ผ่านเนตรส่องความลับ แบร์นาแดตพบว่าภายในศาลพระภูมิสีแดงเข้มมีเพียงความว่างเปล่า ด้านในไม่มีสิ่งใดเลย ในทัศนวิสัยมีเพียงชั้นความมืดเจือจางซึ่งปกคลุมโลกแห่งความจริง
หญิงสาวมิอาจพยากรณ์สิ่งใดจากข้อมูลที่ได้เห็น จึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอนสายตากลับตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็สั่งให้ทาสรับใช้ล่องหนเดินไปยังอีกฟากหนึ่งของพื้นที่เปิดโล่ง ใกล้กับเขตป่าดงดิบซึ่งมีต้นไม้สูงตระหง่านเรียงราย
ขณะเดียวกัน เนื่องจากทาสรับใช้ล่องหนมิอาจอยู่ห่างจากเธอได้มากนัก แบร์นาแดตซึ่งยังสวมหมวกล่องหนจึงต้องเดินตามหลังไปอย่างเงียบเชียบ เดินผ่านจุดที่สิ่งมีชีวิตทั่วเกาะเคยมารวมตัวอย่างไม่รีบร้อน
ถึงตรงนี้ ท้องฟ้าหม่นลงเล็กน้อยเนื่องจากถูกชั้นสีดำปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทาสรับใช้ล่องหนเดินเข้าไปในป่าทึบซึ่งกิ่งก้านของต้นไม้บดบังท้องฟ้า บรรยากาศโดยรอบสลัวลงทันใด
ทันทีหลังจากนั้น เนตรส่องความลับซึ่งเกือบโปร่งใส เย็นชา และยากจะตรวจพบ ทำการฉายภาพมายังดวงตาแบร์นาแดตท่ามกลางบรรยากาศอันมืดสลัว ช่วยให้หญิงสาวมองเห็นซากศพสีซีดเรียงรายระหว่างต้นไม้ บนกิ่งก้านอันเบียดเสียดมีกะโหลกศีรษะ ซากสัตว์ และสิ่งที่คล้ายกันห้อยลงมา
บางศพเป็นของมหามังกร บางศพเป็นของสัตว์คล้ายนก บางศพมีแปดขา และบางศพก็เป็นมนุษย์ต้นไม้พิสดาร พวกมันคอยเติมเต็มช่องว่างภายในป่าจนสมบูรณ์
เพียงกวาดตามอง แบร์นาแดตรู้สึกราวกับกำลังเดินเข้ามาในสุสาน ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดโดยธรรมชาติ:
สัตว์วิเศษเหล่านี้ให้กำเนิดทายาทและส่งต่อตะกอนพลังก่อนจะตาย จากนั้นก็ดั้นด้นมายังบริเวณนี้ของป่า มองหาจุดที่ยังว่างและหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะเสียชีวิตลงอย่างเงียบงัน ในภายหลังถูกลมฝนกัดเซาะจนเหลือเพียงโครงกระดูก
ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร…? ในฐานะผู้หยั่งรู้ แบร์นาแดตเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่าฉากซึ่งผุดขึ้นในความคิดเมื่อครู่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เธอยังคงไม่เข้าใจว่า เป็นเพราะอิทธิพลจากพลังแบบใด สิ่งมีชีวิตโบราณบนเกาะถึงเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสุสาน
ยิ่งไปกว่านั้น กริมม์ วิลเลียม และโพลีซึ่งตายไปนานแล้ว กลับดูเหมือนว่าจะยังมีชีวิตอยู่ในสภาวะพิเศษ แต่สัตว์วิเศษซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะมานานและได้รับการกัดกร่อนตลอดเวลา กลับจบลงด้วยความตายและเหลือเพียงโครงกระดูก
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้แบร์นาแดตต้องขมวดคิ้ว เธอไม่มีทางเลือกนอกจากบังคับทาสรับใช้ล่องหนเดินต่อไปยังส่วนลึกของ ‘สุสานคนเป็น’
ส่งผลให้ทาสรับใช้ล่องหนเดินเข้าไปในป่าซึ่งเต็มไปด้วยกระดูกและซากศพเป็นเวลานานกว่าสิบห้านาที
จนกระทั่งได้พบกับวัตถุชนิดที่สี่นอกจากต้นไม้ วัชพืช และซากศพ
เป็นต้นเสาหินสีดำ หนาราวห้าถึงหกคนโอบ สูงสามสิบถึงสี่สิบเมตร บนพื้นผิวบางจุดถูกสภาพอากาศกัดกร่อนเป็นวงกลม ประหนึ่งนิ้วมือซึ่งสวมแหวนคับเกินพอดี
แบร์นาแดตใช้เนตรส่องความลับจดจ้องเสาหินนานหลายวินาที แต่สุดท้ายก็ไม่พบความพิเศษใด คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นส่งๆ
ทาสรับใช้ล่องหนมองไปรอบตัวและเริ่มสังเกตเห็นว่า ศพในบริเวณใกล้เคียงเสาหินมิได้เน่าเปื่อยรุนแรงนัก ยังคงหลงเหลือเนื้อและผิวหนังซึ่งค่อนข้างสภาพดี
แต่ที่นี่ไม่มีพลังพิเศษหรืออิทธิพลใดที่แตกต่างจากจุดอื่น… อาจเป็นไปได้ว่า ศพใกล้เสาหินคือศพใหม่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเหตุผลใดทำให้ศพอยู่ในสภาวะแตกต่างกัน… แบร์นาแดตเชื่อว่าในบริเวณนี้ไม่มีความผิดปรกติ ศพที่แตกต่างกันเกิดจากเหตุผลเฉพาะเจาะจง
เธอมิได้ใช้พลังพยากรณ์เพื่อตรวจสอบสาเหตุ เพราะแก่นสำคัญของพลังพยากรณ์คือการส่องความลับจากแม่น้ำแห่งชะตากรรม ในสถานการณ์ซึ่งยังไม่กระจ่าง แบร์นาแดตไม่มีทางผลีผลาม ด้วยเกรงว่าจะสร้างการเชื่อมต่อกับสิ่งที่ไม่รู้จักอย่างตัวตนลึกลับอันน่าสะพรึง
นอกจากนั้น สถานการณ์ดังกล่าวมิได้สร้างปัญหาให้กับเธอ จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องใช้พลังพยากรณ์
หลังจากค้นหาสักพักและพบเบาะแสใด ทาสรับใช้ล่องหนยังคงเดินต่อไป พยายามผ่านเขตสุสานไปยังเขตอื่นของผืนป่า
ทันใดนั้นเอง แบร์นาแดตได้ยินเสียงเสียดสี
เป็นเสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้และใบไม้ และเสียงกระแสน้ำซึ่งล่องลอยในความว่างเปล่า
แบร์นาแดตเพิ่งสัมผัสถึงสายลมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นมาบนเกาะประหลาด
เธอบังคับให้ทาสรับใช้ล่องหนมองไปยังต้นเสาสีดำตามสัญชาตญาณ
ในการมองเห็นของเนตรส่องความลับ ซากศพใกล้กับเสาหินทยอยเน่าเปื่อยและหลุดลอกทีละหนึ่ง จากนั้น เลือดเนื้อใหม่ได้ผุดขึ้นจากโครงกระดูกราวกับมีชีวิตและความคิดเป็นของตัวเอง ผิวหนังค่อยๆ ปกคลุมร่างกายอันน่าสะพรึงทีละส่วน
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก่อนจะหยุดลง ซากศพไม่หลงเหลือความเน่าเปื่อยอีกต่อไป ดูคล้ายกับเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน
วินาทีถัดมา ลิงบาบูนขนหยิกที่กลายพันธุ์และหมาป่าอสูรแปดขาบรรจงลุกขึ้นยืน
ขนของพวกมันมีสีค่อนข้างซีด ผิวหนังแห้งผาก ดวงตาเย็นชาและไร้อารมณ์
จากนั้น สิ่งมีชีวิตซึ่งตายไปแล้วทั้งสองตัว แยกย้ายกันเดินออกไปจากสุสาน
ดวงตาแบร์นาแดตพลันแข็งทื่อเมื่อได้เห็นฉากดังกล่าว เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตบนเกาะถึงพยายามดั้นด้นมาในบริเวณนี้ก่อนจะตาย และทำไมถึงต้องตายที่นี่:
สำหรับที่นี่ จุดจบของความตายมิใช่การหลับใหลอันเป็นนิรันดร์ หากแต่เป็นการเริ่มต้นใหม่!
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่การ ‘คืนชีพ’ ซึ่ง ‘ผู้ชี้นำวิญญาณ’ ใช้สร้างซอมบี้หรือโครงกระดูก หากแต่เป็น ‘ชีวิตใหม่’ ซึ่งแฝงไปด้วยเจตจำนงและความมีชีวิตชีวาจำนวนหนึ่ง
พลังในการสร้างความโกลาหลและบิดเบือนกฎพื้นฐานของโลก? อา… มีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับการคืนชีพของจักรพรรดิมืด… แต่สภาวะของผู้ที่ถูกคืนชีพนั้นไม่สมบูรณ์สักเท่าไร คล้ายกับซอมบี้มากกว่าคนเป็น… การคืนชีพแบบนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าของร่างแน่นอน… ไคลน์บนสายหมอกย่อมได้เห็นฉากตรงหน้าเช่นกัน จึงคาดเดาหลายสิ่งในใจ
แต่แน่นอน สมมติฐานดังกล่าวตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า จักรพรรดิโรซายล์ได้สร้างสุสานสุดท้ายไว้ที่นี่พร้อมกับทิ้งอิทธิพลบางอย่าง
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ปัดตกข้อสันนิษฐาน
นั่นเพราะก่อนที่จักรพรรดิโรซายล์จะได้เป็นเทวทูต เกาะแห่งนี้มีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่ก่อนแล้ว ความตายของกริมม์คือข้อพิสูจน์!
อา… แต่รายละเอียดของเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น อาจไม่ตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบันของเกาะเสียทีเดียว บางที เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เกาะแห่งนี้อาจถูกบิดเบือนและสร้างความโกลาหลมากกว่าเดิม… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา เตรียมอวยพรให้แบร์นาแดตทุกเมื่อ
แบร์นาแดตเองก็คาดเดาคล้ายคลึงกัน และไม่ปล่อยให้ทาสรับใช้ล่องหนแช่อยู่นานจนกระทั่ง ‘ชีวิตระลอกใหม่’ พัดผ่านเข้ามา
นั่นเพราะเธอสามารถมองเห็นอนาคต:
หลังจากทาสรับใช้ล่องหนได้รับผลกระทบจาก ‘ชีวิตระลอกใหม่’ หนแล้วหนเล่า เจตจำนงและ ‘ชีวิตใหม่’ จะถือกำเนิดขึ้นในตัวมัน!
นอกจากนั้น ใช่ว่าทาสล่องหนจะไม่เคยตรวจสอบเสาหินมาก่อน เพียงแต่ตรวจสอบแล้วก็ยังไม่พบความพิเศษใด แบร์นาแดตจึงเชื่อว่าคงไม่มีประโยชน์หากจะทิ้งมันไว้ที่นี่ต่อไป
พิจารณาจากสภาพแวดล้อม ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจสถานการณ์ภาพรวมของเกาะ ดีกว่าฝืนตรวจสอบเชิงลึกจนเผลอไปกระตุ้นให้ตัวตนลึกลับตื่นตัว
ในหลายกรณี คำถามซึ่งไม่มีคำตอบในช่วงต้น อาจไขปริศนาได้ง่ายดายเมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงช่วงถัดไป
นี่คือประสบการณ์ที่แบร์นาแดตสั่งสมมาหลายปี
เมื่อทาสรับใช้ล่องหนถอนตัว ซากศพระหว่างต้นไม้ใหญ่ก็บางตาลงเรื่อยๆ และระหว่างนี้ แบร์นาแดตค้นพบปรากฏการณ์ใหม่:
ใน ‘ชีวิตระลอกใหม่’ ซากศพอาจไม่คืนชีพเสมอไป แต่เมื่อฟื้นคืนชีพและเดินออกไปจนบริเวณใกล้เคียงเกิดพื้นที่ว่าง ในอีกไม่กี่นาทีถัดมา ศพที่เหลือจะถูกดึงดูดเข้ามาใกล้ประหนึ่งแม่เหล็กกับโลหะ ค่อยๆ เคลื่อนที่โดยไม่ขยับตัวไปยังจุดศูนย์กลางทีละหนึ่ง คล้ายกับเป็นการต่อคิวรอรับพร
กฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง? ไม่สิ ศพเหล่านี้ส่งต่อตะกอนพลังให้ลูกหลานไปแล้ว… ทันใดนั้น แบร์นาแดตผุดคำถาม:
ศพไม่มีทางสร้างตะกอนพลังขึ้นมาใหม่ได้แน่ เช่นนั้นแล้ว พวกมันจะมีพลังพิเศษเหมือนในชีวิตก่อนหรือ?
หากเราเข้าใจสถานการณ์บนเกาะอย่างถ่องแท้เมื่อไร ค่อยตามหา ‘ศพคืนชีพ’ เพื่อทดสอบความจริง… แบร์นาแดตตัดสินใจหนักแน่น ก่อนจะเดินไปตามเส้นทางที่ทาสรับใช้ล่องหนค้นพบ
เธอมิได้ใช้พลังพิเศษอื่นใดนอกจากหมวกล่องหน นั่นก็เพื่อมิให้รบกวนสภาพแวดล้อมจนพลาดรายละเอียดสำคัญ ส่งผลให้หญิงสาวย่างกรายด้วยความเร็วไม่มากนัก ใช้เวลาราวสิบห้านาทีกว่าจะออกจากเขตสุสาน
ถัดมา ทาสรับใช้ล่องหนเดินเข้าไปในเขตป่าด้านหน้า เสียงนกร้องและเสียงสัตว์คำรามเริ่มดังเป็นครั้งคราว ความกระฉับกระเฉงและชีวิตชีวาภายในป่าเขตนี้แตกต่างจากส่วนอื่นของเกาะอย่างชัดเจน
ไคลน์เหนือสายหมอกสีเทาถอนหายใจเงียบ:
โชคดีที่ตอนนี้เราคือเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด หากเป็นที่นี่ เราจะมีระดับตัวตนทัดเทียมราชาเทวทูต สามารถเฝ้ามองจุดแสงวิงวอนได้นานตราบเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องกังวลว่าพลังวิญญาณจะเหือดแห้ง อา… สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือร่างต้นซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง…
หลังจากทาสรับใช้ล่องหนเดินไปข้างหน้าสักพัก มันพบบางสิ่งซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของเกาะ
บ้านไม้ซึ่งดูราวกับเป็นของเจ้าหน้าที่อุทยาน
บ้านไม้มีสีน้ำตาลอมเขียว สูงไม่เกิน 2.5 เมตร คล้ายกับสร้างไว้ให้มนุษย์พักอาศัย แต่รายละเอียดค่อนข้างหยาบ
ทันใดนั้นเอง ประตูบ้านไม้ถูกเปิดออก ส่งผลให้แบร์นาแดตมองเห็นบางส่วนภายในบ้านผ่านเนตรผู้ส่องความลับ:
โต๊ะไม้ซุง เตียงที่ปูด้วยขนสัตว์ และเก้าอี้กลม – เป็นฉากซึ่งบ่งบอกว่ามีมนุษย์พักอาศัยอยู่
ใครอาศัยอยู่ที่นี่…? คิดเช่นนี้ แบร์นาแดตบังคับทาสรับใช้ล่องหนเดินเข้าไปใกล้บ้าน หวังค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม
จากนั้นก็พบว่าด้านในบ้านไม้มีบรรยากาศค่อนข้างเย็น และนอกจากเครื่องเรือนที่กล่าวไปข้างต้นก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก คล้ายกับไม่มีใครอาศัยอยู่ภายในนี้เป็นเวลานาน
ขณะแบร์นาแดตเตรียมใช้เนตรผู้ส่องความลับตรวจสอบรายละเอียดภายในบ้านเพิ่มเติม ลางสังหรณ์ต้องเธอแจ้งเตือนบางสิ่งจนต้องสั่งให้ทาสรับใช้ล่องหนหันหลังกลับ
มีใครบางคนกำลังยืนด้านหลังทาสรับใช้ล่องหนได้สักพักแล้ว!
แต่งกายในเสื้อผ้าหรูหราจากยุคสมัยโรซายล์ ผมสีขาวโพลน ใบหน้าชรา ดวงตาสีฟ้าอ่อนเจือความเย็นชาและว่างเปล่า
เอ็ดเวิร์ด
อัศวินผู้ยังมีชีวิตอยู่เมื่อครั้งมหาจักรพรรดิร่วงหล่น บรรพบุรุษของพลเรือโทธารน้ำแข็งเอ็ดวิน่า
เอ็ดเวิร์ดจ้องทาสรับใช้ล่องหนสักพัก ตามด้วยอ้าปากเปล่งเสียงแผ่ว:
“องค์หญิง”
………………………………