เด็กสาวเอาแต่ใจผู้นี้คือบุตรสาวของเจ้าเมืองว่านฮว๋าและมีอายุเพียงแปดขวบซึ่งมากกว่าเสี่ยวอ้ายโม่เพียงปีเดียวเท่านั้น
รูปร่างของทั้งสองดูไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่เสี่ยวอ้ายโม่ในตอนนี้เปลี่ยนลักษณะภายนอกให้เป็นเด็กชายที่มีผิวเข้มและรูปลักษณ์ก็ดูธรรมดาไม่โดดเด่นแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวอ้ายโม่กล่าวตำหนิเฟิงชิงหลิงเมื่อครู่ ทุกคนในบริเวณนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสง่างามและความสูงส่งบางอย่างที่แผ่มาจากตัวนางซึ่งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง และนั่นทำให้ทุกคนแปลกใจกันไม่น้อย
“เจ้าเด็กนั่นกล้าตำหนิบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองเช่นนี้เลยรึ ? อาจหาญจริงเชียว”
หลายคนเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและวาจาของเสี่ยวอ้ายโม่เมื่อครู่ถือว่าสมเหตุสมผลอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความกล้าหาญในการประจันหน้ากับบุตรสาวของเจ้าเมืองที่ทั้งเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งซึ่งมักจะถูกเอาอกเอาใจอยู่เสมอทำให้พวกเขาสันนิษฐานแล้วว่าเด็กชายผิวเข้มจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะนิสัยเอาแต่ใจและไม่ยอมคนของเฟิงชิงหลิง เกรงว่าเรื่องในวันนี้คงจะไม่ยุติลงง่าย ๆ
“เจ้า…”
เฟิงชิงหลิงยกนิ้วชี้ตรงไปที่เสี่ยวอ้ายโม่ทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบโต้ไปชั่วขณะ
“เหอะ คิดว่าข้าจะไม่กล้าสู้กับเจ้างั้นรึ ? นอกจากท่านพ่อ เจ้าก็เป็นคนเดียวที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับข้า อยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด !”
เฟิงชิงหลิงแค่นเสียงเย็นชาและแส้เส้นยาวปรากฏขึ้นมาในมือ แม้จะมีอายุเพียงแปดขวบ ความแข็งแกร่งของนางก็บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นอย่างมากซึ่งกล่าวได้ว่าพรสวรรค์ของนางแทบจะไม่ด้อยไปกว่าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่
หากมิใช่เพราะหลอมรวมเข้ากับกายาเจ็ดสีก่อนหน้านี้ เกรงว่าเสี่ยวอ้ายโม่คงจะมิใช่คู่มือของเฟิงชิงหลิง อย่างไรก็ตาม หลังจากผสานกับกายาเจ็ดสีที่ทรงพลัง แม้พลังยุทธ์ยังติดอยู่ที่ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด แต่พลังในการต่อสู้ของเสี่ยวอ้ายโม่ก็มากพอที่จะประจันหน้ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตนภาเซียนได้แล้ว สำหรับการประจันหน้ากับเฟิงชิงหลิง ไม่มีทางเลยที่นางจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
ทันทีที่แส้เส้นยาวถูกเหวี่ยงตรงมาที่ตน เสี่ยวอ้ายโม่ก็ยื่นมือออกไปจับมันไว้โดยที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
เฟิงชิงหลิงอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กชายที่ดูธรรมดา ๆ จะขัดขวางการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย
แส้ยาวของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังมายาเช่นกัน เพราะฉะนั้น การที่อีกฝ่ายยื่นมือออกมาจับมันไว้ได้อย่างง่ายดายและไม่บาดเจ็บใด ๆ จึงเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก
บรรดาผู้ติดตามของเฟิงชิงหลิงจากจวนเจ้าเมืองต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาตระหนักถึงพลังของคุณหนูของตนเป็นอย่างดี นอกเหนือจากเด็กชายแปลกหน้าที่เดินทางมาที่จวนเจ้าเมืองเมื่อหลายวันก่อน ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็แทบจะไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ให้กับนางได้
อย่างไรก็ตาม เด็กชายผิวเข้มตรงหน้ากลับขัดขวางการโจมตีของคุณหนูของพวกเขาได้โดยที่ไม่เสียเหงื่อด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง
เพี๊ยะ !
ด้วยการออกแรงดึงเบา ๆ แส้ในมือของเฟิงชิงหลิงก็เข้ามาอยู่ในมือของเสี่ยวอ้ายโม่ จากนั้นนางก็เหวี่ยงแส้ออกไปอย่างรุนแรง ราวกับจะฟาดเฟิงชิงหลิงอย่างหนัก
“โอ๊ยยย ! อย่าทำข้าเลย… ฮึก~ ฮืออออ~”
แส้ดังกล่าวเพียงฟาดลงที่พื้นตรงหน้าเฟิงชิงหลิงเท่านั้น ทว่านางก็หวาดกลัวจนร้องไห้โฮออกมา
“……”
เสี่ยวอ้ายโม่ถึงกับพูดไม่ออกทันที เหตุใดนางจึงร้องไห้โฮทั้งที่แส้ยังไม่สัมผัสถึงตัวด้วยซ้ำ ?
“คุณหนู อย่าเพิ่งร้องไห้เลยขอรับ แส้ยังไม่โดนตัวท่านเลย”
บรรดาผู้ติดตามของจวนเจ้าเมืองก็มีใบหน้าที่ถอดสีเล็กน้อย ความกล้าหาญของคุณหนูของพวกเขาช่างน้อยนิดยิ่งนักและนางร่ำไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัวเมื่อสู้กับอีกฝ่ายไม่ได้
“เอ๋ ?”
เฟิงชิงหลิงหยุดชะงักไปทันทีและเช็ดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มก่อนกล่าวอย่างเก้อเขิน “ขอบคุณมาก”
เสี่ยวอ้ายโม่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม คุณหนูของจวนเจ้าเมืองมีสติที่ไม่ดีรึ ?เมื่อครู่นี้ยังวางท่าเย่อหยิ่งอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับกล่าวขอบคุณนางอย่างไร้เหตุผล คุณหนูผู้นี้ชื่นชอบการถูกรังแกรึอย่างไร ?
“เหอะ ริอาจนัก กล้าดีอย่างไรจึงมารังแกคุณหนูของพวกเรา ?!”
ผู้พิทักษ์ที่ตีมือเสี่ยวอ้ายโม่ก่อนหน้านี้ก็แค่นเสียงเย็นชาพร้อมกับแผ่แรงกดดันออกไปยังฉินเทียนและเสี่ยวอ้ายโม่ทันที
“เหอะ ข้ายังไม่ได้สะสางเรื่องที่เจ้าทำร้ายหลานของข้าเลย ตอนนี้เจ้ายังกล้าทำตัวยโสโอหังอีกรึ ?!”
ฉินเทียนแค่นเสียงเย้ยหยันและโบกมือเล็กน้อยก่อนที่จะทำให้แรงกดดันจากอีกฝ่ายหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย ฉินเทียนก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มั่นใจว่าพลังในการต่อสู้ของเขาเหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
เขามองไปที่หลังมือบวมแดงของเสี่ยวอ้ายโม่แวบหนึ่งก่อนแววตาฉายแววความอาฆาตแค้นทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
เมื่อบุรุษผู้นั้นกำลังจะโจมตี เฟิงชิงหลิงก็ส่งเสียงเชิงตำหนิเพื่อหยุดเขาในทันที
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรรึ ?”
นางหันกลับมามองเสี่ยวอ้ายโม่ด้วยแววตาใคร่รู้ขณะเดินเข้าไปใกล้และไม่เหลือร่องรอยของความเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไป
“เหตุใดข้าจะต้องบอกเจ้า ?”
แม้เสี่ยวอ้ายโม่ไม่ชอบหน้าคุณหนูของจวนเจ้าเมืองผู้นี้ ทว่าเข้าใจดีว่านางคงจะเป็นคุณหนูที่ถูกทุกคนเอาใจจนเคยตัว เพราะเหตุนั้น เสี่ยวอ้ายโม่จึงไม่มีสีหน้าที่เป็นปฏิปักษ์อีกต่อไปและกล่าวตอบโดยไม่แยแสนัก
“น้องชาย บอกข้ามาเถอะนะ !”
เฟิงชิงหลิงหน้ามุ่ยเล็กน้อยและขยับเข้าไปใกล้เพื่อเกาะแขนเสี่ยวอ้ายโม่อย่างออเซาะทว่าถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็ว
“แหวะ ขนลุกชะมัด ถอยไปเลยนะ อย่าเข้ามาใกล้ข้า !”
เสี่ยวอ้ายโม่ขนลุกซู่และโบกมือปัดด้วยท่าทางรังเกียจ
“ข้าขอโทษ ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าขอโทษจริง ๆ ตราบใดที่เจ้าบอกชื่อของเจ้ามาและบอกสิ่งที่เจ้าต้องการที่นี่ ข้าจะมอบทุกอย่างให้เจ้าเอง”
แม้เห็นสีหน้าท่าทางรังเกียจของเสี่ยวอ้ายโม่ เฟิงชิงหลิงก็ไม่โกรธเคืองแต่อย่างใด ทว่ายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เอาอกเอาใจ
“เอาล่ะ ตราบใดที่เจ้าให้สัญญาว่าจะไม่ใช้สถานะของตนเพื่อทำสิ่งที่ไม่ดีและรังแกผู้ที่อ่อนแออีกในอนาคต ข้าก็จะบอกเจ้า”
เสี่ยวอ้ายโม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจและกล่าวเงื่อนไขของตนเองออกไป
“ตกลง ข้าสัญญา ! และข้าสัญญาว่าต่อไปข้าจะพยายามพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด เว้นแต่ว่าคนอื่นจะรังแกข้าก่อนหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ข้าจะไม่รังแกผู้ใดอีกเลย”
เฟิงชิงหลิงพยักหน้าหงึกหงักและให้คำมั่นด้วยเสียงดังฟังชัด
อันที่จริง นางก็มิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาและทราบดีว่าสิ่งที่เคยทำในอดีตไม่ถูกไม่ควรนัก เพียงแต่ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวตำหนินางอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวนางเหนือกว่าผู้อื่นเพียงเพราะสถานะและภูมิหลังเท่านั้น หากไม่มีตัวตนในฐานะบุตรสาวของเจ้าเมือง นางก็เป็นได้เพียงคนธรรมดา ๆ ที่ไม่มีสิ่งใดพิเศษเลยสักนิด
แม้เฟิงชิงหลิงจะมีพรสวรรค์ที่ดีพอสมควร นั่นก็เป็นผลพลอยได้จากมรดกตกทอดในจวนเจ้าเมือง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ต่อให้จะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม มันก็ไม่มีประโยชน์หากปราศจากทรัพยากรที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนา
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะ ‘น้องชาย’ ผู้ซึ่งเดินทางมาที่เรือนของนางก่อนหน้านี้และน้องชายตรงหน้าที่เอาชนะนางได้อย่างง่ายดายจึงทำให้เฟิงชิงหลิงตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ นางจึงรู้สึกว่ากลิ่นอายที่แผ่มาจากเด็กชายผิวเข้มตรงหน้าคล้ายคลึงกับน้องชายที่พบที่เรือนก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะช่วงคิ้วและดวงตาของทั้งสองก็คล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่เสี่ยวอ้ายโม่ตรงหน้านี้มีผิวที่เข้มกว่าเท่านั้น
“ข้ามีชื่อว่าหานอ้ายโม่”
เสี่ยวอ้ายโม่แนะนำชื่อของตนเบา ๆ และกล่าวต่อ “ข้าทราบชื่อของเจ้าแล้ว เจ้าชื่อเฟิงชิงหลิง…และมันเป็นชื่อที่ไพเราะทีเดียว”
“หานอ้ายโม่…”
เฟิงชิงหลิงชะงักไปเล็กน้อยทันที แม้แต่ชื่อของน้องชายผู้นี้ก็คล้ายกับน้องชายผู้นั้นมาก คนหนึ่งมีนามว่าฉินอ้ายฉือ ส่วนคนตรงหน้ามีนามว่าหานอ้ายโม่…
.
.