ณ เมืองว่านฮว๋าในดินแดนระดับสูง เสี่ยวอ้ายโม่และฉินเทียนกำลังพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้ทรงพลังมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งสองจึงตั้งใจที่จะเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้และปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของตนเอง ฉินเทียนและเสี่ยวอ้ายโม่ในตอนนี้เป็นเพียงคู่ตาหลานที่ดูธรรมดาคู่หนึ่งซึ่งไม่ดึงดูดสายตาของผู้ใดและสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ
ในเวลานี้ เสี่ยวอ้ายโม่กำลังนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะภายในห้องพักขณะดวงตากลมโตฉายแววความฉงนและดูไม่สบอารมณ์นัก
“ท่านตาเจ้าคะ ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเสี่ยวอ้ายฉือควรจะอยู่ในบริเวณนี้ ทว่าเหตุใดข้าจึงระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเขาไม่ได้ ?”
นับตั้งแต่มาถึงโลกแห่งเทพ ทั้งสองก็มุ่งหน้าตรงมาตามทิศทางที่เสี่ยวอ้ายโม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเสี่ยวอ้ายฉือและมาถึงเมืองที่มีชื่อว่าเมืองว่านฮว๋าในที่สุด
จากการรับรู้ของเสี่ยวอ้ายโม่ เสี่ยวอ้ายฉือควรที่จะอยู่ในเมืองนี้ อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถระบุพิกัดที่ชัดเจนยิ่งกว่านี้ได้เลย
“หากเสี่ยวอ้ายฉือรับรู้ได้ว่าข้ามาตามหาถึงที่นี่ แต่ไม่ยอมออกมาพบข้าละก็ เมื่อได้พบกัน ข้าจะสั่งสอนเขาให้รู้สำนึกเลยคอยดู !”
ถึงแม้จะไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เสี่ยวอ้ายโม่ก็ไม่กังวลจนเกินไป แม้จะไม่สามารถระบุพิกัดที่แน่ชัดได้ นางก็มั่นใจว่าเสี่ยวอ้ายโม่ปลอดภัยดี ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะเข้าสู่มิติพิเศษบางอย่างจึงไม่สามารถรับรู้การมาถึงของนางได้ มิเช่นนั้น เสี่ยวอ้ายฉือคงจะหาทางออกมาพบกับพวกนางตั้งนานแล้ว
“ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เสี่ยวอ้ายฉือยังไม่ไปจากที่นี่ เราจะได้พบเขาในไม่ช้าก็เร็ว”
ฉินเทียนลูบศีรษะเสี่ยวอ้ายโม่เบา ๆ และกล่าวเพื่อมิให้นางกังวลจนเกินไป
“ไปกันเถอะ ตาจะพาเจ้าไปซื้อของสักหน่อย ตั้งแต่มาถึงที่เมืองนี้ เรายังไม่ได้ออกไปเที่ยวซื้อของกันเลย วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้สิ่งใด ตาจะซื้อให้เจ้าทุกอย่าง”
ฉินเทียนจับมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวอ้ายโม่และทั้งสองก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยกันพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เมืองว่านฮว๋าคือหนึ่งในเมืองหลักระดับหนึ่งของโลกแห่งเทพซึ่งมีชีวิตชีวาอย่างมากและมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยและมีสิ่งของมากมายที่ถือว่าหายากในดินแดนระดับต่ำ แน่นอนว่านอกจากนั้นก็ยังมีร้านค้าขายอาหารและของเล่นซึ่งเป็นที่โปรดปรานของบรรดาเด็กเล็ก
หลังจากเดินสำรวจไปทั่วบริเวณพักใหญ่ ทั้งสองก็หยุดลงข้างหน้าร้านขายของเล่นแห่งหนึ่ง
ดวงตาของเสี่ยวอ้ายโม่บรรจบลงที่หุ่นไม้จำนวนหนึ่งและรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของนางทันที
“ท่านตา ท่านคิดว่าหุ่นไม้ชุดนี้ดูเหมือนครอบครัวสี่คนของเรารึไม่เจ้าคะ ?”
มือเล็ก ๆ ของนางชี้ไปยังหุ่นไม้เสมือนจริงทั้งสี่ตัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าหุ่นไม้เหล่านี้ราคาเท่าใดรึ ?”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอ้ายโม่ชื่นชอบ ฉินเทียนก็ไม่รอช้าและเอ่ยถามราคาจากเถ้าแก่ทันที ก่อนเดินทางมายังโลกแห่งเทพก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ได้มอบแก่นหินวิญญาณจำนวนมากให้กับเขาและอุปกรณ์มายาระดับสูงจำนวนหนึ่งเนื่องจากเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของเขา อีกทั้งฉินอี้เฟยก็ได้มอบโอสถระดับสูงจำนวนมากให้กับฉินเทียนซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สามารถขายได้ในราคาสูงในโรงประมูล
เพราะเหตุนั้น กล่าวได้ว่าฉินเทียนมีเงินทองไม่ขาดมือและมูลค่าของทั้งหมดที่เขามีอยู่ในแหวนมิติตอนนี้ก็เพียงพอที่จะก่อตั้งขุมกำลังเล็ก ๆ ขึ้นมาได้…
“สิบหินวิญญาณขอรับ”
ผู้ดูแลร้านขายของเล่นคือบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูมีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น เขายิ้มให้กับเสี่ยวอ้ายโม่อย่างเป็นมิตรและบ่งบอกราคาสินค้าซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล
ค่าเงินในโลกแห่งเทพสูงกว่าดินแดนระดับต่ำมากนัก หินวิญญาณหนึ่งก้อนของที่นี่เทียบเท่าได้กับหนึ่งร้อยแก่นหินวิญญาณในดินแดนมหาเทพ และการขายหุ่นไม้ทั้งชุดในราคาสิบหินวิญญาณก็มิใช่ราคาที่สูงจนเกินไป
ฉินเทียนหยิบหินวิญญาณออกมาจากแหวนมิติอย่างไม่ลังเลและยื่นให้กับเจ้าของร้านอย่างรวดเร็วก่อนที่เสี่ยวอ้ายโม่จะยื่นมือออกไปเพื่อหยิบหุ่นไม้เหล่านั้นมา
เพี๊ยะ !
เสียงตบดังขึ้นพร้อมกับมือหนึ่งที่ตีเข้าที่หลังมือของเสี่ยวอ้ายโม่จนหลังมือของนางแดงเถือกและเริ่มบวมอย่างรวดเร็ว
“เด็กบ้านนอกอย่างเจ้าคิดจะแย่งสิ่งที่เป็นของคุณหนูผู้นี้งั้นรึ ?”
น้ำเสียงทะนงตนดังขึ้นในหูของเสี่ยวอ้ายโม่และฉินเทียนขณะลูกค้าหลายคนถูกผลักออกไปจากร้าน
“เถ้าแก่ หุ่นไม้พวกนี้ คุณหนูผู้นี้ต้องการที่จะซื้อมัน !”
ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มผู้มาใหม่คือเด็กสาวที่อยู่วัยไล่เลี่ยกับเสี่ยวอ้ายโม่ซึ่งสวมอาภรณ์งดงามหรูหราและเห็นได้ชัดว่าสถานะของนางไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ด้านหลังของนางคือผู้พิทักษ์หลายคนและแม่บ้านคนหนึ่ง ผู้ที่ตีมือเสี่ยวอ้ายโม่อย่างแรงเมื่อครู่คือหัวหน้าผู้พิทักษ์ผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพสวรรค์และถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมาก
“เสี่ยวอ้ายโม่ เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?”
เมื่อเห็นหลังมือที่บวมปูดของหลานสาว แววตาของฉินเทียนก็ฉายแววคลุมเครือเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองคนเหล่านั้นโดยที่จิตสังหารในแววตาฉายวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง
“เฮ้ มันเป็นสิ่งที่พวกเราเห็นก่อนและก็จ่ายเงินไปแล้วด้วย เจ้าต่างหากที่คิดจะแย่งของ ๆ ข้าและสั่งให้คนของเจ้าตีมือข้าเช่นนี้”
เสี่ยวอ้ายโม่มิใช่คนใสซื่อไร้เดียงสาจนเกินไปและไม่มีทางทนต่อการถูกรังแกเช่นนี้ แม้หลังมือของนางจะบวมแดง มันก็ไม่เจ็บปวดเท่าใดนัก เพียงแต่เดิมทีนางก็ไม่สบอารมณ์กับเรื่องของเสี่ยวอ้ายฉืออยู่แล้ว ตอนนี้ความฉุนเฉียวในหัวใจของนางจึงเพิ่มมากขึ้นจนไม่อาจควบคุม
ในขณะที่ตะโกนตอบโต้เด็กสาวผู้มาใหม่ นางก็ก้าวออกไปข้างหน้าและง้างมือตบหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
“โอ๊ย ! เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงมาทำร้ายข้าผู้นี้ ?! ฮึก~”
เด็กสาวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจี๊ดขณะตะโกนเสียงดังและเริ่มสะอื้นเบา ๆ
“เจ้าพวกโง่ พวกเจ้าจะยังยืนเฉยเพื่ออะไรกัน ? เหตุใดจึงไม่รีบจับตัวเจ้าคนบ้านนอกนี่มาให้ข้า ?! ในเมื่อกล้าตบหน้าใบของข้า ข้าจะต้องตัดมือของนางไปให้สุนัขกิน !”
นางตวัดสายตามองผู้ติดตามของตนด้วยความไม่พอใจและชี้ตรงไปที่เสี่ยวอ้ายโม่ด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“เหอะ ข้าคิดว่าเจ้าต่างหากที่โง่เขลา ทำได้เพียงวางท่ายโสโอหังเพื่อรังแกคนอื่นและร้องไห้ขี้แยเช่นนี้ หากมีฝีมือก็มาสู้กับข้าสิ การสั่งให้ผู้ติดตามตัวโตหลายคนทำร้ายเด็กน่ารัก ๆ อย่างข้า ช่างหน้าไม่อายเลยจริง ๆ”
เสี่ยวอ้ายโม่ไม่เกรงกลัวแต่อย่างใดและกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
ในเวลานี้ เสียงเอะอะโวยวายที่ร้านขายของเล่นก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของสตรีที่กำลังร่ำไห้ก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว
“นั่นมันบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าเมืองว่านฮว๋ามิใช่รึ ? ใครกันในเมืองว่านฮว๋าที่ใจกล้าเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจะกล้าท้าทายนาง ?”
ใครคนหนึ่งเปิดเผยสถานะของเด็กสาวผู้นั้นออกมาและมองไปที่เสี่ยวอ้ายโม่ด้วยความสงสัย
รูปลักษณ์ของเสี่ยวอ้ายโม่ในวันนี้เป็นเพียงเด็กชายที่ดูธรรมดาทั่วไปและไม่มีความผันผวนของพลังในร่าง เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่เป็นที่โดดเด่นสะดุดตาแม้แต่น้อย
และฉินเทียนด้านหลังนางก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ที่ยังไม่ได้บรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ด้วยซ้ำ
ทั้งสองดูไม่เหมือนกับบุคคลที่ทรงอิทธิพลหรือมาจากตระกูลใหญ่ใด ๆ
“บางทีทั้งสองอาจจะไม่ทราบว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นใคร มิเช่นนั้น ต่อให้จะกล้าหาญเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางทำร้ายบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองหรอก”
หลายคนเริ่มคาดเดาไปว่าเป็นเพราะฉินเทียนและเสี่ยวอ้ายโม่ไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเด็กสาวผู้นั้นจึงกล้าตอบโต้และแสดงกิริยาเช่นนั้นออกมา
“คอยดูเถอะ หากได้ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ทั้งสองคนจะต้องก้มหัวและรีบขอโทษขอโพยเป็นแน่”
คนอื่น ๆ เริ่มหมดความสนใจในสถานการณ์ตรงหน้าเนื่องจากคิดว่าฉินเทียนและเสี่ยวอ้ายโม่จะต้องก้มหัวยอมรับผิดในไม่ช้าจึงไม่คิดที่จะชมเหตุการณ์ความขัดแย้งอีกต่อไป
“เหอะ บุตรสาวของเจ้าเมืองยิ่งใหญ่มากนักรึ ?”
แน่นอนว่าเสี่ยวอ้ายโม่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากผู้คนรอบตัว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าหวาดหวั่นใด ๆ
“หากเป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองจริงก็ยิ่งต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรม ท่านแม่ของข้าเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่พึ่งพาความช่วยเหลือของคนอื่นอยู่ตลอดคือผู้ที่ไร้น้ำยา ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถมากพอ เจ้าก็ควรที่จะพึ่งพาตัวเอง เพราะฉะนั้น…หากไม่มีฝีมือที่จะสู้กับข้าด้วยตัวเองก็หุบปากไปเสีย !”