ภายในวงล้อมของข่ายอาคม จู่ ๆ เฟยซีผู้ซึ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างใจเย็นก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พายุหมุนขนาดย่อมก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็วและตรงเข้าปะทะกับลูกเพลิงขนาดใหญ่ในท้องฟ้า ในขณะเดียวกัน เขาก็กระทืบเท้าลงพื้นดินอย่างรุนแรงและปล่อยคลื่นพลังออกไปปะทะกับรอยแยกที่ลุกลามอยู่ที่พื้น จากนั้นเขาก็โบกมือเพื่อปล่อยก้อนพลังมายาออกไปเพื่อโจมตีอสูรมายารอบตัว
ตูมมม !
ด้วยเสียงดังสนั่น ข่ายอาคมภายใต้การควบคุมของฉินอวี้โม่ก็ถูกทำลายไปโดยเฟยซีและไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ต้องยอมรับว่าเฟยซีมีพลังที่แกร่งกล้ายิ่งนัก ข่ายอาคมของฉินอวี้โม่ส่งผลกระทบต่อเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์ของการประชันฝีมือได้เลย
อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการวางข่ายอาคมของฉินอวี้โม่ก็เหนือชั้นเกินจินตนาการ ทันทีที่เฟยซีทำลายข่ายอาคมแรกของนางได้สำเร็จ เขาก็พบว่าตนตกเข้ามาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของข่ายอาคมใหม่อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าในการประชันฝีมือเพื่อเรียนรู้พลังของกันและกันเช่นนี้ ฉินอวี้โม่จะไม่ใช้ข่ายอาคมที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิต มิเช่นนั้น ต่อให้เฟยซีจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่มีทางฝ่าทะลวงออกมาได้อย่างง่าย ๆ เช่นนี้
ข่ายอาคมที่ทรงพลังที่สุดที่ฉินอวี้โม่สามารถวางได้ในปัจจุบันคือข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพสวรรค์ หากตกอยู่ในระยะรัศมีของมัน พวกเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับเฟยซีที่มีพลังไม่ถึงขอบเขตเทพสวรรค์ด้วยซ้ำ
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและภายในชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว
ตลอดหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา สถานการณ์การต่อสู้ของฉินอวี้โม่และเฟยซีไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
ฝ่ายหนึ่งวางข่ายอาคมใหม่อย่างต่อเนื่องในขณะที่อีกฝ่ายทำลายมันอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามตลอดช่วงหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่และเฟยซีจะมีความเข้าใจที่ตรงกันบางอย่างและพยายามใช้การประชันฝีมือครานี้เพื่อหาโอกาสในการทะลวงพลังของตนเอง
ทุกคนทั่วบริเวณลานประลองยุทธ์ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน การที่ได้รับชมการต่อสู้ครานี้ พวกเขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ใช้ข่ายอาคมมากขึ้นและเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ แม้ผู้ใช้ข่ายอาคมจะน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ทว่าตราบใดที่พวกเขามีพลังอำนาจที่มากพอ ผู้ใช้ข่ายอาคมเหล่านั้นก็ไม่ถือว่าไร้เทียมทานเสียทีเดียว
สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับจอมยุทธ์ก็คือความแข็งแกร่ง ตราบใดที่มีความแข็งแกร่งที่มากพอ ทุกอย่างที่ขวางหน้าก็ล้วนไร้ค่าไร้ความหมาย
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราควรที่จะยุติการต่อสู้เพียงเท่านี้รึไม่ ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดเอ่ยถามอวิ๋นหลิงไม่ได้
ด้วยการดวลฝีมือของฉินอวี้โม่และเฟยซี ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายไม่นำไพ่ตายออกมาใช้ มันก็ยากที่จะหาผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้อันยืดเยื้อย่อมไม่มีความหมายใด เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือการยุติการต่อสู้เพื่อมิให้เปลืองแรงเปลืองเวลามากเกินไป
“ไม่ต้องกังวล รอให้พวกนางหยุดด้วยตัวเองเถอะ ข้าคิดว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน”
อวิ๋นหลิงกล่าวเพียงเบา ๆ และตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อว่าทั้งสองจะใช้โอกาสนี้เพื่อทะลวงพลังจนสำเร็จและพัฒนาความแข็งแกร่งได้หรือไม่
เป็นจริงดังที่คิดไว้ หลังจากรอเวลาอีกหนึ่งก้านธูป จู่ ๆ ฉินอวี้โม่และเฟยซีก็หยุดการเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ราวกับว่าเข้าใจตรงกันโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด ทั้งสองหาตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อนั่งขัดสมาธิและเริ่มการทะลวงพลังของตน
ในที่สุด ความแข็งแกร่งของเฟยซีที่ติดอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารามาตลอดก็เริ่มแสดงสัญญาณขึ้นมาและตอนนี้เขาจะสามารถทะลวงพลังขึ้นไปในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักระยะเท่านั้น
สำหรับฉินอวี้โม่ ภายใต้กระบวนการของการวางข่ายอาคมอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ฝีมือในการวางข่ายอาคมของนางพัฒนาขึ้นไปในอีกระดับ และเป็นเพราะการทะลวงพลังในศาสตร์ข่ายอาคมดังกล่าว นางจึงได้รับผลประโยชน์ในด้านพลังยุทธ์เช่นกันและสามารถทะลวงพลังได้อีกครั้ง สำหรับระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทะลวงพลังครานี้ ฉินอวี้โม่เองก็ยังไม่แน่ใจเช่นกัน
“ดูนั่นสิ ทั้งสองคนกำลังจะทะลวงพลัง !”
ทุกคนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และเฟยซีและอดกล่าวออกไปไม่ได้
“ศิษย์พี่เฟยซีกำลังจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวและในอนาคตจะไม่มีผู้ใดที่ทำให้ตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเมฆาโบยบินของเขาสั่นคลอนไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรพรสวรรค์ของศิษย์พี่เฟยซีก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนักและเขาติดอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารามาเป็นเวลานานแล้ว การที่ตอนนี้เขาจะทะลวงพลังได้ก็มิใช่เรื่องแปลก…”
อวิ๋นซาน—บุรุษหนุ่มร่างกำยำที่มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราผู้ซึ่งท้าดวลฉินอวี้โม่เป็นคนแรกกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนออกมา “สตรีผู้นั้นต่างหากที่ทำให้ข้าประหลาดใจ ข้ายังจดจำได้แม่น…ก่อนหน้านี้นางเพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์สองดารามิใช่รึ ? แล้วนางจะทะลวงพลังอีกครั้งในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?”
ประมาณครึ่งวันที่ผ่านมา ในระหว่างที่ดวลฝีมืออยู่กับเฟยเหิง ฉินอวี้โม่ก็เพิ่งทะลวงพลังจากขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราได้เท่านั้น ทว่าหลังจากเวลาผ่านมาเพียงไม่กี่ชั่วยาม นางก็กำลังจะทะลวงพลังอีกครั้งซึ่งเป็นความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป
ต้องกล่าวเลยว่าแม้แต่เฟยซีผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเมฆาโบยบินก็ต้องใช้เวลานานถึงสามปีในการทะลวงพลังจากขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราไปสู่สามดารา และอวิ๋นซานก็จำได้ดีว่าตัวเขาใช้เวลานานถึงแปดปีเพื่อทะลวงพลังในระดับเดียวกัน
“เกรงว่านางคงจะมิใช่มนุษย์เหมือนพวกเรา !”
คนอื่น ๆ อ้าปากค้างและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาตกตะลึง การที่นางทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจมากแล้ว ทว่าตอนนี้การที่ผ่านเวลามาเพียงสั้น ๆ นางก็กำลังจะทะลวงพลังไปอีกครั้ง แม้แต่ผู้ที่แกร่งกล้าเหนือมนุษย์ก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ…
บรรดาผู้อาวุโสหลายคนยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความสงบนิ่งบนสีหน้าของพวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยและแทนที่ด้วยความตกตะลึงอย่างที่สุด
“สตรีผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่จ้าววิหารจะตกลงร่วมมือกับนาง ด้วยพรสวรรค์ในระดับนี้ โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเรามิใช่ปลายทางสุดท้ายของนางอย่างแน่นอน”
อวิ๋นหลิงส่ายศีรษะเบา ๆ ทว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความพึงพอใจอย่างมาก
แม้แต่ตระกูลหมิงที่ทรงพลังก็อาจจะเป็นได้เพียงหินก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเส้นทางไปสู่ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ และการตัดสินใจในครานี้อาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อวิหารเมฆาโบยบิน…
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นกลับกันไปก่อนเถอะ ข้าคิดว่าทั้งสองคงจะไม่สามารถทะลวงพลังได้สำเร็จในเวลาสั้น ๆ หรอก ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและข้าจะอยู่ที่นี่เอง ระหว่างช่วงนี้ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนฉินอวี้โม่และเฟยซีล่ะ”
อวิ๋นหลิงกล่าวกับทุกคนเพื่อให้แยกย้ายกันกลับไปก่อน
การทะลวงพลังจากขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากที่เฟยซีจะทะลวงพลังสำเร็จได้โดยที่ไม่ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
สำหรับฉินอวี้โม่ การทะลวงพลังครานี้ก็ดูแตกต่างไปจากคราก่อนเช่นกัน
อวิ๋นหลิงสัมผัสได้ว่าการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ในครานี้มิใช่เป็นเพียงการพัฒนาจากขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราไปสู่สามดาราเท่านั้น นางรู้สึกว่าฉินอวี้โม่อาจจะนำพาเรื่องที่น่าตกใจมาสู่พวกนาง เพียงแต่นางยังไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัดเท่านั้น
จนกว่าการทะลวงพลังจะเสร็จสมบูรณ์ ทั้งสองไม่ควรถูกรบกวนจากผู้ใด แม้วิหารเมฆาโบยบินจะปลอดภัยมาก ทว่าอวิ๋นหลิงก็ตัดสินใจที่จะคุ้มกันอยู่ที่นี่กับเฟยปู้เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุที่ไม่คาดคิด
“ผู้อาวุโสสี่ ผู้อาวุโสห้า ระหว่างนี้ท่านทั้งสองออกไปที่โลกภายนอกและคุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้ายกับผู้คุมกฎฝั่งขวาก่อน เมื่อทั้งสองทะลวงพลังได้สำเร็จ ข้าจะกลับไปทำหน้าที่เช่นเดิม”
เฟยปู้กล่าวกับผู้อาวุโสสี่และผู้อาวุโสห้าของวิหารเมฆาโบยบิน ซึ่งทั้งสองก็ไม่คัดค้านสิ่งใดและมุ่งหน้าไปยังด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว
คนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกลับไปทีละคน ๆ ภายในเวลาเพียงไม่นาน ในลานประลองยุทธ์ก็เหลือผู้คนเพียงประมาณสิบคนเท่านั้น
“ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ข้าอยากอยู่ที่นี่เพื่อบ่มเพาะพลัง เมื่อพวกเขาทะลวงพลังได้สำเร็จ บางทีข้าอาจจะได้รับประโยชน์ที่คาดไม่ถึงเช่นกัน”
เฟยเหิงกล่าวออกไปและไม่มีความคิดที่จะออกไปจากที่นี่
อัจฉริยะอีกหลายคนของวิหารเมฆาโบยบินก็ล้วนมีความคิดในทิศทางเดียวกัน
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดก็อยู่ต่อ”
อวิ๋นหลิงและเฟยปู้มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนพยักศีรษะตอบตกลง
จอมยุทธ์ประมาณสิบคนก็หาที่เหมาะสมนั่งลงก่อนหลับตาและเริ่มการบ่มเพาะพลังในขณะที่แผ่พลังวิญญาณส่วนหนึ่งออกไปเพื่อสังเกตดูสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และเฟยซี...
หลังจากนั้น เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในบริเวณลานประลองยุทธ์ ในที่สุดทั้งสองที่นิ่งเงียบไปนานก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง