฉินฉางเซิงและราชามารไม่ได้เอ่ยอะไรต่อกันอีก ต่างก็นั่งลงอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน ไม่นานจึงค่อยๆ กลายเป็นตุ๊กตาหิมะสองตัว
……
……
ภายนอกตัวบ้านนั้นมีตุ๊กตาหิมะนับไม่ถ้วน
ที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นคือหัวหน้าเผ่าของเผ่าปีศาจทั้งหลาย แล้วยังมียอดฝีมือที่มีความสามารถแก่กล้าอยู่หลายคน
บนถนนรถแล่นใกล้กำแพงหิน กลับมีนักรบเดนตายของเผ่าเซี่ยงกว่าร้อยคน ภายใต้การนำทัพของเซี่ยงชิวต่างก็เฝ้ามองไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงยืนอยู่ด้านหน้าสุด เขาได้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งที่สูงตระหง่านไปเสียแล้ว
แต่เขาไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ใกล้ตัวบ้านมากที่สุด
ที่อยู่ใกล้ตัวบ้านมากที่สุดคือรถมาห้าคันนั้น มุขนายกของอารามเต๋าซีหวงและนักบวชทั้งหลายต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังรถม้าพร้อมแสดงความเคารพอย่างสูงสุด
นอกจากรถม้าห้าคันนี้ ด้านนอกบ้านยังมีกลุ่มคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอีกด้วย
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีนักการในศาลว่าการ มีแม่นางที่ขายเครื่องประทินโฉม มีผู้ตรวจดวงชะตา มีผู้เฒ่าที่ขายลูกอมงา แล้วยังมีนักเล่นพิณตาบอดอีกด้วย
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงจับจ้องไปยังนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้น เขามีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจ เขาถือเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้นแล้ว เหตุใดจึงมองไม่ออกถึงเรื่องตื้นลึกหนาบางของนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้เล่า
ถ้าอย่างนั้นในรถมาทั้งห้าคันนั้นเป็นผู้ใดกันอีกเล่า