เมื่อชาวคอนสแตนเริ่มตกตะลึงกับปาฏิหาริย์เบื้องหน้า ไคลน์เดินทางออกจากเมืองไปพร้อมกับกระเป๋าและกระจกวิเศษอาโรเดส
หลังจากสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ชายหนุ่มกังวลว่าซาราธจะหมายตัวตนและรีบมาเยือน จึงไม่กล้าแช่อยู่นาน
ด้วยระดับตัวตนและพลังในปัจจุบัน ไคลน์ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับซาราธสักเท่าไร แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกับการถูกลอบโจมตี เพราะสำหรับผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย การได้เตรียมความพร้อมล่วงหน้ากับไม่ได้เตรียม ผลลัพธ์จะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าไคลน์เผยตำแหน่งและไม่รีบหนีให้ทันเวลา มีโอกาสสูงมากที่ตัวมันซึ่งไม่ได้เตรียมความพร้อม จะเผชิญหน้ากับซาราธผู้เตรียมตัวมาดี ชายหนุ่มเชื่อว่า ต่อให้ตนเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดและยังสามารถคืนชีพได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะร่วงหล่นโดยสมบูรณ์
เหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัดของฝั่งอามุนด์ อีกฝ่ายยังถูกพระผู้สร้างแท้จริงไล่ล่าอยู่หรือไม่? สามารถโผล่มาข้างๆ ตนและขโมยทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ไหม?
ด้วยความคิดดังกล่าว ไคลน์ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง
…
ณ ห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่งในแคว้นนันวีลล์
สมาชิกลำดับ 7 จำนวนหนึ่งของตระกูลอับราฮัมได้มารวมตัวกันตามคำนัดหมาย
“…ทั้งหมดมีเท่านี้” โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม บรรยายคำพูดของมิสเตอร์ประตูซึ่งได้ฟังผ่านนักเรียนของตน – ฟอร์ส·วอลล์ “การถูกเนรเทศและผูกผนึกเป็นเวลานานทำให้ท่านบรรพชนเสียสติ มีเพียงนานๆ ครั้งจึงจะได้รับเหตุและผลกลับคืนมา ลำพังการสนทนากับท่านมากพอจะทำให้ถูกกัดกร่อนทางจิตโดยเจตจำนงด้านชั่วร้าย”
ชายสวมแว่นตากรอบทองมาดคล้ายอาจารย์มหาวิทยาลัย ถอนหายใจยาว
“อย่างนี้นี่เอง…”
มันเผยสีหน้าโล่งใจ คล้ายกับทำใจยอมรับได้ว่า คำสาปของตระกูลเกิดจากการร้องขอความช่วยเหลือของบรรพชน
หลังจากเงียบไปสักพัก ชายคนเดิมกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
“พวกเราต้องหาวิธีช่วยท่านบรรพชนออกมา นั่นก็เพื่อขจัดคำสาปโดยสมบูรณ์”
“เวอร์ดู นายบ้าไปแล้วหรือ? การปล่อยให้ราชาเทวทูตเสียสติกลับมา นั่นเท่ากับเป็นการทำลายตระกูลพวกเราทั้งหมด!” โดเรียนอดไม่ได้ที่จะตำหนิอีกฝ่าย
บุรุษนามเวอร์ดูชำเลืองสมาชิกตระกูลคนอื่นพลางกล่าวด้วยใบหน้าลุ่มลึก
“พวกเราถึงต้องรีบยังไงล่ะ ขณะท่านบรรพชนยังหลงเหลือส่วนที่มีสติ เราต้องรีบช่วยท่านกลับสู่โลกความจริง! และเมื่อท่านออกจากสภาวะถูกเนรเทศและถูกคุมขัง ท่านจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมาหากมีหลักยึดเหนี่ยวที่มั่นคงมากพอ… โดเรียน นายตกต่ำถึงเพียงนี้เชียว? ไม่คิดจะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของตระกูลบ้างเลยหรือ ไม่อยากให้พวกเรากลับเป็นไปชนชั้นสูงของทวีปเหนือใต้เหมือนในอดีตหรืออย่างไร? คิดจะใช้ชีวิตที่ตกต่ำแต่มั่นคงแบบนี้ไปวันๆ จนตายเลยใช่ไหม? แล้วนายมั่นใจได้อย่างไรว่ามิสเตอร์ฟูลจะคอยประทานพรให้เราอย่างต่อเนื่อง ไม่ละเลยคำสวดวิงวอนของพวกเราเหมือนกับที่เหล่าเจ็ดเทพจารีตเป็น?”
โดเรียนเงียบไปหลายวินาที:
“แต่ความเสี่ยงในแง่นี้ต่ำกว่าการพยายามช่วยท่านบรรพชนออกมามาก นับตั้งแต่ที่เริ่มศรัทธาในมิสเตอร์ฟูลและคอยสวดวิงวอนถึงพระองค์จากก้นบึ้ง ฉันไม่ได้รับผลข้างเคียงจากเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวงมาหลายเดือนแล้ว หากไม่ใช่เพราะอายุมาก ฉันคงกล้าเสี่ยงดื่มโอสถและเลื่อนตัวเองเป็นลำดับ 6 นักบันทึก… แต่ถึงอย่างนั้น ขอเวลาอีกสักพัก ฉันมั่นใจว่าตัวเองจะต้องเลื่อนลำดับสำเร็จแน่… ถ้าคนอย่างฉันซึ่งมีอายุเกินเกณฑ์ยังสามารถเลื่อนลำดับได้ เด็กรุ่นใหม่ในตระกูลเราย่อมต้องทำลายขีดจำกัดเดิมได้เช่นกัน แล้วจะมีสักวันที่ใครบางคนได้กลายเป็นครึ่งเทพ”
ได้ยินคำพูดโดเรียน สองชายสองหญิงนอกเหนือจากเวอร์ดูต่างพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
พวกมันต่างลองให้ลูกหลานบางส่วนของตนนับถือมิสเตอร์ฟูล และหลังจากเฝ้าสังเกตเป็นเวลาหลายเดือน ทุกคนยืนยันตรงกันว่าวิธีนี้ได้ผล จึงเตรียมจะย้ายไปศรัทธามิสเตอร์ฟูลด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นใบหน้าเวอร์ดูกำลังบิดเบี้ยว โดเรียนเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนลง
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราไม่มีปัญญาจะประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใด ครึ่งเทพล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ยาก ในหมู่พวกเขา ครึ่งเทพเส้นทางนักทำนายและนักจารกรรมล้วนเจ้าเล่ห์และพิสดาร ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวอันตราย ต่อให้พวกเรายอมเสียสละคนบางส่วนและนำสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกปฏิบัติการ แต่ก็ยากที่จะจับตัวสำเร็จ”
เวอร์ดูดันกรอบแว่นตาพลางถอนหายใจออกเชื่องช้า
“ฉันจะไม่ห้ามพวกนายเปลี่ยนไปนับถือเดอะฟูล เพราะถ้ามีใครวิงวอนให้ตัวตนลึกลับดังกล่าวช่วยเหลือท่านบรรพชนออกมาได้สำเร็จ นั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก่อนหน้านั้น ทางฉันก็จะเตรียมประกอบพิธีกรรมช่วยเหลือท่านบรรพชนอย่างสุดความสามารถเช่นกัน… โดเรียน นายต้องไม่ลืมว่าสายเลือดและความรุ่งโรจน์ของตระกูลอับราฮัมถือกำเนิดจากบรรพชน หากไม่มีท่าน ก็ไม่มีพวกเราในวันนี้… ถ้าจำเป็นต้องสละชีวิต ฉันจะเป็นคนอาสาเอง”
กล่าวจบ มันลุกขึ้นยืน สวมหมวกทรงสูงและเดินออกจากห้องใต้ดิน
โดเรียนเฝ้ามองอีกฝ่ายจากไปก่อนจะถอนหายใจยาว
“เวอร์ดูหมั่นศึกษาศาสตร์เร้นลับอย่างละเอียด โดยหวังว่าจะหาวิธีถอนคำสาปของตระกูลให้ได้ในสักวัน ฉันเชื่อว่าความมุมานะดังกล่าวได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดของเขาแล้ว…”
สมาชิกตระกูลอับราฮัมคนที่เหลือพยักหน้าพร้อมกัน
“หลังจากตระหนักว่าตัวเองจนปัญญาจะประกอบพิธีกรรม เขาคงล้มเลิกความคิดไป…”
พวกมันเองก็หวังให้เวอร์ดูประสบความสำเร็จ แต่นั่นเป็นไปได้ยากเหลือเกิน
…
ณ เกาะภูเขาคราม เมืองแห่งการให้ บายัม บริเวณท่าเรือส่วนตัวของกลุ่มต่อต้าน
กลุ่มคนงานซึ่งเพิ่งวางท่อส่งแก๊สเสร็จและเตรียมกลับไปยังที่พัก กำลังนั่งรอรถม้าที่โบสถ์เทพสมุทรจัดหามาบริการรับส่งไปกลับบายัม ทันใดนั้นเอง พวกมันเห็น ‘ครึ่งยักษ์’ ซึ่งกล่าวกันว่ามาจากเกาะทางตอนเหนือของฟุซัค แบกก้อนหินหนักสีเทาเดินผ่านไป ทุกย่างก้าวจะทิ้งรอยเท้าจมดินไว้เสมอ
กลุ่มคนงานเหล่านี้ต่างเคยเข้าร่วมก่อสร้างท่าเรือ วิหาร และหอศิลป์ของเมือง ย่อมทราบดีว่าหินสีเทาดังกล่าวหนักเพียงใด
พวกมันยังไม่ลืมว่า หากไม่มีความช่วยเหลือจากท่อนซุง ม้าลาก และเครื่องจักร การขนหินในลักษณะเดียวกันจะถือเป็นงานที่ยากมาก แต่ครึ่งยักษ์เหล่านี้กลับถืออย่างสบายใจประหนึ่งของเล่น
เป็นพละกำลังอันล้นเหลือจนน่าทึ่ง
เมื่อเดอร์ริคเห็นว่ากำแพงชั้นนอกและอาคารบางส่วนของเมืองเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจากความร่วมมือของทีมบุกเบิกเมืองเงินพิสุทธิ์ มันหันหน้าไปพูดกับลีอาวาลและแคนดิส:
“ได้เวลากลับไปยังเมืองเงินพิสุทธิ์เพื่อรายงานสถานการณ์ให้พวกเขาฟังแล้ว”
ไม่มีสมาชิกคนใดคัดค้าน พวกมันล้วนตื่นเต้นและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของอาวุโสเดอร์ริค
แม้จะเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ทุกคนต่างก็หลงรัก ‘บ้าน’ แห่งใหม่ พวกมันตกหลุมรักความอบอุ่นของแสงแดด ความเงียบสงบของคืนจันทร์แดง และอดใจรอไม่ไหวที่จะพาญาติพี่น้องของตนย้ายมาดื่มด่ำร่วมกัน
ได้เห็นฉากตรงหน้า เดอร์ริคเหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว พยายามฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้ม เพียงหันไปกล่าวกับแคนดิสเสียงเย็น
“คุณต้องกลับไปที่เมืองเงินพิสุทธิ์กับผมเพื่อรายงานท่านเจ้าเมืองและอาวุโสคนอื่นถึงสถานการณ์ของที่นี่… แล้วก็ จีนอร์ดคุณมากับผมด้วย ส่วนลีอาวาลคอยดูแลความเรียบร้อยที่นี่”
มันกังวลว่าตนจะไม่ได้รับความเชื่อใจจากเจ้าเมืองคนปัจจุบัน ฮอยต์·เฌอมงต์ และอาวุโสคนอื่น จึงต้องพาพรรคพวกไปด้วยสองคน
หลังจากจัดแจงทุกสิ่งเสร็จสรรพ เดอร์ริคพาแคนดิสกับจีนอร์ดไปยังมุมอับสายตาภายในเขตเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ จากนั้นก็ก้มศีรษะลง ประสานมือด้านหน้า สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลโดยวิงวอนว่า ตนปรารถนาที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองเงินพิสุทธิ์ทันที
ท่ามกลางความเงียบเชียบ ฉากรอบตัวทุกคนเริ่มพร่ามัวและขยายออก ก่อนจะสงบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็วและคมชัด
เบื้องหน้าคนทั้งสามคือวัชพืชที่ปลิวไสวบนกำแพงเมืองเงินพิสุทธิ์
เพียงไม่กี่วินาที เดอร์ริคและลูกน้องอีกสองคนเดินทางกลับมาถึงหน้าประตูเมืองเงินพิสุทธิ์
…ปาฏิหาริย์ชัดๆ … แคนดิสใช้มือข้างที่ไม่ได้ถืออาวุธขยี้ตา ภายในใจอุทานจากก้นบึ้ง
เธอเคยจินตนาการถึงหลากหลายวิธีในการเดินทางกลับเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงการกลับมาในพริบตา
สำหรับหญิงสาว สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ซึ่งเกิดจากฝีมือทวยเทพ
จีนอร์ดเขย่าตะเกียงแก้วในมือพลางพึมพำโดยไม่คิดเยอะ
“เจ้านี่เจ๋งกว่าโคมไฟหนังสัตว์ตั้งเยอะ…”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ มันได้สติกลับมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใสและบริสุทธิ์
ในคราวนี้ พวกมันเปรียบดังผู้ส่งสารแห่งรุ่งอรุณซึ่งได้รับมอบหมายให้นำพาชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง
เดอร์ริคถอนหายใจโล่งอก กล่าวโดยยังคงรักษามาดขรึม
“รีบเข้าพบท่านเจ้าเมืองและบอกให้ทุกคนเตรียมอพยพกันเถอะ”
มันเคยได้ยินมิสเตอร์แฮงแมนเล่าว่า มีหลายสิ่งบนโลกต้องเผชิญความล้มเหลวในวินาทีที่เกือบจะประสบความสำเร็จ เด็กหนุ่มจึงไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนั้นเกิดกับเมืองเงินพิสุทธิ์
ดังนั้น ตนต้องรีบจัดการสิ่งที่ยังค้างคาโดยเร็ว
เมื่อย่างกรายเข้าใกล้ประตู ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งกำลังเข้าเวรคุ้มกันเมืองต่างจ้องมองทีมบุกเบิกทั้งสามด้วยสีหน้าฉงน บางคนเผยความกังวล บางคนเผยความหวังด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“ลีอาวาลกับคนที่เหลือล่ะ? ไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือ” ใครบางคนถามอย่างกังวล ด้วยเกรงว่าสมาชิกทีมบุกเบิกที่เหลือล้วนสละชีวิตของตน
เดอร์ริคตอบกระชับ
“พวกเขายังอยู่ที่โลกภายนอกเพื่อสร้างค่ายพักชั่วคราว”
เวรยามไม่ถามซักไซ้ ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนสำคัญเสียเวลา เพียงจ้องมองเดอร์ริคและอีกสองคนเดินไปยังหอคอยคู่
ใช้เวลาไม่นาน เดอร์ริค แคนดิส และจีนอร์ดก็ได้พบกับเจ้าเมือง ฮอยต์·เฌอมงต์และหกสภาอาวุโสคนอื่น พวกมันเริ่มบรรยายประสบการณ์สำคัญซึ่งได้พบเจอจากโลกภายนอก
เมื่อรายงานจบ พวกมันนำสิ่งของหลายชิ้นออกมาแสดงเป็นหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาพก กล่องดนตรี และเครื่องกลไกอันวิจิตรงดงาม
หกสภาอาวุโสคนอื่นนอกจากเดอร์ริคและฮอยต์·เฌอมงต์ เจ้าของส่วนสูง 2.5 เมตรและรอยสักสีน้ำเงินเข้มบนศีรษะ จ้องมองกันและกันก่อนจะถอนหายใจ
“ประสบการณ์ของพวกคุณฟังดูเหมือนความฝันอันงดงาม… ไม่สิ แม้แต่ผมก็ไม่กล้าฝันถึงฉากนั้น”
กล่าวจบ มันพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สร้างห้องใต้ดินสำหรับเก็บสมบัติปิดผนึกแล้วหรือยัง?”
“นั่นคือสิ่งแรกที่สร้างเสร็จ” เดอร์ริคตอบกระจ่าง
ฮอยต์·เฌอมงต์พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะออกคำสั่ง
“บอกให้ทุกคนนำข้าวของที่จำเป็นมารวมตัวกันที่ลานฝึก… เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เราจะสวดวิงวอนให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเคลื่อนย้ายพวกเราในพริบตา”
กล่าวจบ ฮอยต์ไตร่ตรองสักพัก:
“ก่อนหน้านี้มิสเตอร์ฟูลได้มอบวิวรณ์เข้ามาว่า ให้พวกเรารออีกสามชั่วโมง เนื่องจากพระองค์จะส่งชาวเมืองจันทรามารวมกับเรา จากนั้นค่อยเคลื่อนย้ายออกไปพร้อมกัน แต่สิ่งนี้จะไม่กระทบกับการเตรียมตัวล่วงหน้าของพวกเรา… นอกจากนั้น พระองค์กำชับให้ผมแจ้งกับทุกคนว่า สถานการณ์ของเมืองจันทรานั้นยากลำบากกว่าพวกเรามาก หลายคนต้องทุกข์ทรมานเพราะความพิการ ช่วยมองพวกเขาด้วยสายตาปรกติด้วย”
แม้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จะมีหญ้าผิวดำเป็นเสบียง แต่พวกมันก็ยังต้องกินเลือดเนื้อจากสัตว์ประหลาดเป็นครั้งคราวเพื่อเสริมสร้างพละกำลัง นั่นทำให้เด็กรุ่นใหม่บางคนเกิดมาพร้อมกับภาวะพิการ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จึงคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี
“รับทราบ!” หกสภาอาวุธคนอื่นขานรับโดยไม่ลังเล แต่ละคนเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างมิอาจควบคุม
คราวนี้ ไม่ใช่แค่พวกมันจะได้เห็นแสงสว่าง แต่ยังได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริง
…………………………