ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 934 จักรพรรดิแพรงาม

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ประมุขปฐวีที่เหมือนกับชายแก่ชรา ประสานมือคารวะทวนพระอังคาร “ขอให้ท่านโปดรรอสักครู่ จักรพรรดิแพรไม่มีทางผิดนัด”

“เขากำลังรีบกลับมาจากมิติต่างแดน เวลาจึงอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง”

ทวนพระอังคารกลายร่างเป็นยักษ์เพลิง ใบหน้าถูกไฟปกคลุม มองไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

ทว่าเขาเบือนหน้ามามองประมุขปฐวีเล็กน้อย “หวังเจิ้งเฉิง เจ้าไม่ต้องพูดมากความ พวกเจ้าเป็นคนกำหนดวัน ถ้าหากผิดนัด คนที่ขายหน้าย่อมเป็นตัวฟู่อวิ๋นฉือเอง แต่อย่างไรเสียข้าก็ไม่ยอมเลิกราอยู่ดี”

“ท้องทะเลแห้งเหือดเป็นผืนนา กาลเวลาผันแปร เรื่องราวมากมายแตกต่างไปจากตอนนั้นจริงๆ”

“แต่ว่าหลายวันมานี้ ข้าค่อยๆ รู้จักโลกซ้อนโลกในปัจจุบันขึ้นมาบ้างแล้ว ในใจกลับมีข้อสงสัยมากกว่าเดิม คิดขอคำชี้แนะจากพวกเจ้า!”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็หันไปมองมู่จวินที่อยู่ด้านข้าง

มู่จวินส่งกระแสเสียงว่า ‘หวังเจิ้งเฉิง เป็นชื่อของประมุขปฐวี’

ประมุขปฐวีเป็นลูกศิษย์ที่กษัตริย์ดินถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง มีชื่อเสียงมาหลายปี

พูดถึงเรื่องวัยวุฒิ กษัตริย์ดินกับนักพรตเสวียนจง อาจารย์ปู่ของจักรพรรดิแพรเป็นสหายรุ่นเดียวกัน

ประมุขปฐวีมีศักดิ์สูงกว่าอาจารย์ของจักรพรรดิแพรฟู่อวิ๋นฉือหนึ่งขั้น ฟู่อวิ๋นฉือจึงถือเป็นคนรุ่นหลานของเขา

ทว่าถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้มาจากสำนักเดียวกัน ดังนั้นหากว่ากันตามปกติ ย่อมต้องพูดเรื่องวัยวุฒิแยกออกไป

ต่อให้มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน กฎเกณฑ์มากมายก็ไม่อาจใช้กับจักรพรรดิได้

ทว่าประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงมีอายุมากกว่าจักรพรรดิแพรไม่น้อย เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปี ก่อนจักรพรรดิแพรจะสร้างชื่อเสียอีก

ดูเหมือนตอนนี้เขาจะถูกคนรุ่นหลังจำนวนไม่น้อยเช่นจักรพรรดิแพรแซงหน้า แต่นั่นก็มีเหตุผลพิเศษอยู่

จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของหวังเจิ้งเฉิงคล้ายคลึงกับหยวนเจิ้งเฟิงเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกแปดพิภพ

หลายปีก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก อาการบาดเจ็บส่งผลถึงพื้นฐาน จนทำให้ติดอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบมาโดยตลอด

ภัยพิบัติเซียน หากข้ามได้แล้วจะก้าวสู่ระดับเซียน หากข้ามไม่ได้ จะถูกทำลายเป็นฝุ่นผง

เขาได้รับบาดเจ็บตอนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุข สถานการณ์สาหัสกว่าหยวนเจิ้งเฟิง โอสถเซียนกลับสวรรค์แม้กระทั่งไม่อาจรักษาได้

ด้วยความสามารถของกษัตริย์ดินเอง ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาของลูกศิษย์ได้

ทว่าในฐานะจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุขผู้มีประสบการณ์ที่สุดในปัจจุบันของโลกซ้อนโลก พลังฝึกปรือของหวังเจิ้งเฉิงอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ มีพลังเหนือกว่าพวกเฉาเจี๋ย จวงเซิง และหลิวเจิงกู่

ขอแค่เขายินยอมลงมือ เขาเพียงคนเดียวก็สามารถควบคุมข้อพิพาทระหว่างจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์บนโลกซ้อนโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แม้ว่าศัตรูจะเป็นเฉาเจี๋ยและจวงเซินในตอนนี้ก็ตาม

ก่อนที่โครงสร้างสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ ประมุขทั้งสิบในปัจจุบันของโลกซ้อนโลกจะถูกกำหนด ตอนที่กษัตริย์ดินยังเป็นราชันพระเสาร์อยู่ หวังเจิ้งเฉิงก็ได้ติดตามอยู่ข้างกายเขา เดินทางไปทั่วใต้หล้าแล้ว

ดังนั้นเขากับทวนพระอังคารจึงนับเป็นคนรู้จัก

หวังเจิ้งเฉิง ประมุขปฐวีมองทวนพระอังคาร ถอนใจกล่าวว่า “แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่ แต่กษัตริย์เร้นลับก็อยู่ที่เขาคุนหลุน แม้จะกำลังเข้าฌานอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากใต้เท้าไปเยี่ยมเยือน เชื่อว่ากษัตริย์เร้นลับจะออกฌานมาพบท่านแน่”

ทวนพระอังคารกล่าวอย่างราบเรียบ “การต่อสู้ในวันนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หากข้าไม่ตาย ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเขาคุนหลุนสักครั้ง”

“ถ้าหากสุดท้ายแล้วฟู่อวิ๋นฉือไม่ปรากฏตัว ข้าก็จะไปอยู่ดี”

หวังเจิ้งเฉิงเงียบงันลงไป ในมิติพลันเงียบสงัด

หลังจากเวลาผ่านไป บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดความกระสับกระส่ายอย่างควบคุมไม่ได้

คนที่มาถึงในภายหลัง ล้วนกลัวว่าตนจะพลาดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ส่วนหนึ่ง ทว่าหลังจากมาถึงแล้ว กลับพบว่าการต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น

คนที่มาชมการต่อสู้สบตากัน แม้ว่าจะไม่มีเสียงสนทนาสับสนดังขึ้น แต่ต่างฝ่ายต่างส่งกระแสเสียง พร่ำบ่นให้กันแลกันฟัง

ทุกคนยังไม่กล้าวิจารณ์จักรพรรดิแพรงามที่ยังมาไม่ถึงอย่างโจ่งแจ้ง

แต่ว่าเมื่อเชื่อมโยงถึงเรื่องที่ทวนพระอังคารทำลายสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อย จักรพรรดิแพรก็ยังไม่ปรากฏตัว คนที่อยู่รอบๆ ก็แอบมองเรือนภาบัวแดง ความกังขาในแววตายิ่งมายิ่งชัดเจนขึ้น

ทว่าในยามนี้เอง เทพอัคคีที่เหมือนเป็นใจกลางจักรวาล ก็พลันเคลื่อนไหวแล้ว

เขาที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนมังกรเพลิงยักษ์ ยามนี้ยืนขึ้นมา

ทุกคนนึกว่าทวนพระอังคารไม่คิดอดกลั้นแล้ว

กระนั้นยักษ์เพลิงตัวนั้นก็ไม่ได้ขยับ แต่หันไปมองที่ไกลออกไป

วินาทีถัดมา บริเวณสุดสายตาของยักษ์เพลิงก็มีปราณสีม่วงหลายสายทะลักขึ้น แผ่พุ่งไปทั่วมิติในชั่วพริบตา

แม้ไม่มีการเปิดเผยสภาวะที่แข็งแกร่ง แต่ว่าคนที่อยู่รอบๆ ล้วนเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นในใจ

ในมิติจักรวาลตรงหน้า เหมือนกับเกิดใจกลางขึ้นสองจุดพร้อมกัน

จุดหนึ่ง คือเทพอัคคีที่ยืนตระหง่านองค์นั้น

ส่วนอีกจุดหนึ่ง คือกลางปราณม่วงอันยิ่งใหญ่นั้น

บนเรือนภาบัวแดง สีหน้าของฟู่ถิงกับเถาอวี้ผ่อนคลายลง ไร้ความกังวลอีก

คนที่ชมดูการต่อสู้ซึ่งอยู่รอบๆ ต่างฮึกเหิม

แม้ว่าจะเห็นแค่ปราณสีขาวกว้างใหญ่ ไม่เห็นตัวคน แต่ทุกคนต่างก็ทราบว่าจักรพรรดิแพรงามมาถึงแล้ว

“ทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว” เสียงที่ทุ้มต่ำแต่กระจ่างชัดเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านในปราณสีม่วง

ปราณม่วงพลันสลาย ปรากฏเงาคนสายหนึ่งขึ้นอย่างเลือนราง

เยี่ยนจ้าวเกอมองไป ผู้ที่เข้ามาในครรลองสายตาของเขาคือบุรุษวัยกลางคน ที่มีอายุราวๆ สี่สิบปีได้

บุรุษผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวราวกับหิมะ คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง ผมไม่ได้สยายขึ้น แต่ปรกไปบนหลัง

รูปโฉมภายนอกของคนผู้นี้ทำให้ผู้คนต้องอุทานอย่างแตกตื่นโดยแท้

องคาพยพสมบูรณ์ของเขาแบบ แต่ว่าไร้แววอ่อนโยน รูปหน้าคมสันชัดเจน องอาจสง่างาม

ในลูกตาเหมือนกับมีอารมณ์หลากหลายกำลังเคลื่อนไหว

ทุกวินาทีเหมือนกับปล่อยบุคลิกที่ไม่เหมือนกันออกมา บางครั้งสุภาพอ่อนโยน บางครั้งอาจหาญก้าวแกร่ง บางครั้งโศกซึ้ง

การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ ไม่มีความรู้สึกไม่เข้ากันใดๆ ทั้งสิ้น กลับกอปรเป็นแรงดึงดูดที่มีเอกลักษณ์ ทำให้องคาพยพที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม

เสน่ห์ที่ทำให้คนต่างเพศงมงาย ทำให้คนเพศเดียวกันถอนใจชมเชย อีกทั้งไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความอิจฉาริษยาชนิดหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก ‘บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งตั้งแต่โลกซ้อนโลกเคยมีมา สมคำร่ำลือจริงๆ’

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยเห็นรูปเงาแสงของจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือ และถอนใจชมเชยมาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้เห็นตัวจริงแล้วก็รู้สึกว่ามีความยิ่งใหญ่มากกว่า

ทวนพระอังคารพอเห็นเงาร่างด้านในปราณสีม่วงกว้างใหญ่ ก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำลายที่อยู่ของตน แต่บนใบหน้าของจักรพรรดิแพรงามบนไม่ปรากฏความโกรธ “ผู้อาวุโส เชิญ”

ประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงถอยไปด้านหลัง

แม้ว่าจะเป็นผู้รับรอง แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ

ณ เวลานี้ ในสถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิสองคนตรงหน้า

และสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ก็คือ คนที่ลงมือก่อนเป็นจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือ

เขายกฝ่ามือขึ้น ปราณประสานกับหยินหยาง

มิติตรงหน้าพังทลาย เวลาพร่าเลือน ที่ว่างไม่คงอยู่ สรรพสิ่งกลายเป็นปราณหยินหยางแรกเริ่ม เพราะฝ่ามือของจักรพรรดิแพรงาม

หยินหยางหมุนวน กอปรกันเป็นรูปไท่จี๋ยักษ์ ตกใส่ทวนพระอังคารอย่างหักโหม

บริเวณที่รูปไท่จี๋ผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นหยินหยาง ไม่คงอยู่ต่อไปอีก

ไท่จี๋หมุนเคลื่อน ก่อเกิดสภาวะบดขยี้ ม้วนทุกสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่ามือของจักรพรรดิแพรงามให้มลายหายไป

ยิ่งเคลื่อนไปด้านหน้าเท่าไร รูปไท่จี๋ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น พลังคล้ายกับเพิ่มขึ้นอย่างไร้สิ้นสุด!

สิ่งที่คนพูดถึงมากที่สุดเกี่ยวกับจักรพรรดิแพร ก็คือเรื่องความงามสง่าองอาจที่ไร้ข้อผูกมัด ดุจดั่งเอกภพที่งามเหมือนผ้าแพร และเรื่องที่เขามีภรรยาโฉมงามมากมาย

แต่ว่าคนที่จักรพรรดิผู้นี้เคยสังหาร สุดที่โฉมสะคราญที่เขาเคยผ่านจะเทียบเคียงได้!

………………..