ความแข็งแกร่งของเฟยเหิงจัดเป็นอันดับสองในบรรดาอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินและเฟยซีเป็นเพียงผู้เดียวที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเขา
บัดนี้เฟยเหิงยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว นั่นหมายความว่าฉินอวี้โม่เหลือคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลัง ทุกคนในวิหารเมฆาโบยบินก็ไม่มีข้อสงสัยหรือเคลือบแคลงใจในความสามารถของนางอีกต่อไป
พลังความแข็งแกร่งที่นางแสดงให้เห็นเมื่อครู่ทำให้หลายคนแสดงความชื่นชมต่อนางอย่างแท้จริง
พวกเขาเชื่อว่าต่อให้อยู่ในสถานการณ์การต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ฉินอวี้โม่ก็ยังมีโอกาสเอาชนะเฟยเหิงได้
“ผู้ใช้ข่ายอาคมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดหรอก เพียงแต่เป็นเพราะเจ้าเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก เจ้าจึงไม่สามารถตั้งตัวได้ อันที่จริง…ข่ายอาคมที่ข้าใช้เมื่อครู่เป็นเพียงข่ายอาคมพื้นฐานเท่านั้นและสามารถทำลายได้ง่าย ๆ”
ฉินอวี้โม่มองเฟยเหิงผู้พ่ายแพ้และกล่าวปลอบใจเขา
ข่ายอาคมที่นางใช้ในการประชันฝีมือเมื่อครู่จัดเป็นข่ายอาคมระดับพื้นฐานที่สุดซึ่งสามารถจัดวางได้อย่างรวดเร็วและมีพลังเพียงไม่มากนักซึ่งเหมาะสำหรับการก่อกวนสมาธิและถ่วงเวลาคู่ต่อสู้
หากมีความแข็งแกร่งที่มากพอ จอมยุทธ์ผู้นั้นก็สามารถทำลายข่ายอาคมเหล่านี้ได้โดยตรง ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่แข็งแกร่งมากนักทว่ามีประสบการณ์ที่มากพอ พวกเขาก็สามารถค้นหาศูนย์ควบคุมของข่ายอาคมเพื่อทำลายมันได้ซึ่งจะทำให้ข่ายอาคมสลายหายไปโดยอัตโนมัติ
“เข้าใจแล้ว”
เฟยเหิงพยักศีรษะเบา ๆ ด้วยความเข้าใจ ความทะนงตนและความยโสโอหังก่อนหน้านี้ของเขาหายไปแล้วในขณะที่กิริยาท่าทางดูสงบนิ่งมากขึ้นเล็กน้อย
เมื่อบรรดาผู้อาวุโสมองเห็นสีหน้าท่าทางของเฟยเหิง พวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าการประชันฝีมือครานี้มิใช่สิ่งที่เลวร้ายสำหรับเขา
อย่างน้อยที่สุด หลังจากการดวลในวันนี้ บรรดาอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินก็จะมีความเข้าใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้นและไม่มั่นใจอย่างหน้ามืดตามัวเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“อยากรู้นักว่าศิษย์พี่เฟยซีจะประชันต่อรึไม่ ?”
ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดลงมากแล้ว ทว่าทุกคนก็ยังไม่เหน็ดเหนื่อยและยังคงกระตือรือร้นเช่นเดิม
การประลองฝีมือในวันนี้น่าตื่นเต้นจนไม่มีผู้ใดกล้าละสายตา
เรียกได้ว่าการได้ชมการแสดงฝีมืออันน่าทึ่งเช่นนี้เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกยุทธ์ของพวกเขาทุกคนอย่างมาก
“คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของศิษย์พี่เฟยซีก็เหนือกว่าเฟยเหิงมาก บางทีเขาก็อาจจะต้องการทดสอบพลังในฐานะผู้ใช้ข่ายอาคมของนางดู”
……
สายตาของทุกคนบรรจบลงที่เฟยซีผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ สายเหล่านั้นต่างก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของทุกคน เฟยซีก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและเดินตรงไปที่สังเวียนประลองอย่างช้า ๆ
ต้องกล่าวเลยว่าพลังในการต่อสู้ที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมานั้นเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสมบูรณ์ ในตอนแรกเขาไม่สนใจสตรีแปลกหน้าจากโลกภายนอกผู้นี้เท่าใดนัก ทว่าตอนนี้เขาต้องการจะประลองฝีมือกับนางดูสักครา
สิ่งที่เฟยซีสนใจและตั้งตารอเป็นพิเศษคือข่ายอาคมของฉินอวี้โม่ซึ่งทำให้เฟยเหิงตกอยู่ในสภาพที่ไร้ทางสู้ได้ อีกอย่าง…ตัวเขาก็ติดอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารามานานและไม่พบโอกาสสำหรับการทะลวงพลังเสียที ดูเหมือนว่าครานี้เขาจะได้พึ่งพาอาศัยพลังของข่ายอาคมของฉินอวี้โม่เพื่อหาโอกาสทะลวงพลังต่อไป
“เจ้าแข็งแกร่งมากทีเดียว !”
เขาเดินขึ้นบนสังเวียนด้วยสีหน้าจริงจังและเคร่งขรึมเล็กน้อย
“เจ้าเองก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่อีกฝ่ายนำพามาสู่ตัวนางก่อนตอบกลับเบา ๆ
ดังที่คาดหวังไว้สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเมฆาโบยบิน ความแข็งแกร่งของเฟยซีเหนือกว่าคนอื่น ๆ มากนัก เพียงแรงกดดันที่เขาแผ่ออกมาก็ส่งอิทธิพลต่อฉินอวี้โม่ได้เล็กน้อยแล้ว
ทั้งสองไม่เสียเวลารอช้าและตรงเข้าโจมตีกันทันที
ทุกคนล้วนจดจ่อกับการประชันฝีมืออย่างดุเดือดระหว่างจอมยุทธ์ทั้งสองและไม่อาจละสายตาได้แม้แต่เสี้ยวอึดใจเดียว
ในช่วงแรก ทั้งฉินอวี้โม่และเฟยซีต่างก็มิได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา ทว่าเลือกที่จะหยั่งเชิงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามก่อน
แม้อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราเช่นเดียวกัน ทว่าความแข็งแกร่งของเฟยซีก็เหนือกว่าเฟยเหิงมากนัก อีกทั้งยังมีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนมากกว่า เพราะเหตุนั้น ในการประจันหน้ากับฉินอวี้โม่ เขาจึงสามารถบีบไล่ต้อนนางได้ตั้งแต่ต้นและทำให้นางตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย
กระบวนท่าของเขาล้วนเฉียบคมและการเคลื่อนไหวทุกคราขัดจังหวะการโจมตีของฉินอวี้โม่ได้ไม่ยากนัก ราวกับเขาคาดเดาการเคลื่อนไหวต่อไปของฉินอวี้โม่เป็นการล่วงหน้า เขาจึงขัดขวางและตอบโต้ได้อย่างตรงจุด
แม้การเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่จะรวดเร็วกว่าเฟยซีเล็กน้อย แต่นางก็ยังไม่สามารถขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบและตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
“คิดไว้ไม่มีผิด ฝีมือของข้ายังด้อยกว่าเขามากนัก”
เมื่อเห็นเฟยซีบีบไล่ต้อนฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่อง เฟยเหิงก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาเบา ๆ เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากการหมั่นฝึกฝนนานหลายปีจะชดเชยความแตกต่างระหว่างเขาและเฟยซีได้ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าเขายังด้อยกว่าเฟยซีมากนัก หากต้องการเอาชนะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเมฆาโบยบิน เฟยเหิงตระหนักดีว่าไม่มีทางทำได้สำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ตาม เฟยเหิงไม่ย่อท้อแต่อย่างใด การประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่เมื่อครู่เป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมากและการเก็บตัวฝึกวิชาเป็นระยะเวลาหนึ่งหลังจากนี้ก็จะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด หากดวลฝีมือกับเฟยซีหลังจากนี้ เขาก็จะไม่พ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ…
ณ สังเวียนประลอง ตอนนี้ฉินอวี้โม่และเฟยซีปลดปล่อยการโจมตีออกไปเกือบหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว
ภายในกระบวนท่านับร้อยเหล่านี้ ฉินอวี้โม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ด้อยกว่ามาตลอดและต้องล่าถอยซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่แทบจะตอบโต้ไม่ได้เลย
กระบวนท่าของนางที่โจมตีตรงไปที่เฟยซีไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บหรือสะทกสะท้านได้แม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังสามารถป้องกันพวกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในทางตรงกันข้าม กระบวนท่าของเฟยซีก็พุ่งตรงมาที่ช่องโหว่ของนางได้อย่างแม่นยำ หากมิใช่เพราะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่านางอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของเฟยซีไปแล้ว
แม้จะยังไม่บาดเจ็บ ทว่าคลื่นพลังของฉินอวี้โม่ก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อยและพลังมายาถูกใช้ไปจำนวนมาก หากสถานการณ์เช่นนี้ยังยืดเยื้อต่อไป นางจะกลายเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำไปอย่างแน่นอน
“ใช้ข่ายอาคมสิ”
เฟยซีเองก็ทึ่งในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่อย่างมากเช่นกัน ด้วยพลังเพียงขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราแต่กลับตั้งรับการโจมตีของเขาได้เป็นเวลานานเช่นนี้โดยที่เสียเปรียบเพียงเล็กน้อย หากฉินอวี้โม่มีพลังที่เหนือกว่าขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา นางก็อาจจะบดขยี้เขาได้ง่าย ๆ
พรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจที่กล้าเรียกตนเองว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งยิ่งนัก
ในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเมฆาโบยบิน ในอดีตที่ผ่านมา เฟยซีมักทะนงตนและแทบไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ทว่าครานี้แม้แต่ตัวเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดเหล่านั้น
“ตามที่เจ้าปรารถนา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และขยับมือเพื่อเริ่มวางข่ายอาคมอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การวางข่ายอาคมของนางในครานี้รวดเร็วกว่าตอนที่ประชันฝีมือกับเฟยเหิงมากนักและมันมิใช่ข่ายอาคมที่ทรงพลัง หากแต่เป็นการผสมผสานระหว่างข่ายอาคมลวงตาขนาดเล็กหลายชนิด
ข่ายอาคมของฉินอวี้โม่เสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็วและเฟยซีเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัว
เวลานี้เขาอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่มืดสนิทและมีอสูรมายาจำนวนมากรายล้อมอยู่รอบตัว พวกมันก็กำลังคำรามเสียงดังสนั่นจนตัวเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงที่ปกคลุมรอบตัว
เหนือศีรษะของเขาคือลูกเพลิงขนาดใหญ่ที่ร่วงลงจากท้องฟ้าราวกับต้องการบดขยี้เขาให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ในขณะเดียวกัน พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ค่อย ๆ แยกออกจากกันและลุกลามเข้ามาเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงตัวเขา
อย่างไรก็ตาม เฟยซีไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ และแผ่พลังวิญญาณออกไปจดจ่อกับสถานการณ์รอบตัว
ณ ด้านนอกข่ายอาคม ทุกคนฉงนสงสัยกับการกระทำของเฟยซีเป็นอย่างมากและไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงยังมีท่าทีสงบนิ่งแม้ในสถานการณ์เช่นนี้
“เขาคงจะทราบอยู่แล้วว่ามันเป็นข่ายอาคมลวงตาจึงไม่กังวลมากนัก น่าเสียดายที่เขาไม่ทราบเลยว่าข่ายอาคมของนายหญิงมีอันตรายซ่อนอยู่เช่นกัน และมิใช่ทุกอย่างที่มองเห็นจะเป็นเพียงภาพลวงตา”
เสียงของมารยาดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ขณะมองเฟยซีผู้ซึ่งติดอยู่ในวงล้อมของข่ายอาคมและรู้สึกว่าตัวเขายังอ่อนหัดเกินไป
ข่ายอาคมที่ถูกจัดวางโดยนายหญิงจะเป็นเพียงข่ายอาคมธรรมดาได้อย่างไร ?
ภายในข่ายอาคม ลูกเพลิงขนาดใหญ่กำลังจะโจมตีถึงตัวเฟยซีและในที่สุดตัวเขาก็เคลื่อนไหวออกไปอย่างกะทันหัน