เมื่อได้ทราบชื่อของเสี่ยวอ้ายโม่ เฟิงชิงหลิงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“เยี่ยมไปเลย น้องชาย หลังจากนี้เราจะเป็นมิตรสหายกันได้รึไม่ ?”
นางต้องการจะยื่นมือเข้าไปจับมือเสี่ยวอ้ายโม่ ทว่าจู่ ๆ ก็นึกเปลี่ยนใจขึ้นมาและดึงมือกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ได้เลย แต่ข้ามิใช่น้องชายหรอก ข้าเป็นน้องสาวต่างหาก”
เสี่ยวอ้ายโม่ไม่แสดงท่าทีรังเกียจอีกต่อไปและเปิดเผยความจริงไปโดยตรง แม้เฟิงชิงหลิงผู้นี้จะทำตัวประหลาดและเอาแต่ใจอยู่บ้าง นางก็ดูจะมิใช่คนที่เลวร้ายอะไร
“เอ๋…? น้องสาวรึ ?”
เฟิงชิงหลิงชะงักไปทันที ไม่ว่าจะมองอย่างไร เสี่ยวอ้ายโม่ก็ไม่ได้ดูเหมือนเด็กสาวเลยสักนิด
“ข้าไม่มีทางเลือก หากเด็กที่น่ารักน่าชังอย่างข้าเดินไปเดินมาบนท้องถนน มันคงจะโดดเด่นสะดุดตาจนเกินไป เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกเล็กน้อย”
เสี่ยวอ้ายโม่กางมืออย่างช่วยไม่ได้และกล่าวออกไปด้วยวาจาที่ไม่รับรู้เลยว่าฟังดูหลงตัวเองมากเพียงใด
“นั่นก็จริง ทุกคราที่ข้าออกมาเที่ยวเล่น ท่านพ่อมักจะสั่งให้ผู้พิทักษ์กลุ่มใหญ่ติดตามข้าออกมา แม้จะน่ารำคาญอยู่บ้าง พวกเขาก็ช่วยปกป้องข้าได้ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีจอมยุทธ์ชั่วร้ายบางกลุ่มที่ชอบจับตัวเด็กสาวน่ารัก ๆ แบบเรากลับไปเลี้ยงดู จากนั้นเมื่อโตก็จะตบแต่งเป็นภรรยา”
เฟิงชิงหลิงรีบกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือมา
“เอ่อ…เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใดรึ ?”
เสี่ยวอ้ายโม่ถึงกับพูดไม่ออกเล็กน้อยและรู้สึกทันทีว่าเฟิงชิงหลิงมีความคิดที่แหวกแนวจนพิสดารในระดับหนึ่ง
“มันอยู่ในตำราที่ข้าเคยอ่านมา พวกจอมยุทธ์ที่ชื่นชอบเด็กสาวนี่น่ากลัวจริง ๆ”
เฟิงชิงหลิงชื่นชอบการอ่านเรื่องเล่าในตำราเป็นประจำ โดยเฉพาะยิ่งคือเรื่องราวเกร็ดประวัติของดินแดนที่นางอ่านอยู่บ่อยครั้ง เรื่องที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่ก็มาจากเรื่องเล่าในตำราเหล่านั้นเช่นกัน
เดิมทีฉินเทียนและฝ่ายผู้พิทักษ์จากจวนเจ้าเมืองยังจ้องหน้ากันตาเขม็ง ทว่าตอนนี้เมื่อเด็กสาวทั้งสองพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ พวกเขาก็คลายความตึงเครียดและพูดไม่ออกเล็กน้อย
“ท่านจอมยุทธ์ ข้าต้องขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วย”
เวลานี้หัวหน้าผู้พิทักษ์ที่อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ยังคงยืนวางท่าสูงส่งอยู่ด้านข้างและไม่เห็นฉินเทียนอยู่ในสายตาเช่นเดิม ในขณะที่ผู้พิทักษ์อีกคนยกกำปั้นขึ้นประกบกันและกล่าวขอโทษขอโพยต่อฉินเทียนอย่างจริงใจ
“มิใช่ความผิดของท่านหรอก ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
ฉินเทียนโบกมือปัดขณะสายตาเลื่อนไปหยุดลงที่จอมยุทธ์ขอบเขตเทพสวรรค์ผู้นั้น
“เจ้าต้องขอบคุณคุณหนูของเจ้าที่สั่งห้ามไว้เมื่อครู่ มิเช่นนั้น เจ้าคงจะไม่ได้กลับไปในสภาพที่สมบูรณ์เช่นนี้”
เขากล่าวอย่างเย็นชาและแววตาแสดงจิตสังหารอย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ กล่าววาจาได้อย่างไม่อายปาก อย่างเจ้ามิใช่คู่มือของข้าหรอก”
เขาไม่สะทกสะท้านต่อวาจาของฉินเทียนแม้แต่น้อยและแค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน
ฉินเทียนก็ไม่ต้องการเสียเวลาโต้แย้งอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาก็แอบคิดอยู่ในใจแล้วว่าหากมีโอกาสในอนาคต เขาจะต้องสั่งสอนผู้พิทักษ์ที่อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ผู้นี้อย่างสาสม
“เอาล่ะ ข้าพูดคุยกับเจ้ามามากพอแล้ว ข้าจะไปเดินซื้อของกับท่านตาต่อ”
เฟิงชิงหลิงช่างจ้อยิ่งนักและพูดรัวใส่เสี่ยวอ้ายโม่อย่างไม่หยุดหย่อนจนนางหาจังหวะแยกตัวออกไปไม่ได้
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันครู่หนึ่ง เสี่ยวอ้ายโม่จึงตัดสินใจยกมือขัดจังหวะเพื่อปรามอีกฝ่ายไว้
“เจ้าพักอยู่ที่ใดล่ะ ? ข้าจะไปหาเจ้าได้ที่ใด ?”
เฟิงชิงหลิงหน้ามุ่ยเล็กน้อยทันที ทว่าปรับสีหน้ากลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วและเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมากที่สุด
“เราพักอยู่ในโรงเตี๊ยมนั่น ถ้าอยากจะมาหาข้าก็ไปที่นั่นได้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเราได้พบคนที่ตามหา เราก็อาจจะไปจากที่นี่ทันทีและเจ้าจะไม่ได้พบกับข้าอีก”
เสี่ยวอ้ายโม่ชี้ยังไปโรงเตี๊ยมที่ตนพักอยู่และกล่าวเสริมขึ้นมา
“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”
เฟิงชิงหลิงกำลังจะเอ่ยปากถามว่าเสี่ยวอ้ายโม่กำลังตามหาผู้ใด ทว่าเมื่อไตร่ตรองดู นางก็ตระหนักว่ายังไม่สนิทสนมกันถึงขั้นนั้นและตัดสินใจไม่ถามออกไป
“จะว่าไปแล้ว…เจ้าอยากจะไปเล่นสนุกที่จวนเจ้าเมืองของข้ารึไม่ ?”
นางกล่าวเชิญชวนอย่างจริงใจ
“จวนเจ้าเมือง…”
เสี่ยวอ้ายโม่นึกสนใจขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นฉินเทียนส่ายศีรษะเบา ๆ นางก็ตอบปัดอย่างไม่ลังเล
“ไว้พูดคุยเรื่องนี้กันในภายหลังเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวทิ้งท้ายและจับมือฉินเทียนเดินหายไปจากตรงหน้าเฟิงชิงหลิงอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู เราก็ควรกลับได้แล้วขอรับ”
หนึ่งในคณะผู้ติดตามย้ำเตือนเฟิงชิงหลิงเบา ๆ
“ตกลง เรากลับกันเถอะ ต่อไปอย่าก่อเรื่องสร้างปัญหากันอีกล่ะ อ้ายโม่พูดถูก เราต้องพึ่งพาตัวเองในทุก ๆ เรื่อง การพึ่งคนอื่นมิใช่สิ่งที่ดีเลย”
เฟิงชิงหลิงหันหลังกลับและเดินตรงไปยังทิศทางของจวนเจ้าเมือง หลังจากนั้นไม่นาน นางและคณะก็ปรากฏตัวข้างหน้าประตูจวนเจ้าเมืองของเมืองว่านฮว๋า
จวนเจ้าเมืองของเมืองว่านฮว๋าดูยิ่งใหญ่และงดงามอย่างยิ่ง หน้าประตูมีผู้พิทักษ์ที่คอยคุ้มกันอยู่หลายคนและเมื่อเห็นเฟิงชิงหลิงกลับมาถึง พวกเขาก็โค้งคำนับนางทันที
เฟิงชิงหลิงไม่สนใจคนเหล่านั้นและเดินตรงเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้ามา นางก็พบกับคนสองคนพอดิบพอดี
“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านทั้งสองจะไปไหนกันรึเจ้าคะ ?”
เมื่อพบหน้าคนทั้งสอง เฟิงชิงหลิงก็คลี่ยิ้มกว้างและเข้าไปทักทายทันที
“หลิงเอ๋อร์เพิ่งกลับมาจากการเที่ยวเล่นข้างนอกสินะ”
ทั้งสองคนนี้ก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าผู้ที่ดูแลเสี่ยวอ้ายฉือในคฤหาสน์บนยอดเขานั่นเอง เจ้าเมืองว่านฮว๋าในปัจจุบันคือหลานชายของเฟิงหย่านามว่า ‘เฟิงว่านหลี่’ ก่อนหน้านี้ทั้งสองพาเสี่ยวอ้ายฉือลงจากภูเขาเพื่อมาเปิดโลก ทว่าเมื่อเข้ามาในเมืองว่านฮว๋าได้เพียงไม่นาน จู่ ๆ เสี่ยวอ้ายฉือก็ต้องการจะทะลวงพลังอย่างกะทันหัน เพราะฉะนั้น ทั้งสามจึงพักอยู่ในจวนเจ้าเมืองเป็นการชั่วคราว
“เจ้าค่ะ ท่านย่า วันนี้ข้าได้พบกับเด็กสาวที่ทรงพลังคนหนึ่งบนท้องถนน นางมีอายุที่ไล่เลี่ยกับข้า ทว่าแข็งแกร่งกว่าข้ามาก อีกอย่าง…นางก็น่าสนใจมากเลยเจ้าค่ะและหลิงเอ๋อร์ชอบนางมาก ๆ เลย”
เฟิงชิงหลิงเข้าไปกอดขาเฟิงหย่าไว้แน่นและยิ้มกว้างขณะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในวันนี้ด้วยวาจาที่แสดงความชื่นชมต่อเสี่ยวอ้ายโม่อย่างชัดเจน
“จริงรึ ? ในเมื่อหลิงเอ๋อร์รู้สึกถูกชะตาเด็กสาวผู้นั้นมาก เจ้าได้เชิญนางมาที่จวนเจ้าเมืองรึยังล่ะ ?”
เฟิงหย่าลูบศีรษะของเด็กสาวอย่างเอ็นดูและไม่สอบถามรายละเอียดใด ๆ มากนักขณะใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เชิญแล้วเจ้าค่ะ แต่นางกล่าวว่าต้องการจะไปเที่ยวซื้อของกับท่านตาและต้องตามหาใครบางคนจึงไม่มีเวลามากนัก ตอนแรกข้าก็อยากจะถามว่าคนที่นางตามหาคือใครเพื่อดูว่าเราจะช่วยได้หรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าเราเพิ่งพบหน้ากันและยังไม่สนิทสนมถึงขั้นที่จะถามเรื่องส่วนตัว ข้าจึงไม่ต้องการทำตัวละลาบละล้วงและไม่ได้ถามไปเจ้าค่ะ”
เฟิงชิงหลิงกล่าวอย่างคร่าว ๆ ทว่าลืมเอ่ยถึงชื่อ ‘เสี่ยวอ้ายโม่’ ไปอย่างน่าเสียดาย
“หลิงเอ๋อร์ทำถูกแล้วล่ะ”
เฟิงหย่ากล่าวชมและรับรู้ได้ว่าหลานสาวดูจะมีไหวพริบและมีกาลเทศะมากขึ้น เวลานี้นางนึกถึงความรู้สึกของคนผู้อื่นมากขึ้นกว่าก่อนมาก
“อีกอย่าง…น้องอ้ายฉือออกมารึยังเจ้าคะ ?”
เฟิงชิงหลิงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย เมื่อนึกถึงฉินอ้ายฉือผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการทะลวงพลัง นางก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“ยังไม่ออกมาหรอก แต่เมื่อคำนวณจากเวลาแล้วก็คงจะใกล้เต็มที”
เพียงได้ยินชื่อของฉินอ้ายฉือ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวอย่างปิดไม่มิด เสี่ยวอ้ายฉือเป็นเด็กที่ชาญฉลาดไหวพริบดีและน่าเอ็นดูอย่างที่สุด หลังจากที่ได้ใช้เวลาร่วมกันมาเป็นระยะหนึ่ง ทั้งสองก็มองเสี่ยวอ้ายฉือเป็นดั่งหลายชายแท้ ๆ ของตนและต้องการดูแลเขาให้ดีที่สุด
“หลังจากที่น้องอ้ายฉือออกมาจากการเก็บตัว ข้าจะแนะนำน้องสาวผู้นั้นให้เขารู้จักเอง”
เฟิงชิงหลิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนบอกลาทั้งสองและกลับไปยังเรือนที่พักของตน
เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวก็มองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มกว้าง จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากจวนเจ้าเมืองไปด้วยกันและมุ่งหน้าออกไปในทิศทางหนึ่ง…
ณ โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอวี้โม่อาศัยอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินเป็นเวลาหกเดือนและความแข็งแกร่งของนางก็พัฒนาขึ้นอีกครั้ง