ราชันเร้นลับ 1298 : จากลา

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เมื่อชาวคอนสแตนเริ่มตกตะลึงกับปาฏิหาริย์เบื้องหน้า ไคลน์เดินทางออกจากเมืองไปพร้อมกับกระเป๋าและกระจกวิเศษอาโรเดส

หลังจากสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ชายหนุ่มกังวลว่าซาราธจะหมายตัวตนและรีบมาเยือน จึงไม่กล้าแช่อยู่นาน

ด้วยระดับตัวตนและพลังในปัจจุบัน ไคลน์ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับซาราธสักเท่าไร แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกับการถูกลอบโจมตี เพราะสำหรับผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย การได้เตรียมความพร้อมล่วงหน้ากับไม่ได้เตรียม ผลลัพธ์จะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าไคลน์เผยตำแหน่งและไม่รีบหนีให้ทันเวลา มีโอกาสสูงมากที่ตัวมันซึ่งไม่ได้เตรียมความพร้อม จะเผชิญหน้ากับซาราธผู้เตรียมตัวมาดี ชายหนุ่มเชื่อว่า ต่อให้ตนเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดและยังสามารถคืนชีพได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะร่วงหล่นโดยสมบูรณ์

เหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัดของฝั่งอามุนด์ อีกฝ่ายยังถูกพระผู้สร้างแท้จริงไล่ล่าอยู่หรือไม่? สามารถโผล่มาข้างๆ ตนและขโมยทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ไหม?

ด้วยความคิดดังกล่าว ไคลน์ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง

ณ ห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่งในแคว้นนันวีลล์

สมาชิกลำดับ 7 จำนวนหนึ่งของตระกูลอับราฮัมได้มารวมตัวกันตามคำนัดหมาย

“…ทั้งหมดมีเท่านี้” โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม บรรยายคำพูดของมิสเตอร์ประตูซึ่งได้ฟังผ่านนักเรียนของตน – ฟอร์ส·วอลล์ “การถูกเนรเทศและผูกผนึกเป็นเวลานานทำให้ท่านบรรพชนเสียสติ มีเพียงนานๆ ครั้งจึงจะได้รับเหตุและผลกลับคืนมา ลำพังการสนทนากับท่านมากพอจะทำให้ถูกกัดกร่อนทางจิตโดยเจตจำนงด้านชั่วร้าย”

ชายสวมแว่นตากรอบทองมาดคล้ายอาจารย์มหาวิทยาลัย ถอนหายใจยาว

“อย่างนี้นี่เอง…”

มันเผยสีหน้าโล่งใจ คล้ายกับทำใจยอมรับได้ว่า คำสาปของตระกูลเกิดจากการร้องขอความช่วยเหลือของบรรพชน

หลังจากเงียบไปสักพัก ชายคนเดิมกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น

“พวกเราต้องหาวิธีช่วยท่านบรรพชนออกมา นั่นก็เพื่อขจัดคำสาปโดยสมบูรณ์”

“เวอร์ดู นายบ้าไปแล้วหรือ? การปล่อยให้ราชาเทวทูตเสียสติกลับมา นั่นเท่ากับเป็นการทำลายตระกูลพวกเราทั้งหมด!” โดเรียนอดไม่ได้ที่จะตำหนิอีกฝ่าย

บุรุษนามเวอร์ดูชำเลืองสมาชิกตระกูลคนอื่นพลางกล่าวด้วยใบหน้าลุ่มลึก

“พวกเราถึงต้องรีบยังไงล่ะ ขณะท่านบรรพชนยังหลงเหลือส่วนที่มีสติ เราต้องรีบช่วยท่านกลับสู่โลกความจริง! และเมื่อท่านออกจากสภาวะถูกเนรเทศและถูกคุมขัง ท่านจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมาหากมีหลักยึดเหนี่ยวที่มั่นคงมากพอ… โดเรียน นายตกต่ำถึงเพียงนี้เชียว? ไม่คิดจะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของตระกูลบ้างเลยหรือ ไม่อยากให้พวกเรากลับเป็นไปชนชั้นสูงของทวีปเหนือใต้เหมือนในอดีตหรืออย่างไร? คิดจะใช้ชีวิตที่ตกต่ำแต่มั่นคงแบบนี้ไปวันๆ จนตายเลยใช่ไหม? แล้วนายมั่นใจได้อย่างไรว่ามิสเตอร์ฟูลจะคอยประทานพรให้เราอย่างต่อเนื่อง ไม่ละเลยคำสวดวิงวอนของพวกเราเหมือนกับที่เหล่าเจ็ดเทพจารีตเป็น?”

โดเรียนเงียบไปหลายวินาที:

“แต่ความเสี่ยงในแง่นี้ต่ำกว่าการพยายามช่วยท่านบรรพชนออกมามาก นับตั้งแต่ที่เริ่มศรัทธาในมิสเตอร์ฟูลและคอยสวดวิงวอนถึงพระองค์จากก้นบึ้ง ฉันไม่ได้รับผลข้างเคียงจากเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวงมาหลายเดือนแล้ว หากไม่ใช่เพราะอายุมาก ฉันคงกล้าเสี่ยงดื่มโอสถและเลื่อนตัวเองเป็นลำดับ 6 นักบันทึก… แต่ถึงอย่างนั้น ขอเวลาอีกสักพัก ฉันมั่นใจว่าตัวเองจะต้องเลื่อนลำดับสำเร็จแน่… ถ้าคนอย่างฉันซึ่งมีอายุเกินเกณฑ์ยังสามารถเลื่อนลำดับได้ เด็กรุ่นใหม่ในตระกูลเราย่อมต้องทำลายขีดจำกัดเดิมได้เช่นกัน แล้วจะมีสักวันที่ใครบางคนได้กลายเป็นครึ่งเทพ”

ได้ยินคำพูดโดเรียน สองชายสองหญิงนอกเหนือจากเวอร์ดูต่างพยักหน้าเชิงเห็นด้วย

พวกมันต่างลองให้ลูกหลานบางส่วนของตนนับถือมิสเตอร์ฟูล และหลังจากเฝ้าสังเกตเป็นเวลาหลายเดือน ทุกคนยืนยันตรงกันว่าวิธีนี้ได้ผล จึงเตรียมจะย้ายไปศรัทธามิสเตอร์ฟูลด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นใบหน้าเวอร์ดูกำลังบิดเบี้ยว โดเรียนเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนลง

“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราไม่มีปัญญาจะประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใด ครึ่งเทพล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ยาก ในหมู่พวกเขา ครึ่งเทพเส้นทางนักทำนายและนักจารกรรมล้วนเจ้าเล่ห์และพิสดาร ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวอันตราย ต่อให้พวกเรายอมเสียสละคนบางส่วนและนำสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกปฏิบัติการ แต่ก็ยากที่จะจับตัวสำเร็จ”

เวอร์ดูดันกรอบแว่นตาพลางถอนหายใจออกเชื่องช้า

“ฉันจะไม่ห้ามพวกนายเปลี่ยนไปนับถือเดอะฟูล เพราะถ้ามีใครวิงวอนให้ตัวตนลึกลับดังกล่าวช่วยเหลือท่านบรรพชนออกมาได้สำเร็จ นั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก่อนหน้านั้น ทางฉันก็จะเตรียมประกอบพิธีกรรมช่วยเหลือท่านบรรพชนอย่างสุดความสามารถเช่นกัน… โดเรียน นายต้องไม่ลืมว่าสายเลือดและความรุ่งโรจน์ของตระกูลอับราฮัมถือกำเนิดจากบรรพชน หากไม่มีท่าน ก็ไม่มีพวกเราในวันนี้… ถ้าจำเป็นต้องสละชีวิต ฉันจะเป็นคนอาสาเอง”

กล่าวจบ มันลุกขึ้นยืน สวมหมวกทรงสูงและเดินออกจากห้องใต้ดิน

โดเรียนเฝ้ามองอีกฝ่ายจากไปก่อนจะถอนหายใจยาว

“เวอร์ดูหมั่นศึกษาศาสตร์เร้นลับอย่างละเอียด โดยหวังว่าจะหาวิธีถอนคำสาปของตระกูลให้ได้ในสักวัน ฉันเชื่อว่าความมุมานะดังกล่าวได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดของเขาแล้ว…”

สมาชิกตระกูลอับราฮัมคนที่เหลือพยักหน้าพร้อมกัน

“หลังจากตระหนักว่าตัวเองจนปัญญาจะประกอบพิธีกรรม เขาคงล้มเลิกความคิดไป…”

พวกมันเองก็หวังให้เวอร์ดูประสบความสำเร็จ แต่นั่นเป็นไปได้ยากเหลือเกิน

ณ เกาะภูเขาคราม เมืองแห่งการให้ บายัม บริเวณท่าเรือส่วนตัวของกลุ่มต่อต้าน

กลุ่มคนงานซึ่งเพิ่งวางท่อส่งแก๊สเสร็จและเตรียมกลับไปยังที่พัก กำลังนั่งรอรถม้าที่โบสถ์เทพสมุทรจัดหามาบริการรับส่งไปกลับบายัม ทันใดนั้นเอง พวกมันเห็น ‘ครึ่งยักษ์’ ซึ่งกล่าวกันว่ามาจากเกาะทางตอนเหนือของฟุซัค แบกก้อนหินหนักสีเทาเดินผ่านไป ทุกย่างก้าวจะทิ้งรอยเท้าจมดินไว้เสมอ

กลุ่มคนงานเหล่านี้ต่างเคยเข้าร่วมก่อสร้างท่าเรือ วิหาร และหอศิลป์ของเมือง ย่อมทราบดีว่าหินสีเทาดังกล่าวหนักเพียงใด

พวกมันยังไม่ลืมว่า หากไม่มีความช่วยเหลือจากท่อนซุง ม้าลาก และเครื่องจักร การขนหินในลักษณะเดียวกันจะถือเป็นงานที่ยากมาก แต่ครึ่งยักษ์เหล่านี้กลับถืออย่างสบายใจประหนึ่งของเล่น

เป็นพละกำลังอันล้นเหลือจนน่าทึ่ง

เมื่อเดอร์ริคเห็นว่ากำแพงชั้นนอกและอาคารบางส่วนของเมืองเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจากความร่วมมือของทีมบุกเบิกเมืองเงินพิสุทธิ์ มันหันหน้าไปพูดกับลีอาวาลและแคนดิส:

“ได้เวลากลับไปยังเมืองเงินพิสุทธิ์เพื่อรายงานสถานการณ์ให้พวกเขาฟังแล้ว”

ไม่มีสมาชิกคนใดคัดค้าน พวกมันล้วนตื่นเต้นและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของอาวุโสเดอร์ริค

แม้จะเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ทุกคนต่างก็หลงรัก ‘บ้าน’ แห่งใหม่ พวกมันตกหลุมรักความอบอุ่นของแสงแดด ความเงียบสงบของคืนจันทร์แดง และอดใจรอไม่ไหวที่จะพาญาติพี่น้องของตนย้ายมาดื่มด่ำร่วมกัน

ได้เห็นฉากตรงหน้า เดอร์ริคเหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว พยายามฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้ม เพียงหันไปกล่าวกับแคนดิสเสียงเย็น

“คุณต้องกลับไปที่เมืองเงินพิสุทธิ์กับผมเพื่อรายงานท่านเจ้าเมืองและอาวุโสคนอื่นถึงสถานการณ์ของที่นี่… แล้วก็ จีนอร์ดคุณมากับผมด้วย ส่วนลีอาวาลคอยดูแลความเรียบร้อยที่นี่”

มันกังวลว่าตนจะไม่ได้รับความเชื่อใจจากเจ้าเมืองคนปัจจุบัน ฮอยต์·เฌอมงต์ และอาวุโสคนอื่น จึงต้องพาพรรคพวกไปด้วยสองคน

หลังจากจัดแจงทุกสิ่งเสร็จสรรพ เดอร์ริคพาแคนดิสกับจีนอร์ดไปยังมุมอับสายตาภายในเขตเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ จากนั้นก็ก้มศีรษะลง ประสานมือด้านหน้า สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลโดยวิงวอนว่า ตนปรารถนาที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองเงินพิสุทธิ์ทันที

ท่ามกลางความเงียบเชียบ ฉากรอบตัวทุกคนเริ่มพร่ามัวและขยายออก ก่อนจะสงบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็วและคมชัด

เบื้องหน้าคนทั้งสามคือวัชพืชที่ปลิวไสวบนกำแพงเมืองเงินพิสุทธิ์

เพียงไม่กี่วินาที เดอร์ริคและลูกน้องอีกสองคนเดินทางกลับมาถึงหน้าประตูเมืองเงินพิสุทธิ์

…ปาฏิหาริย์ชัดๆ … แคนดิสใช้มือข้างที่ไม่ได้ถืออาวุธขยี้ตา ภายในใจอุทานจากก้นบึ้ง

เธอเคยจินตนาการถึงหลากหลายวิธีในการเดินทางกลับเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงการกลับมาในพริบตา

สำหรับหญิงสาว สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ซึ่งเกิดจากฝีมือทวยเทพ

จีนอร์ดเขย่าตะเกียงแก้วในมือพลางพึมพำโดยไม่คิดเยอะ

“เจ้านี่เจ๋งกว่าโคมไฟหนังสัตว์ตั้งเยอะ…”

ยังไม่ทันจะกล่าวจบ มันได้สติกลับมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใสและบริสุทธิ์

ในคราวนี้ พวกมันเปรียบดังผู้ส่งสารแห่งรุ่งอรุณซึ่งได้รับมอบหมายให้นำพาชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง

เดอร์ริคถอนหายใจโล่งอก กล่าวโดยยังคงรักษามาดขรึม

“รีบเข้าพบท่านเจ้าเมืองและบอกให้ทุกคนเตรียมอพยพกันเถอะ”

มันเคยได้ยินมิสเตอร์แฮงแมนเล่าว่า มีหลายสิ่งบนโลกต้องเผชิญความล้มเหลวในวินาทีที่เกือบจะประสบความสำเร็จ เด็กหนุ่มจึงไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนั้นเกิดกับเมืองเงินพิสุทธิ์

ดังนั้น ตนต้องรีบจัดการสิ่งที่ยังค้างคาโดยเร็ว

เมื่อย่างกรายเข้าใกล้ประตู ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งกำลังเข้าเวรคุ้มกันเมืองต่างจ้องมองทีมบุกเบิกทั้งสามด้วยสีหน้าฉงน บางคนเผยความกังวล บางคนเผยความหวังด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“ลีอาวาลกับคนที่เหลือล่ะ? ไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือ” ใครบางคนถามอย่างกังวล ด้วยเกรงว่าสมาชิกทีมบุกเบิกที่เหลือล้วนสละชีวิตของตน

เดอร์ริคตอบกระชับ

“พวกเขายังอยู่ที่โลกภายนอกเพื่อสร้างค่ายพักชั่วคราว”

เวรยามไม่ถามซักไซ้ ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนสำคัญเสียเวลา เพียงจ้องมองเดอร์ริคและอีกสองคนเดินไปยังหอคอยคู่

ใช้เวลาไม่นาน เดอร์ริค แคนดิส และจีนอร์ดก็ได้พบกับเจ้าเมือง ฮอยต์·เฌอมงต์และหกสภาอาวุโสคนอื่น พวกมันเริ่มบรรยายประสบการณ์สำคัญซึ่งได้พบเจอจากโลกภายนอก

เมื่อรายงานจบ พวกมันนำสิ่งของหลายชิ้นออกมาแสดงเป็นหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาพก กล่องดนตรี และเครื่องกลไกอันวิจิตรงดงาม

หกสภาอาวุโสคนอื่นนอกจากเดอร์ริคและฮอยต์·เฌอมงต์ เจ้าของส่วนสูง 2.5 เมตรและรอยสักสีน้ำเงินเข้มบนศีรษะ จ้องมองกันและกันก่อนจะถอนหายใจ

“ประสบการณ์ของพวกคุณฟังดูเหมือนความฝันอันงดงาม… ไม่สิ แม้แต่ผมก็ไม่กล้าฝันถึงฉากนั้น”

กล่าวจบ มันพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สร้างห้องใต้ดินสำหรับเก็บสมบัติปิดผนึกแล้วหรือยัง?”

“นั่นคือสิ่งแรกที่สร้างเสร็จ” เดอร์ริคตอบกระจ่าง

ฮอยต์·เฌอมงต์พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะออกคำสั่ง

“บอกให้ทุกคนนำข้าวของที่จำเป็นมารวมตัวกันที่ลานฝึก… เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เราจะสวดวิงวอนให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเคลื่อนย้ายพวกเราในพริบตา”

กล่าวจบ ฮอยต์ไตร่ตรองสักพัก:

“ก่อนหน้านี้มิสเตอร์ฟูลได้มอบวิวรณ์เข้ามาว่า ให้พวกเรารออีกสามชั่วโมง เนื่องจากพระองค์จะส่งชาวเมืองจันทรามารวมกับเรา จากนั้นค่อยเคลื่อนย้ายออกไปพร้อมกัน แต่สิ่งนี้จะไม่กระทบกับการเตรียมตัวล่วงหน้าของพวกเรา… นอกจากนั้น พระองค์กำชับให้ผมแจ้งกับทุกคนว่า สถานการณ์ของเมืองจันทรานั้นยากลำบากกว่าพวกเรามาก หลายคนต้องทุกข์ทรมานเพราะความพิการ ช่วยมองพวกเขาด้วยสายตาปรกติด้วย”

แม้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จะมีหญ้าผิวดำเป็นเสบียง แต่พวกมันก็ยังต้องกินเลือดเนื้อจากสัตว์ประหลาดเป็นครั้งคราวเพื่อเสริมสร้างพละกำลัง นั่นทำให้เด็กรุ่นใหม่บางคนเกิดมาพร้อมกับภาวะพิการ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จึงคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี

“รับทราบ!” หกสภาอาวุธคนอื่นขานรับโดยไม่ลังเล แต่ละคนเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างมิอาจควบคุม

คราวนี้ ไม่ใช่แค่พวกมันจะได้เห็นแสงสว่าง แต่ยังได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริง

…………………………