ตอนที่ 1336 การประมือกลางดึก

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“รับทราบ” คนผู้นั้นรับคำสั่งแล้วจากไป

มู่เฉียนซีกลับมายังหอหมอปีศาจแบบกระเป๋าตุง ในตอนกลางคืนได้มีคนเข้ามาส่งข่าวว่า “ประมุขน้อย ท่านหัวหน้าตำหนักเชิญให้ท่านไปที่ตำหนักเป่ยหานขอรับ”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ไปกันเถอะ”

มู่เฉียนซีออกจากหอหมอปีศาจไปได้ไม่นานก็พบว่าทิศทางที่พวกเขาพาไปนั้นไม่ถูกต้อง

ฟึ่บ! เข็มยาของมู่เฉียนซีพุ่งออกไป คนผู้นั้นก็สลบลงไปอยู่บนพื้นทันที

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อล่อให้ข้าออกมาแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรอก”

เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้น แน่นอนว่าที่ด้านหลังของนางผู้นั้นยังมีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งอีกหลายกลิ่นอายซุ่มซ่อนอยู่ นางผู้นั้นก็คือไป๋เหยียนเอ๋อร์นั่นเอง

มู่เฉียนซียิ้มอย่างเย็นชา “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีความกล้ามากมายเช่นนี้ ตำหนักเป่ยหานนั้นเป็นถิ่นที่ของข้า แต่เจ้ากลับกล้ามาเยือน”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วกล่าว “มู่เฉียนซี ในตอนนี้ตำนักโอสถฯ กำลังจะจัดงานประชุมนักปรุงยาครั้งใหญ่ขึ้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะยอมให้พวกเจ้าคนของตำหนักเป่ยหานมาฆ่านักปรุงยาของตำหนักตงจี๋รึ?”

“ในเมื่อเป็นการสงบศึก เช่นนั้นคืนนี้ที่เจ้าล่อข้าออกมาคงมิใช่เพราะอยากพูดคุยกับข้าหรอกกระมัง”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ในเมื่อไม่สามารถลงมืออย่างโจ่งแจ้งได้ แต่การจะฆ่าเจ้าอย่างผีไม่รู้เทพไม่เห็นนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรนัก”

ว่าแล้วไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็พุ่งไปทางมู่เฉียนซี

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของนาง มู่เฉียนซีก็ได้หลบหลีกไป เหล่าผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดนั้นเองก็ได้เริ่มลงมือแล้ว

บึ้ม! เสียงกึกก้องเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นเพราะพวกที่ซุ่มซ่อนอยู่นั้นลงมือ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ได้ถูกชิงอิ่งกันท่าเอาไว้

ในตอนนี้ไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นมีความก้าวหน้าขึ้นมาบ้างเล็กน้อย นางสามารถที่จะควบคุมพลังแห่งนรกของหมิงจีได้ พลังแห่งนรกนั้นได้ระเบิดพุ่งไปทางมู่เฉียนซีอย่างรุนแรง

ปัง! เสียงระเบิดเสียงหนึ่งดังขึ้น กำแพงที่อยู่ด้านหลังของมู่เฉียนซีล้มลง แต่มู่เฉียนซีกลับสามารถหลบหลีกไปได้อย่างเบาสบายเช่นเคย

มู่เฉียนซีกล่าว “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ ถึงต่อให้เจ้าใช้พลังอันเล็กน้อยนี้ของหมิงจีเจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะให้มันง่าย ๆ ก็สามารถให้หมิงจีออกมาลงมือได้”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มู่เฉียนซี การเก็บกวาดเจ้านั้นยังไม่ต้องถึงขั้นให้ท่านหมิงจีลงมือหรอก”

พลังที่เปล่งออกมาจากตัวของไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็มีพลังความสามารถขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า มิเพียงเท่านั้น เพียงชั่วเวลาที่นางขยับมือก็ได้บังเกิดเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ขึ้นมา

“เห็นหรือไม่ เพลิงวิญญาณที่ท่านหมิงจีมอบให้แก่ข้า ในตอนนี้ข้าเป็นจอมภูตธาตุไฟแล้ว และถึงแม้ว่าเจ้าจะได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไป แต่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็ไม่ได้ยอมรับเจ้าเป็นนาย จึงไม่สามารถกลายเป็นจอมภูตธาตุไฟได้” ไป๋เหยียนเอ๋อร์มองไปยังมู่เฉียนซีอย่างได้ใจ

มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกมา “เพลิงเพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังกล้าที่จะมาโอ้อวดต่อหน้าข้า น่าขัน!”

“มังกรเพลิงสังหาร”

มังกรเพลิงสีแดงฉานพุ่งตัวออกไป ที่นางไม่สามารถมีพลังวิญญาณธาตุไฟได้ไม่ใช่เพราะนางมิได้ทำให้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ยอมรับนางเป็นนาย หากแต่เพราะกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นไม่สมบูรณ์ต่างหาก

ตำหนักตงจี๋ต้องการกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ที่จริงแล้วนางยินดีเป็นอย่างมากที่จะส่งมอบวิญญาณกระบี่ยื่นให้ถึงมือพวกเขา

เมื่อถึงตอนนั้นแล้วก็มิต้องลงมือเลยแม้แต่น้อย เลือดในตำหนักตงจี๋จะไหลเป็นแม่น้ำและไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียว

“เปลวเพลิงของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็ไม่เท่าไรนี่”

เพลิงวิญญาณได้จับตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งและป้องกันการโจมตีของมู่เฉียนซีเอาไว้

ปัง!

“บัวแดงพิฆาต”

“พิฆาตอสูร”

ครืน!

พลังสีแดงและพลังสีดำปะทะเข้าด้วยกัน ไป๋เหยียนเอ๋อร์เองก็นึกไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาไม่นานพลังความสามารถที่แข็งแกร่งอยู่แล้วของมู่เฉียนซีนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

ความเคลื่อนไหวทางนี้นั้นมากมายรุนแรงนัก ผู้อาวุโสแต่ละคนของตำหนักเป่ยหานก็มิใช่หูหนวกตาบอด ไม่นานนักก็ได้มีคนตามเสียงมาถึง

สีหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์มืดครึ้มลงพลันแล้วกล่าว “วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าไปก่อนมู่เฉียนซี งานประชุมนักปรุงยาครั้งใหญ่นี้ข้าจะค่อย ๆ เล่นกับเจ้าจนตาย ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าทักษะการปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าจะให้เจ้าตายอย่างอนาถภายใต้น้ำมือของข้า”

มู่เฉียนซีแค่นยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ไม่เจอกันนานหลายวัน เจ้านี้ช่างฝันใหญ่โตได้มาขึ้นเรื่อย ๆ เสียจริง”

ทันทีที่เงาร่างสีม่วงขยับตัว มู่เฉียนซีก็ได้โจมตีเข้าไป

“ทักษะโยวหลัว”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์หลบไปอย่างรีบร้อนและได้หายไปในความมืดพร้อมกับผู้อาวุโสเหล่านั้น

“ประมุขน้อย”

“ประมุขน้อยกลับต้องมาอยู่ที่นี่ เป็นใครกันที่กล้าลอบโจมตีในเมืองเป่ยหานเช่นนี้”

คนของตำหนักเป่ยหานที่เข้ามานั้นล้วนตกตะลึง มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าขอตัวกลับก่อน”

“อะไรนะ? บุตรสาวผู้นั้นของไป๋อู๋ห่ายกล้าที่จะลงมือกับซีเอ๋อร์” กู้ไป๋อีเมื่อได้รับรู้เรื่องทั้งหมดเขาก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ในเมื่อมาแล้วคนผู้นี้ก็ไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้แล้ว” กู้ไป๋อีเตรียมที่จะส่งคนทั้งหมดไปยังที่ที่พวกเขาอยู่เพื่อตัดรากถอนโคน

มู่เฉียนซีกล่าว “งานประชุมนักปรุงยามีสำนักโอสถฯ คอยปกป้องนางอยู่ นางจึงมั่นใจว่าพวกเราไม่กล้าลงมือ ในตอนนี้งานปรุงยาครั้งใหญ่นั้นสำคัญนัก รอให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จากนั้นนางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักเป่ยหานไปที่ไหนได้แล้ว”

“หลังจากนี้ ข้าจะคอยปกป้องอยู่ข้างกายเจ้าไม่ห่างแม้แต่น้อย” กู้ไป๋อีกล่าว

มู่เฉียนซีหันกลับไปกล่าว “ไม่จำเป็นต้องทำให้เจ้าวุ่นวายเช่นนั้นหรอกเสี่ยวไป๋ มีชิงอิ่งอยู่ ในเมืองเป่ยหานนี้พวกนางทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

“ไม่ได้” ในครั้งนี้กู้ไป๋อีไม่ยินยอม

ด้วยเพราะผู้ที่เข้าร่วมงานปรุงยานี้มีมากมายนัก ก่อนที่จะเข้าร่วมนั้นยังจะต้องคัดเลือกคนอยู่กลุ่มหนึ่ง

งานประชุมนักปรุงยาครั้งใหญ่ในครั้งนี้ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องอายุ ไม่ต้องตรวจวัดอายุ แต่ประการแรกนั้นก็คือต้องตรวดวัดพลังจิต

เมื่อได้รู้ว่าจะตรวจวัดพลังจิต นักปรุงยารุ่นหนุ่มสาวเหล่านั้นก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก พลังจิตของพวกเขานั้นจะต้องไม่สามารถสู้กับนักปรุงยาที่ไม่รู้ว่าได้ฝึกบำเพ็ญมาตั้งกี่ปีพวกนั้นได้เป็นแน่

ผู้อาวุโสแห่งสำนักโอสถฯ ได้นำศิลาออกมาก้อนหนึ่งแล้วกล่าว “หกสิบคะแนนจึงนับว่าผ่านเกณฑ์ ต่ำกว่าหกสิบนั้นนับว่าไม่มีคุณสมบัติ”

จากนั้นแต่ละคนก็ได้เข้าไปทำการตรวจวัดพลังจิต แน่นอนว่าเหล่าบรรดาผู้เฒ่าชรา ผู้อาวุโสที่มีพลังความสามารถแข็งแกร่งและฝึกบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่มีปัญหา

แต่เมื่อมาถึงคราวคนรุ่นหนุ่มสาวแล้ว…

“ห้าสิบแปด”

“ไม่ผ่านเกณฑ์”

“สี่สิบเก้า”

“ไม่ผ่านเกณฑ์” ศิลานี้หากต้องการตรวจวัดผู้ที่ไม่ถึงระดับมหาจักรพรรดิให้ผ่านเกณฑ์นั้นมันไม่ง่ายดายเลยทีเดียว

ในที่สุดก็มาถึงครามู่เฉียนซีแล้ว เมื่อผู้อาวุโสที่จะทำการตรวจวัดได้เห็นมู่เฉียนซีซึ่งเป็นเพียงสาวน้อยเช่นนี้ก็ส่ายหัวทันที คงไม่มีหวังมากนัก

แต่มู่เฉียนซีกลับคิดว่าในตอนนี้เป็นแค่การคัดเลือกในขั้นต้นเท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องสิ้นเปลืองกำลังเท่าใดนัก เอาแค่ให้ผ่านเกณฑ์ก็พอแล้ว

ถ้าหากว่าใช้เต็มกำลังละก็ นางก็เกรงว่าศิลาตรวจวัดนี่ระเบิดเข้าเสียก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วนางจะไปหาศิลาตรวจวัดจากที่ไหนมาชดใช้ให้สำนักโอสถฯ เล่า

มู่เฉียนซีนำมือวางลงบนศิลาตรวจวัดนั้น แม้ว่านางจะพยายามกดทับพลังจิตของตนเองเอาไว้ แต่ตัวเลขบนศิลานั้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เจ็ดสิบ”

“เจ็ดสิบห้า”

พอมาถึงเจ็ดสิบห้าแล้วมู่เฉียนซีจึงได้ฝืนบังคับให้มันหยุดลง

คนอื่น ๆ ล้วนแต่ตะลึงค้าง ของผู้อื่นนั้นค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แต่ทำไมของสาวน้อยผู้นี้กลับพุ่งพรวดขึ้นสูงในเวลาเพียงนิดเดียว ช่างน่าประหลาดนัก

ผู้อาวุโสที่ทำการตรวจวัดนั้นกล่าวด้วยความตื่นตะลึง “คุณภาพของศิลาตรวจวัดนี้ดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดถึงได้ตรวจวัดได้รวดเร็วเช่นนี้”

เขายิ้มตาหยีแล้วมองไปยังมู่เฉียนซี “สาวน้อยไม่เลวเลย อายุน้อยแต่กลับมีพลังจิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดูแล้วอนาคตไกลเป็นอย่างมาก

หลังจากมู่เฉียนซีตรวจวัดเสร็จได้ไม่นาน สตรีชุดขาวที่ดูราวกับเทพธิดาก็ได้เดินเข้ามา ไห่ฝานยิ้มแล้วกล่าว “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ เจ้าตรวจวัดก่อน”

นี่สิถึงจะเป็นสตรีเพศที่แท้จริง อ่อนโยน เป็นมิตร เข้าใจจิตใจผู้อื่น ดีกว่าประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานนั่นมากมายนัก แค่เพียงพบเจอก็ทำให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น

.