บึ้ม!
กัปตันทีมถุงมือแดง เอริค ผู้กำลังตื่นตัวอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะร่างกายสั่นเทา หลังจากเห็นศีรษะของนักมายากลพเนจรนามว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิสระเบิดต่อหน้ากล้องดูดาว
อย่างไรก็ดี ฉากตรงหน้ากลับไม่มีเลือดสาดกระเซ็น แขนขาที่ขาดกระจายหายไปในอากาศประหนึ่งฟองสบู่
“…” เอริคและสมาชิกในทีมต่างพากันตกตะลึง พวกมันไม่เข้าใจเบื้องหลังของพัฒนาการตรงหน้า
วินาทีถัดมา เอริคกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“ถอย!”
มันต้องการอพยพสมาชิกในทีมออกจากหอพักก่อนที่อันตรายจะก่อตัว
ทันใดนั้นเอง อีกร่างหนึ่งกำลังเดินมาจากประตูห้อง 403 ซึ่งเปิดอยู่ ไม่ใช่ใครนอกจากเมอร์ลิน·เฮอร์มิสที่เพิ่งระเบิดไปเมื่อสักครู่
นักมายากลพเนจรรายนี้ยังคงแต่งกายด้วยหมวกทรงสูงและชุดคลุมสีดำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อีกฝ่ายกล่าวกับเอริคและสมาชิกในทีม:
“ต้นตอของปัญหาคือกล้องดูดาวอย่างที่คิด”
ขณะกล่าว ไคลน์เดินไปทางระเบียงพลางเคาะกล้องดูดาวด้วยมือขวา
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง กล้องดูดาวแตกกระจายกลายเป็นจุดแสงโลหะซึ่งอัดแน่นไปด้วยแก๊สสีดำที่มีกลิ่นเหม็น
หลังจากหมอกสีเทาปรากฏขึ้นและจางหายไป กลิ่นเหม็นก็หายไปพร้อมกัน บรรยากาศภายในห้องกลับสู่สภาพปรกติ
“…เกิดอะไรขึ้น?” เอริคบังคับตัวเองให้ลืมการตายของอีกฝ่าย เอ่ยปากถามด้วยความระมัดระวัง
ในฐานะหัวหน้าหน่วยถุงมือแดงผู้มากประสบการณ์ มันพอจะคาดเดาบางสิ่งได้ จึงถามเพื่อขอข้อมูลสนับสนุน
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“สรุปโดยสั้น กล้องดูดาวตัวนี้เกิดการกลายพันธุ์ด้วยสาเหตุบางอย่าง ทำให้เจ้าของห้องมองเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น… หากคุณต้องการทราบรายละเอียดอย่างแน่ชัด ลองสืบสวนในเชิงลึกดู ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เอริคพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องสมาชิกในทีม ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนทำการสืบสวนต่อ
ผ่านไปสักพัก เอริคกล่าวกับเมอร์ลิน·เฮอร์มิส
“ในห้องนี้มีเบาะแสไม่มาก พวกเรายืนยันได้เพียงไม่กี่เรื่อง… ประการแรก จอห์นเป็นคนท้องถิ่นและเคยเข้าร่วมสงคราม และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสาเหตุซึ่งทำให้เขาเกิดอาการทางจิต ประการที่สอง เขาเป็นนักดาราศาสตร์สมัครเล่น หลงใหลสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็ก หลังสงครามจบลง จอห์นเข้าร่วมองค์กรเชิงวิชาการที่ชื่อ ‘สัมมนาดาราศาสตร์’ แต่ทางเราไม่เคยสืบเรื่องขององค์กรนี้มาก่อน ประการที่สาม ดูเหมือนว่าจอห์นกำลังค้นหาวิธีทำให้ตัวเองมองเห็นอวกาศที่แท้จริง”
ขณะพูดคำว่าอวกาศ เอริคชะงักไปเล็กน้อย ประหนึ่งได้รับคำเตือนมาจากเบื้องบนของโบสถ์รัตติกาล
เข้าร่วมองค์กรที่ชื่อสัมมนาดาราศาสตร์หลังจบสงคราม… กำลังค้นหาวิธีทำให้ตัวเองมองเห็นอวกาศที่แท้จริง… ไคลน์ผนวกข้อมูลเข้ากับประสบการณ์ซึ่งสั่งสมจนถึงปัจจุบัน จนเริ่มมั่นใจในบางสิ่ง มันพยักหน้ารับ:
“พวกคุณคงทราบอยู่แล้วว่าอวกาศนั้นอันตราย อย่าพยายามทำความเข้าใจมัน”
“พวกเราจะรีบรายงานสิ่งนี้ต่อท่านอาร์ชบิชอป และยกระดับ ‘สัมมนาดาราศาสตร์’ ให้เป็นองค์กรอันตราย” เอริคพูดราวกับกำลังรายงานต่อเหยี่ยวราตรีระดับสูงซึ่งไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาสายตรงของตัวเอง
ไคลน์ไม่ตอบสนอง เพียงถอนหายใจและเดินไปทางประตู
“สงครามทำให้ทุกชนชั้นได้รับผลกระทบที่ไม่มีวันหวนคืน…”
หลังจากเทพสงครามร่วงหล่น บาเรียของมหาต้นกำเนิดซึ่งสั่นคลอนเป็นทุนเดิม ยิ่งสูญเสียการสนับสนุนไปบางส่วน ในขณะเดียวกัน เทพธิดารัตติกาลก็ยังปรองดองกับเอกลักษณ์ดังกล่าวไม่เสร็จ ไม่มีทางทราบแน่ชัดว่าพระองค์จะกลายเป็น ‘วันวาน’ ได้ตอนไหน ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว การกัดกร่อนจากเทพภายนอกจะยิ่งทวีความรุนแรง และนั่นผสมปนเปเข้ากับบาดแผลจากสงคราม จนผู้คนรากหญ้าได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง…
ไคลน์เชื่อว่า ขณะความเสียหายจากสงครามกำลังถูกฟื้นฟู คงมีองค์กรลับหรือลัทธิจำนวนมากซึ่งนับถือ ‘อวกาศ’ และเทพภายนอกถือกำเนิดขึ้นอย่างเงียบเชียบไปทั่วโลเอ็น หากปล่อยให้พวกมันเหิมเกริมและเผยแผ่ความเชื่อเป็นวงกว้าง มีโอกาสมากที่วันสิ้นโลกจะมาถึงเร็วกว่ากำหนด
ถอนหายใจแผ่วเบา ชายหนุ่มย่างกรายออกจากห้อง 403 ด้วยร่างกายที่จางลงอย่างรวดเร็วก่อนจะเลือนหายไป
ภายในโรงแรมใกล้กับถนนไพรอาร์ ไคลน์ซึ่งเช็กอินไว้แล้ว หยิบกาแฟตรงหน้าขึ้นมาจิบ
ในขณะยังเช้าตรู่ ชายหนุ่มตัดสินใจออกไปข้างนอก นั่งรถม้าไปยังย่านชานเมืองริมแม่น้ำคอนสแตน
ที่นี่คือสุสาน มีป้ายหลุมศพหินตั้งเรียงรายประหนึ่งผืนป่าเตี้ย
ไคลน์เดินเข้าไปในสุสานจนกระทั่งพบหลุมศพหนึ่งโดยอาศัยการนำทางจากสัมผัสวิญญาณ
ชื่อบนป้ายหลุมศพก็คือ:
“เวิร์ช·แมคโกเวิน”
นี่คืออดีตเพื่อนร่วมชั้นของไคลน์สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เป็นเพราะชายคนนี้ซื้อสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสมาศึกษาจนเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาภายในเมืองทิงเก็น ‘การเดินทางข้ามโลก’ ของโจวหมิงรุ่ยจึงเริ่มต้นขึ้น
บิดาของเวิร์ชเป็นนายธนาคารในเมืองคอนสแตน มันยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อลำเลียงศพของลูกชายกลับมายังบ้านเกิดและฝังไว้ในสุสาน
ไคลน์จ้องรูปถ่ายบนป้ายหลุมศพสักพัก โน้มตัวลง วางช่อดอกไม้สีขาวลงด้านหน้าหลุมศพเวิร์ช
ขณะเตรียมหันหลังและเดินกลับ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า ราวยี่สิบถึงสามสิบวินาทีถัดมา ชายชราถือไม้ค้ำสีดำเดินเข้ามาจากอีกฝั่ง
ไคลน์จดจำอีกได้ฝ่าย นี่คือบิดาของเวิร์ช นายธนาคารแห่งแคว้นเลียบทะเลผู้เคยเชิญไคลน์และเพื่อนร่วมรุ่นของเวิร์ชอีกหลายคนไปรับประทานอาหารที่บ้าน
แต่เมื่อเทียบกับไม่กี่ปีก่อน สุภาพบุรุษคนนี้ชราลงไปมาก ทั้งที่เคยเป็นสุภาพบุรุษวัยกลางคนกระฉับกระเฉง แต่ปัจจุบันมีผมสีขาวปกคลุมไปกว่าครึ่งศีรษะ บริเวณหางตา มุมปาก และหน้าผากเต็มไปด้วยรอยย่น
“คุณเป็นใคร?” พ่อของเวิร์ชจ้องชายแปลกหน้า ถามด้วยความสงสัยเจือระแวง
ไคลน์ถอนหายใจ
“มิสเตอร์แมคโกเวิน ผมเป็นเพื่อนของเวิร์ช บังเอิญแวะมาทำธุระที่เมืองคอนสแตนเมื่อไม่นานมานี้”
บิดาของเวิร์ชพยักหน้า กล่าวเสียงต่ำ
“เด็กคนนั้นมีเพื่อนมากมาย ผมรู้จักแค่บางส่วนเท่านั้น”
ความนัยแฝงก็คือ มันต้องการสื่อว่าเหตุใดตนถึงไม่ได้เชิญชายตรงหน้ามาร่วมงานศพ และค่อนข้างรู้สึกผิดในเรื่องนี้
ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงมองไปรอบตัว:
“มีอะไรให้ผมช่วยไหม? หรือมีความปรารถนาใดที่ต้องการเติมเต็ม? ผมอยากช่วยเท่าที่ทำได้”
พ่อของเวิร์ชมองไปรอบตัวก่อนจะยิ้มขื่นขม
“ทำให้คนตายที่นี่ลุกขึ้นมาอีกครั้งได้ไหม?”
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… แต่ผลลัพธ์คงไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณกำลังจินตนาการ… ไคลน์ถอนหายใจพลางส่ายหน้า
“เช่นนั้นแล้ว คุณช่วยทำให้คอนสแตนกลับสู่สภาพเดิมได้ไหม” พ่อของเวิร์ชเปลี่ยนคำขอด้วยใบหน้าซึ่งยังคงขื่นขม
โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ มันถอนหายใจและกล่าว
“คุณไม่ต้องช่วยผมหรอก สิ่งใดที่พอจะทำได้ ผมสามารถทำเองได้ แต่ถ้าสิ่งใดทำไม่ได้ ทางเลือกเดียวคงเป็นการวิงวอนต่อพระองค์”
ขณะกล่าว นายธนาคารเดิมผ่านไคลน์ไปยังหน้าหลุมศพบุตรชาย โน้มตัวลงและวางช่อดอกไม้สีขาวในมือ
ไคลน์จ้องแผ่นหลังอีกฝ่ายพลางกระซิบกระซาบ:
“ผมจะทำเท่าที่ทำได้”
กล่าวจบ มันหันหลังและเดินออกจากสุสาน
…
เมืองคอนสแตน ภายในผับที่ตกแต่งสไตล์โบราณ
ชายคนหนึ่งซึ่งห่อร่างกายด้วยแจ็คเก็ตตัวหนา ถือเดินเบียร์ไปทางเคาน์เตอร์บาร์ กวาดสายตาไปทั่วแผ่นกระดาษเพื่อหางานพาร์ตไทม์ทำ
ทันใดนั้นเอง มันพบคำว่าจ้างสุดประหลาด:
“ผมเป็นนักข่าว ต้องการรวบรวมเรื่องราวสงครามจากหลากหลายผู้คน จะเป็นการดีถ้าคุณเคยเผชิญเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตัวเอง ค่าจ้างคือการช่วยซ่อมแซมหรือสร้างบ้านใหม่ให้โดยไม่คิดเงิน ผมมีความสามารถพอที่จะทำเช่นนั้น… เมอร์ลิน·เฮอร์มิส”
ชายคนดังกล่าวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ภายในใจรู้สึกว่านี่เป็นคำว่าจ้างที่ฟังดูพิลึกเกินไป ประหนึ่งเป็นเพียงการกลั่นแกล้ง
“คุณอ่านมันออกหรือ? ให้ช่วยไหม?” ชายร่างผอมซึ่งนั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ด้านข้างถือโอกาสถาม
ในหมู่ลูกค้าผับ มีคนจำนวนไม่มากที่อ่านออกเขียนได้ ดังนั้นแม้พวกมันจะเข้าผับมาเพื่อหางานทำ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่เข้าใจข้อความบนป้ายประกาศ และบาร์เทนเดอร์เองก็จำได้เฉพาะงานซึ่งมีค่าตอบแทนสูงเพียงไม่กี่ชิ้น
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ชายร่างผอมจึงพาตัวเองไปเรียนในโรงเรียนการกุศลเพื่อให้เข้าใจศัพท์พื้นฐานของโลเอ็น จากนั้นก็มาคอยทำหน้าที่แปลข้อความบนป้ายประกาศในผับด้วยราคา 0.25 เพนนีต่อครั้ง
มันดำรงชีวิตด้วยสิ่งนี้
ชายคนแรกส่ายศีรษะเป็นนัยว่าเข้าใจภาษาโลเอ็น ก่อนจะชี้ไปทางคำว่าจ้างของเมอร์ลิน·เฮอร์มิสและถาม:
“นี่ของจริงหรือ?”
“ใช่ นักข่าวนั่งอยู่ในมุมนั้น คนที่สวมหมวกทรงสูง” ชายร่างผอมชี้ไปยังทิศทางหนึ่งอย่างกระตือรือร้น
นักข่าวคนดังกล่าวสัญญากับมันว่า จะจ่ายเงิน 0.25 เพนนีทุกครั้งที่ชายร่างผอมแนะนำลูกค้าให้
ชายถือเบียร์ปิดปากเงียบ ลังเลราวสิบวินาทีก่อนจะเดินไปยังมุมหนึ่งเพื่อพบกับนักข่าวนามว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส
“ค…คุณจะช่วยผมสร้างบ้านใหม่จริงหรือ” มันถามด้วยความกังวล
ไคลน์ชี้ไปยังเอกสารซึ่งวางบนโต๊ะกลมตัวเล็ก ตามด้วยกล่าว
“จะให้เซ็นสัญญาก็ได้”
“…ไม่จำเป็น แค่ให้วัสดุมาบางส่วนก็พอแล้ว” ชายคนดังกล่าวนั่งลงฝั่งตรงข้ามไคลน์และกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรื่องราวของผมไม่ได้กินใจหรือซาบซึ้งอะไรนัก”
“แค่จริงก็พอ” ไคลน์พยักหน้าให้เล่าต่อ
ชายคนดังกล่าวก้มหน้าจ้องโต๊ะก่อนจะพูด
“ผมเป็นคนคอนสแตน เคยมีหน้าที่การงานมั่นคง ซื้อบ้านแถวหลังหนึ่งบนถนนน้ำนิ่ง ในภายหลัง สงครามปะทุขึ้นจนบ้านของผมกลายเป็นซากปรักหักพังจากการทิ้งระเบิด ลูกชายคนโตของผม เด็กน้อยที่เพิ่งเข้าโรงเรียนประถม… ถูกฝังอยู่ภายในนั้น… พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเช่าหอพักสองห้องนอนเพื่ออาศัยชั่วคราว จนกระทั่งกองทัพฟุซัคเข้ายึดครองคอนสแตน พวกมันลากภรรยาของผมไป… และเธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย… ผ่านไปสักระยะ ใครบางคนบอกให้ผมไปช่วยยืนยันศพ แต่ผมจำเธอไม่ได้ ศพเน่าจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ในกระเป๋าเสื้อที่เธอสวมยังมี… บิลค่าน้ำของพวกเรา… ในตอนที่เราเช่าหอพัก เธอมักบ่นคิดถึงบ้านหลังเก่า เช่นเดียวกันกับลูกสาวตัวน้อยของผม… ตอนนี้ผมไม่มีเงินมากพอเพราะลำพังการประทังชีวิตไปวันๆ ก็ยากพอแล้ว แต่ผมอยากสร้างบ้านหลังนั้นกลับมาใหม่ทีละนิด… ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ชอบเที่ยวไปเล่าเคราะห์กรรมของตัวเองให้ใครฟัง สู้เงียบเอาไว้คงดีกว่า แต่ถ้านั่นช่วยให้บ้านหลังเดิมกลับคืนมา… ผมก็ยินดี…”
ไคลน์กำลังถือปากกาและกระดาษ แสร้งทำเป็นจดบันทึก พลางพยักหน้าแผ่วเบาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย:
“ความปรารถนาของคุณจะเป็นจริง พรุ่งนี้ช่วยรอผมหน้าซากปรักหักพังของบ้านหลังดังกล่าวบนถนนน้ำนิ่ง”
ในเวลาเดียวกัน มันดันธนบัตรหนึ่งซูลไปหาอีกฝ่าย:
“ค่าเครื่องดื่ม ผมเลี้ยง”
ดวงตาของชายคนดังกล่าวไหววูบเล็กน้อย คล้ายกับต้องการปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็รับธนบัตรไว้
วันรุ่งขึ้น หลังจากส่งบุตรสาวตัวน้อยไปโรงเรียนของโบสถ์ มันเดินกลับไปยังถนนน้ำนิ่งที่ตนคุ้นเคย และได้เห็นบ้านหลังเดิมที่ตนคุ้นเคย
ไม่ว่าจะปล่องไฟ หน้าต่าง ประตู หรือวัชพืชบนกำแพง ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนแม้แต่จุดเดียว มอบความรู้สึกคุ้นเคยประหนึ่งว่า ในวินาทีถัดไป เจ้าของบ้านสาวสวยจะเปิดประตูพร้อมกับนำลูกเด็กทั้งสองออกมาทักทายผู้เป็นบิดา
ชายคนดังกล่าวยืนตัวแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อว่านี่คือความจริง
แต่ถึงจะเป็นเพียงภาพลวงตา มันก็ยินดีที่จะดำดิ่งลงไป
…
ผ่านไปหลายวัน ไคลน์ซึ่งทยอยเติมเต็มความปรารถนาแบบเดียวกันให้ผู้คนจำนวนหนึ่ง ใช้มือผลักเปิดหน้าต่างโรงแรม และยกมือขึ้นมาดีดนิ้วท่ามกลางหมอกยามเช้า
ในย่านสูงของเมืองคอนสแตน บิดาของเวิร์ชตื่นเช้าตามกิจวัตรเนื่องจากฝันถึงบุตรชายและครอบครัวที่เสียชีวิต จากนั้นก็เดินไปทางระเบียงเพื่อเตรียมสูดอากาศในยามเช้า
ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณ มันมองเห็นปล่องไฟและเตาหลอมซึ่งเรียงรายประหนึ่งผืนป่า ด้านล่างพวกมันคือแนวอาคารสูง
ภาพของเมืองคอนสแตนในอดีตกลับมาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ทุกสิ่งฉาบไปด้วยแสงสีส้มในยามเช้า
…………………………