ผู้ที่มีการเคลื่อนไหวเป็นคนแรกคือเฟยซี จู่ ๆ คลื่นพลังจากร่างของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังเดิมในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราก็ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวโดยสมบูรณ์ซึ่งห่างจากการเป็นเทพสวรรค์เต็มตัวเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตราบใดที่เสริมความแข็งแกร่งต่อไป เขาก็จะสามารถกระตุ้นให้เกิดทัณฑ์สายฟ้าขึ้นมาและทะลวงพลังได้อย่างสมบูรณ์โดยที่ก้าวเข้าสู่ระดับของจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ศิษย์พี่เฟยซีทะลวงพลังได้สำเร็จจริง ๆ!”
เมื่อคนอื่น ๆ รับรู้ว่าเฟยซีลืมตาและลุกขึ้นยืน คนเหล่านั้นก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันและรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่เฟยซีด้วย”
ทุกคนเดินเข้าไปหาเฟยซีและกล่าวแสดงความยินดี วาจาและน้ำเสียงของพวกเขาจริงใจอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเจือด้วยความอิจฉาเล็กน้อย ทว่ามันก็เป็นเพียงความอิจฉาที่ไร้ซึ่งเจตนาร้ายใด ๆ
ถึงอย่างไรพรสวรรค์ของเฟยซีก็ยอดเยี่ยมจนพวกเขามิอาจเทียบชั้นได้อยู่แล้ว การที่เขาจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวนำหน้าทุกคนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เกินความคาดหมายของทุกคน
“ขอบคุณทุกคนมาก”
เฟยซีไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความและเพียงประกบกำปั้นเข้าด้วยกันขณะกล่าวขอบคุณทุกคน ในเวลานี้สายตาของเขาก็เลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยังคงอยู่ในกระบวนการทะลวงพลัง
ในวันนั้น ฉินอวี้โม่เริ่มเข้าสู่กระบวนการทะลวงพลังพร้อมกันกับเขา อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าเขาจะทะลวงพลังจากขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราเข้าสู่เทพสวรรค์ครึ่งก้าวได้สำเร็จก่อนโดยที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ลืมตาขึ้นมา เพียงคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของเฟยซีก็จริงจังมากขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าครานี้ฉินอวี้โม่จะทะลวงพลังไปถึงระดับใด…
หลังจากรอเวลาอีกหนึ่งวัน จู่ ๆ คลื่นพลังรอบตัวฉินอวี้โม่ก็พุ่งพรวดขึ้นมาในที่สุด
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราก่อนหน้านี้ได้พัฒนาเข้าสู่ขั้นสูงสุดของสองดาราภายในเวลาเพียงไม่นาน ทว่ามันก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้นและพลังของนางยังคงพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขอบเขตเทพยุทธ์สามดารา…สามดาราขั้นสูงสุด…สี่ดารา…สี่ดาราขั้นสูงสุด…ห้าดารา…
พลังของนางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราขั้นสูงสุด
เมื่อฉินอวี้โม่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็พบกับสายตาของทุกคนรอบตัวที่มองตรงมาที่ตน ดวงตาของพวกเขาต่างก็เบิกกว้างและเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง
“เป็นอะไรกันรึ ?”
นางกวาดสายตามองทุกคนด้วยความฉงนงุนงงและสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีสีหน้าท่าทางเช่นนั้น
“ทะลวงพลังถึงสามระดับภายในเวลาสิบห้าวัน ข้าไม่ได้เข้าใจผิดไปใช่รึไม่…”
เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ เฟยเหิงก็เป็นคนแรกที่กล่าวขึ้นมาด้วยแววตาที่ไม่อยากเชื่อ
“มิใช่หรอก สี่ระดับต่างหาก”
เฟยโม่กล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่งอย่างยิ่ง ความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราแล้วซึ่งเหนือกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร หลังจากการประชันฝีมือและเรียนรู้จากฉินอวี้โม่ นางก็มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก ต่อให้ทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราโดยตรง เฟยโม่ก็ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการที่ทะลวงพลังผ่านสี่ระดับเช่นนี้
“จริงด้วย พัฒนาขึ้นมาสี่ระดับจริง ๆ ก่อนการประชันฝีมือจะเริ่มต้น ความแข็งแกร่งของนางอยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเท่านั้น และตอนนี้นางอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราขั้นสูงสุด”
หลังจากที่ทุกคนคำนวณจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เฟยโม่กล่าวมาก็ถูกต้องทุกประการ การที่พัฒนาจากขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราไปสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราคือการทะลวงพลังผ่านสี่ระดับอย่างแท้จริง
“ข้าเคยคิดว่าอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินทรงพลังมากแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับสตรีผู้นี้ เราก็มิใช่บุคคลที่ควรคำนึงถึงเลย แม้แต่ศิษย์พี่เฟยซีก็มีพรสวรรค์ที่ไม่มากเท่ากับนางด้วยซ้ำ ข้าคิดว่าในทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้คงจะไม่มีผู้ที่ใดที่มีพรสวรรค์แกร่งกล้าไปกว่านาง”
อวิ๋นซานกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ เพียงนึกถึงความมั่นอกมั่นใจของพวกเขาและความดูถูกดูแคลนที่มีต่อผู้คนจากโลกภายนอกเช่นฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ เขาก็อดนึกละอายใจไม่ได้
ด้วยพรสวรรค์อันน่าทึ่งของฉินอวี้โม่ พวกเขามีคุณสมบัติใดกันที่จะดูแคลนนาง ? แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นได้ชัดว่าพลังภายนอกของพวกเขาเหนือกว่าฉินอวี้โม่ ทว่านั่นก็เป็นเพียงเพราะวิหารเมฆาโบยบินมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการฝึกยุทธ์มากกว่าโลกภายนอกเท่านั้น
หากพวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาในโลกภายนอก เกรงว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าบรรดาจอมยุทธ์ของโลกภายนอกนัก…
“พรสวรรค์ของสตรีผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ข้าชักจะมั่นใจขึ้นมาแล้วที่เราตัดสินใจร่วมมือกับขุมกำลังอื่นเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิง…”
อวิ๋นหลิงยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ล้นหลาม ทว่ามีเพียงเฟยปู้เท่านั้นที่ได้ยินเสียงของนาง
วาจาของคนเหล่านี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย แม้แต่นางเองที่ลองสัมผัสถึงระดับพลังในตอนนี้ดู นางก็ต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน
เดิมทีนางคิดว่าความแข็งแกร่งของนางควรจะบรรลุได้เพียงขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเป็นอย่างมากเท่านั้น ซึ่งขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราขั้นสูงสุดในปัจจุบันนี้ถือว่าแกร่งกล้ากว่าที่นางคิดไว้มาก
ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าจะสามารถประจันหน้ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราได้อย่างไม่กดดัน ต่อให้เป็นขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าว นางก็มีพลังที่จะต่อสู้ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ
“ความเข้าใจในศาสตร์ของข่ายอาคมของข้าพัฒนาขึ้นไปในอีกระดับ เพราะเหตุนั้นข้าจึงได้รับผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงมา หากมิใช่เป็นเพราะเรื่องนี้ ไม่มีทางที่ข้าจะทะลวงพลังหลายระดับในคราวเดียวแน่”
นางกล่าวอธิบายเพื่อบรรเทาความตกตะลึงของผู้คนในวิหารเมฆาโบยบิน
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
สีหน้าของทุกคนค่อย ๆ ดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าแววตาที่มองฉินอวี้โม่ยังคงเต็มไปด้วยความชื่นชม
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เชื่อว่าตนเองยังพอมีโอกาสเอาชนะฉินอวี้โม่อยู่เล็กน้อย ทว่าตอนนี้เมื่อนางทะลวงพลังจนบรรลุถึงระดับนี้ได้ ทุกคนก็คิดว่าตนเองมิใช่คู่มือของนางอีกต่อไป
“จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะช่วยประมือกับพวกเราและช่วยชี้แนะพวกเราจะได้รึไม่ ?”
เมื่อนึกถึงการที่เฟยโม่ทะลวงสำเร็จพลังหลังจากประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่ อวิ๋นซานก็อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“ไม่มีปัญหา ช่วงนี้ข้าเองก็มีเวลาว่างพอดิบพอดี การประมือกับพวกเจ้าก็จะช่วยให้ข้าพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ได้มากเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่คำนวณเวลาและพบว่ายังมีเวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะต้องต่อสู้กับตระกูลหมิง อีกทั้งนางเชื่อว่าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใดในโลกภายนอกในช่วงนี้จึงตัดสินใจอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินต่อไป อีกอย่าง…นางก็ต้องการรอดูว่าเฟยอวิ๋นจะดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันได้สำเร็จหรือไม่และบางทีเขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากนางเช่นกัน…
“ข้าจะช่วยชี้แนะพวกเจ้าเช่นกัน”
เฟยซีเสนอตัวออกไปเช่นกัน ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวและยังต้องใช้การต่อสู้เพื่อทำให้ระดับพลังเสถียรคงที่ พลังภายนอกของผู้คนในวิหารเมฆาโบยบินก็ไม่ถือว่าเลวร้าย เพียงแต่ไม่สามารถพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ไปจนถึงระดับสูงสุดเท่านั้น ซึ่งโอกาสครานี้อาจจะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของวิหารเมฆาโบยบินได้
“เยี่ยมไปเลย”
เมื่อได้ยินว่าเฟยซีจะประมือและช่วยชี้แนะพวกเขาเช่นกัน หลายคนก็ตื่นเต้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นหลิงและเฟยปู้ก็โล่งใจทันทีที่ได้ทราบถึงการตัดสินใจของฉินอวี้โม่ ในเมื่อมีฉินอวี้โม่และเฟยซี พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับบรรดาอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินอีกต่อไป…
“เอาล่ะ ปล่อยให้อวี้โม่และเฟยซีพักผ่อนก่อนเถอะ”
อวิ๋นหลิงกล่าวกับทุกคนเพื่อให้หาเวลาพูดคุยกันในภายหลัง
ทุกคนก็เชื่อฟังแต่โดยดีและแยกย้ายกันกลับไป ส่วนฉินอวี้โม่ก็กล่าวลาอวิ๋นหลิงและคนอื่น ๆ ก่อนมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของตนเช่นกัน
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ยังคงพักอยู่ในเรือนของเฟยโม่และในเวลานี้ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ขณะเดินทางกลับ
“อวี้โม่ ข้าฝึกสิ่งที่เจ้าแนะนำก่อนหน้านี้จนเริ่มชำนาญแล้ว แต่ข้ายังขาดทักษะอีกเล็กน้อย หากได้ประมือกับเจ้าอีกสักสองถึงสามครั้ง มันก็คงจะไม่เหลือจุดอ่อนอีก”
เฟยโม่มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาซาบซึ้ง ฉินอวี้โม่ค้นพบจุดบกพร่องในกระบวนท่าของนางและช่วยให้นางทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราได้สำเร็จ
โชคดีที่ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายมอบหมายหน้าที่ให้นางต้อนรับฉินอวี้โม่ มิเช่นนั้นเฟยโม่ก็คงจะไม่ได้รับโอกาสดี ๆ เหล่านี้มา
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับสหายเฟยโม่ด้วย”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวเชิงติดตลกเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกทว่าเฟยโม่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจอย่างไม่มีวันลืม หากในอนาคตฉินอวี้โม่ต้องการความช่วยเหลือใด นางจะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน