หลังจากทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราได้สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ในเวลานี้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่เพิ่มสูงขึ้นมากและเมื่อประจันหน้ากับเฟยเหิง นางก็ไม่ตกที่นั่งลำบากอีกต่อไป
ทั้งสองฝ่ายตรงเข้าโจมตีใส่กันและถอยหลังกลับวนเวียนอยู่เช่นนี้นับสิบกระบวนท่า ทว่ายังไม่มีฝ่ายใดขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบในเวลาสั้น ๆ
“ข้าจะเพิ่มพลังมากขึ้น”
เนื่องจากทราบดีว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่มีฝ่ายใดเอาชนะได้ เฟยเหิงจึงกล่าวเตือนนางล่วงหน้าขณะการขยับเคลื่อนไหวมือของเขารวดเร็วมากขึ้นและพลังมายาที่ห่อหุ้มในแต่ละกระบวนท่าก็มากกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร
ทั้งสองประจันหน้ากันและฉินอวี้โม่ก็ถูกฟาดจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครานี้นางถอยหลังไปเพียงไม่กี่ก้าวซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไม่น้อย
“เจ้าคงจะไม่ทราบเกี่ยวกับวิชาชีพอื่นของข้าสินะ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางยังไม่มากพอที่จะเอาชนะเฟยเหิงได้ด้วยการอาศัยเพียงพลังความแข็งแกร่งที่มี อย่างไรก็ตาม นางยังมีวิธีการอื่นอยู่ซึ่งจะช่วยให้เอาชนะจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราได้ไม่ยากนัก
“วิชาชีพอะไรรึ ?”
เฟยเหิงชะงักไปชั่วขณะและเอ่ยถามทันที พวกเขามักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเก็บตัวฝึกวิชาและสั่งสมประสบการณ์โดยไม่ให้ความสนใจกับสถานการณ์ของโลกภายนอกมากนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเซิ่งหลิง และบรรดาลูกศิษย์อย่างพวกเขาก็ไม่ได้รับรู้ข้อมูลใดนัก
เพราะเหตุนั้น เฟยเหิงจึงไม่ทราบเลยว่า ‘วิชาชีพอื่น’ ที่ฉินอวี้โม่กล่าวถึงคือสิ่งใด
“ผู้ใช้ข่ายอาคม”
ฉินอวี้โม่ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมและยกมือร่ายขยับกลางอากาศเพื่อเริ่มจัดวางข่ายอาคม
ทันใดนั้น สภาพแวดล้อมรอบตัวเฟยเหิงก็เปลี่ยนไปทันทีและฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าก็หายวับไป จากเดิมที่อยู่ในสังเวียนประลองฝีมือ จู่ ๆ เฟยเหิงก็รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางหิมะเย็นยะเยือกและเริ่มหวั่นใจขึ้นมา
“นี่มัน…”
เขาประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่น้อย หากกล่าวว่าสิ่งที่กำลังเผชิญเป็นโลกแห่งภาพลวงตา ภาพที่เห็นตรงหน้าก็สมจริงจนเกินไป
ตูมมม !
จู่ ๆ เฟยเหิงก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือวายุที่พุ่งตรงเข้ามาก่อนที่เขาจะปล่อยฝ่ามือวายุออกไปโดยสัญชาตญาณและขัดขวางการโจมตีของฉินอวี้โม่ไว้ทันที
ด้วยเสียงคำรามเบา ๆ คลื่นพลังรุนแรงก็แผ่ไปทั่วข่ายอาคมของฉินอวี้โม่เพื่อพยายามทำลายข่ายอาคมนี้โดยตรง เพียงแต่อึดใจต่อมา เฟยเหิงก็ตระหนักได้ว่าพลังของตนไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในข่ายอาคมนี้ เขายังคงติดอยู่ในขอบเขตวงล้อมของมันโดยไม่สามารถมองเห็นผู้ใดหรือได้ยินเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น
“เหตุใดศิษย์พี่เฟยเหิงจึงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นล่ะ ?”
บรรดาผู้ชมไม่ได้อยู่ในวงล้อมของข่ายอาคมลวงตาจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ทราบถึงสถานการณ์ของเฟยเหิงในตอนนี้ พวกเขาเพียงแปลกใจที่จู่ ๆ อัจฉริยะในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราก็หยุดนิ่งไปโดยที่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
“จะว่าไปแล้ว…เมื่อครู่นี้นางกล่าวว่านางเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมมิใช่รึ หรือว่าศิษย์พี่เฟยเหิงจะติดอยู่ในข่ายอาคมบางอย่าง ?”
ใครอีกคนครุ่นคิดถึงวาจาของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้และกล่าวข้อสันนิษฐานออกไป
ฉินอวี้โม่กล่าวว่าวิชาชีพอื่นของนางก็คือการที่นางเป็นผู้ใช้ข่ายอาคม นั่นก็หมายความว่านางสามารถวางข่ายอาคมหลายหลายชนิดได้ และการที่เฟยเหิงหยุดนิ่งไปก็อาจจะเป็นเพราะเขาติดอยู่ในข่ายอาคมบางอย่าง
“ผู้ใช้ข่ายอาคมงั้นรึ ? ในดินแดนของเราก็เคยมีวิชาชีพนี้เมื่อมานานแล้วมิใช่รึ ?”
จอมยุทธ์อีกคนกล่าวด้วยความงุนงงเล็กน้อย ในอดีตผู้ใช้ข่ายอาคมถือเป็นตัวตนที่ทรงพลังมากที่สุด อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งใหญ่ในอดีตทำให้เชื้อสายของผู้ใช้ข่ายอาคมทั้งหมดล่มสลายไป สำหรับผู้ใช้ข่ายอาคมที่ปรากฏตัวหลังจากนั้น ต่อให้มีความสามารถในการวางข่ายอาคมพื้นฐานบางประเภท มันก็เป็นเพียงลูกเล่นตื้น ๆ และไม่เป็นประโยชน์มากนักซึ่งไม่คู่ควรแก่การถูกเรียกว่าผู้ใช้ข่ายอาคมด้วยซ้ำ
“ตระกูลของผู้ใช้ข่ายอาคมล่มสลายไปนานแล้ว วิธีการวางข่ายอาคมและตำราเกี่ยวกับผู้ใช้ข่ายอาคมก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการเป็นผู้ใช้ข่ายอาคม เจ้าต้องมีสายเลือดที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลนั้น หรือว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นทายาทที่สืบทอดมาจากตระกูลของผู้ใช้ข่ายอาคมกัน ?”
ผู้อาวุโสหลายคนของวิหารเมฆาโบยบินตั้งข้อสันนิษฐานของตนเช่นกันทว่าไม่อาจมั่นใจได้มากนัก
มีเพียงน้อยคนที่จะทราบข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับตระกูลของผู้ใช้ข่ายอาคม อย่างไรก็ตาม ตระกูลของผู้ใช้ข่ายอาคมในอดีตก็เป็นตัวตนที่สามารถทำให้ทั่วทั้งดินแดนสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามครั้งใหญ่ในอดีต ตระกูลของผู้ใช้ข่ายอาคมก็ถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นซากและแม้แต่ผู้นำของตระกูลก็ล่มสลายไป เพราะเหตุนั้น ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีผู้ใช้ข่ายอาคมคนใดปรากฏตัวในดินแดนนี้มาก่อน
ทว่าวันนี้กลับมีผู้ใช้ข่ายอาคมปรากฏตัวตรงหน้าทุกคนในวิหารเมฆาโบยบินและนางก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลังอย่างมาก มิใช่เรื่องง่ายเลยที่พวกเขาจะระงับอารมณ์มิให้แปลกใจหรือตื่นเต้นได้
“รอดูต่อไปเถอะ หากนางมีฝีมือในการวางข่ายอาคมที่อยู่ในระดับสูง บางทีนางอาจจะเกี่ยวข้องกับเชื้อสายของผู้ใช้ข่ายอาคมจริง ๆ”
ผู้อาวุโสหลายคนสบตากันทว่ายังไม่อาจยืนยันตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ได้
ทว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเขาทุกคนเข้าใจตรงกันคือสตรีผู้นี้เป็นปีศาจเหนือมนุษย์อย่างแท้จริง บรรดาผู้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินไม่อาจเทียบชั้นกับนางได้เลย
“สำเร็จ !”
ณ สังเวียนประลอง เฟยเหิงตะโกนเสียงดังเมื่อในที่สุดเขาก็ทำลายศูนย์ควบคุมของข่ายอาคมได้สำเร็จ วิสัยทัศน์รอบตัวของเขากลับสู่ปกติและมองเห็นบรรดาผู้ชมทั่วลานประลองอีกครั้ง รวมถึงฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้าไม่ไกล
ขณะเขากำลังจะปล่อยการโจมตีเข้าใส่ฉินอวี้โม่ สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้งโดยที่ตกอยู่ท่ามกลางภูเขากระบี่และทะเลเพลิง
สิ่งที่อยู่เหนือศีรษะคือกระบี่เล่มคมมากมายและบนพื้นไม่ไกลก็มีทะเลเพลิงที่ร้อนระอุปรากฏอยู่ เมื่อใดที่ก้าวเข้าไป เขาก็รู้สึกราวกับว่าจะถูกแผดเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปได้ทุกเมื่อ กระบี่แหลมคมมากมายส่องแสงประกายสลัวบางอย่างซึ่งทำให้เฟยเหิงไม่กล้าเข้าไปใกล้เลยสักนิด สิ่งที่อยู่ในข่ายอาคมนี้เหมือนจริงจนเกินไปซึ่งทำให้เขาหวาดหวั่นอย่างที่สุดและไม่อาจหาทางรับมือได้ในตอนนี้
พลั่ก !
เสียงโจมตีดังขึ้นเมื่อฝ่ามือวายุที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาฟาดเข้าที่แผ่นหลังของเฟยเหิงจนร่างของเขากระเด็นออกไปอย่างแรง
ทันทีที่ร่างของตนกำลังจะเข้าไปใกล้ทะเลเพลิง เฟยเหิงก็แผ่พลังมายาออกมาเพื่อสร้างเป็นโล่ป้องกันรอบตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าถึงอย่างนั้นอุณหภูมิที่ร้อนระอุก็ยังทำให้เขาอึดอัดอย่างที่สุด
เขาหลับตาลงและพยายามสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว คลื่นพลังจากร่างของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและทำลายกระบี่แหลมคมเหนือศีรษะของเขาจนแหลกสลายไป
หลังจากนั้น เฟยเหิงก็พุ่งตรงออกไปทันทีโดยไม่ได้รับผลกระทบจากเพลิงเหล่านั้นอีกต่อไปและยังคงหาทางทำลายข่ายอาคมนี้ให้ได้
สิ่งที่ทุกคนมองเห็นคือสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เลย เท่าที่พวกเขามองเห็นในตอนนี้ จู่ ๆ ร่างของเฟยเหิงก็ลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ ทว่าไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่
“หากมองเห็นภาพในข่ายอาคมได้ก็คงจะดี...”
เสียงของใครบางคนดังขึ้น ทว่าเสียงนั้นก็บังเอิญดังมาถึงหูของฉินอวี้โม่พอดิบพอดี
ด้วยความคิดเพียงแวบเดียว ทุกคนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เฟยเหิงกำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่ในข่ายอาคมลวงตา
“สวรรค์ ! ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ ไม่ประหลาดใจว่าเหตุใดศิษย์พี่เฟยเหิงถึงติดอยู่ในนั้น หากเป็นพวกเรา เกรงว่าคงจะเอาตัวไม่รอดและเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้ว !”
หนึ่งในผู้ชมอดกล่าวเสียงดังไม่ได้ขณะรำพึงรำพันเกี่ยวกับความน่าทึ่งของข่ายอาคมนี้
“สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นคือเมื่อติดอยู่ในวงล้อมของข่ายอาคม คนผู้นั้นจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกและไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วยซ้ำ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงกล่าวกันว่าผู้ใช้ข่ายอาคมเป็นวิชาชีพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในดินแดน มันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้”
ทุกคนถอนหายใจไม่ต่างกันและมีความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในมุมใหม่
อีกหนึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดเฟยเหิงก็ทำลายข่ายอาคมที่สองได้สำเร็จ
ความแข็งแกร่งของเฟยเหิงไม่ธรรมดาอย่างแท้จริงและการที่สามารถทำลายข่ายอาคมของฉินอวี้โม่ได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขา
ฉินอวี้โม่ขยับมือต่อไปเล็กน้อยและวางแผนที่จะจัดเตรียมข่ายอาคมชนิดต่อไป ทว่าจู่ ๆ เสียงของเฟยเหิงก็ดังขึ้นขัดจังหวะของนางเสียก่อน
“ไม่ พอเถอะ ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้”
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจนปัญญาทว่าเจือด้วยความชื่นชมในตัวอีกฝ่ายเช่นกัน สำหรับการประจันหน้ากับฉินอวี้โม่ผู้นี้ เขามิใช่คู่มือของนางแม้แต่น้อย