วาจาของฉินอวี้โม่เปรียบเสมือนดั่งการมอบสติปัญญาจนผู้อื่นแตกฉานขึ้นมาและนั่นทำให้เฟยโม่ตาสว่างขึ้นมาทันที
“จริงด้วย ! เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ได้นะ…”
นางหยุดการเคลื่อนไหวชั่วขณะและกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“อวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามาก ข้าขอตัวกลับไปปรับกระบวนท่าโจมตีเดี๋ยวนี้เลย”
เฟยโม่ไม่สนใจเรื่องผลลัพธ์ของการประมือด้วยซ้ำ ตราบใดที่สามารถแก้ไขจุดอ่อนในการโจมตีของตนได้ พลังในการต่อสู้ของนางก็จะพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก และหากโชคดีมากพอก็มีความเป็นไปได้ที่นางจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราได้ในคราวเดียว
เมื่อเห็นเฟยโม่ยุติการโจมตีและวิ่งออกจากสังเวียนไปอย่างรวดเร็ว ฝูงชนก็ได้แต่ตกตะลึงและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวกับเฟยโม่ก่อนหน้านี้และไม่ทราบเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ เฟยโม่จึงวิ่งออกไปอย่างรีบร้อนเช่นนั้น
แม้แต่เฟยโม่ผู้เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราและเป็นอัจฉริยะฝีมือดีของวิหารเมฆาโบยบินก็ยังพ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่ กล่าวได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วที่บรรดาจอมยุทธ์เทพยุทธ์หกดาราและห้าดาราไม่เสนอตัวเพื่อดวลฝีมือ
ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดาราอีกสองคนก็ไม่คิดที่จะประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่แต่อย่างใด ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของเฟยโม่ก็เหนือกว่าพวกเขาทั้งสอง ในเมื่อนางเอาชนะฉินอวี้โม่ไม่ได้ พวกเขาก็ไม่มีความหวังเช่นกัน
ภายในชั่วพริบตา อัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินที่เหลือก็มีเพียงเฟยซี เฟยเหิง และจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราอีกสองคน
“ลืมมันไปเถอะ ข้าจะไปเอง”
ก่อนที่จอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราทั้งสองจะกล่าวสิ่งใด เฟยเหิงก็ยืนขึ้นและเหาะตรงไปที่สังเวียนอย่างรวดเร็ว
“ข้าเฟยเหิงแห่งวิหารเมฆาโบยบิน โปรดชี้แนะข้าด้วย”
เขาประกบกำปั้นไปทางฉินอวี้โม่เล็กน้อยขณะสลัดความดูแคลนก่อนหน้านี้ออกไปและไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ ทว่ามีเพียงความชื่นชมที่เข้ามาแทนที่
ต้องกล่าวเลยว่าแม้อัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินจะทะนงตนอย่างมาก แต่พวกเขาก็เป็นบุคคลที่จริงใจอย่างที่สุด
“เช่นกัน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและสีหน้ากลายเป็นจริงจังทันที
เมื่อประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารา ฉินอวี้โม่ไม่อาจผ่อนคลายเช่นก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเฟยเหิงก็เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ทั้งหมดที่ผ่านมาและคาดว่าอาจต้องใช้ข่ายอาคมบางอย่างในการประชันฝีมือกับเขา มิเช่นนั้น เกรงว่านางอาจจะมิใช่คู่มือของเขาแม้แต่น้อย
ทั้งสองปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่กันอย่างรุนแรงส่งผลให้เฟยเหิงถอยหลังไปสามก้าว ทว่าฉินอวี้โม่ถอยหลังไปมากกว่าสิบก้าวก่อนทรงตัวได้อีกครั้ง
“แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของเจ้าจะแกร่งกล้านัก ทว่าระดับพลังยุทธ์ของเจ้าก็ยังคงด้อยเกินไป ในการต่อสู้อย่างซึ่ง ๆ หน้า เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
เฟยเหิงมองฉินอวี้โม่และคาดการณ์ถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของคู่ต่อสู้ได้อย่างคร่าว ๆ ช่องว่างระหว่างขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราและเก้าดารานั้นแตกต่างกันมากเกินไป ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดในการประจันหน้า ฉินอวี้โม่ก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
“นั่นก็จริง”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด การที่นางเอาชนะเฟยโม่และจอมยุทธ์เทพยุทธ์สี่ดาราหลายคนก่อนหน้านี้เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ใช้ไพ่ตายทั้งหมดออกมา มิเช่นนั้น นางก็คงจะเอาชนะพวกเขาไม่ได้ง่ายนัก
“ข้าจะไม่แสดงท่าไม้ตายออกมา สู้กันต่อเถอะ”
เฟยเหิงกล่าวก่อนปล่อยกระบวนท่าโจมตีใส่ฉินอวี้โม่อย่างดุเดือดอีกครา
ทั้งสองฝ่ายไม่นำท่าไม้ตายของตนออกมาใช้ ฉินอวี้โม่เองก็ยังไม่รีบร้อนใช้ข่ายอาคมเช่นกัน นางและเฟยเหิงเพียงใช้กระบวนท่าพื้นฐานทั่วไปและใช้พละกำลังทางร่างกายในการต่อสู้กันเท่านั้น แม้จะดูธรรมดาไม่โดดเด่น ทว่ามันก็น่าทึ่งเป็นอย่างมาก
“แม่เจ้า ! นางแข็งแกร่งมากจริง ๆ และนางยังสามารถต่อสู้กับศิษย์พี่เฟยเหิงได้อย่างสูสีเท่าเทียม ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งวิหารเมฆาโบยบินของเรา นอกเหนือจากศิษย์พี่เฟยซีก็ไม่มีใครอื่นที่จะเทียบชั้นกับเขาได้”
ใครคนหนึ่งอุทานและกล่าวด้วยความตกตะลึงในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่
“เหอะ มิใช่หรอก เจ้าไม่เห็นรึว่านางสู้ศิษย์พี่เฟยเหิงไม่ได้และถูกบีบไล่ต้อนอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีพลังที่จะตอบโต้ได้ ?”
ใครอีกคนแค่นเสียงอย่างเย็นชาโดยที่รู้สึกริษยาต่อการที่ฉินอวี้โม่กลายเป็นจุดเด่นจุดสนใจของผู้คนมากมายเช่นนี้
“หากเจ้าคิดว่าตนเองเก่งนัก เหตุใดไม่ลองขึ้นไปประมือบนสังเวียนดูล่ะ อยากเห็นนักว่าเจ้าจะรับมือกับกระบวนท่าของศิษย์พี่เฟยเหิงได้นานเพียงใด”
ทันทีที่สิ้นเสียงของคนผู้นั้น หลายคนรอบตัวเขาก็มีสีหน้าที่ไม่พอใจทันที
“บางคนก็ดีแต่พูดจาวางมาดอยู่ลับหลัง ทว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีความสามารถมากเท่าใดนัก ระดับพลังภายนอกของเจ้าเหนือกว่านางแท้ ๆ ทว่าเจ้ากลับไม่มีความกล้ามากพอที่จะประจันหน้ากับศิษย์พี่เฟยเหิงด้วยซ้ำ !”
“คือว่า…”
บุรุษผู้นั้นถึงกับพูดไม่ออกทันที จอมยุทธ์หลายคนรอบตัวเขากำลังกล่าวความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่เหนือกว่าที่พวกเขาทุกคนจินตนาการไว้มากนัก
ภายในสังเวียนประลอง การดวลฝีมือดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ
การบีบไล่ต้อนอย่างต่อเนื่องของเฟยเหิงทำให้สถานการณ์ของฉินอวี้โม่ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ทว่านางก็ยังรับมือกับเขาได้ด้วยการพึ่งพาความได้เปรียบในด้านทักษะการเคลื่อนไหวที่แม่นยำและสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น นางมีสภาวะร่างกายที่พิเศษอย่างมาก แม้การโจมตีที่เฟยเหิงปล่อยออกมาจะทำให้นางบาดเจ็บเล็กน้อย มันก็ไม่ส่งกระทบใดมากนักและร่างกายของนางจะฟื้นฟูกลับสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว
“สนุกดีจริง ๆ!”
สภาวะจนมุมคงอยู่นานกว่าสองก้านธูปและไม่มีฝ่ายใดเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แม้ด้วยพลังภายนอกอาจดูเหมือนฉินอวี้โม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่านางก็ยังสามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เฟยเหิงที่มีพลังมากกว่าและดูจะมีข้อได้เปรียบในหลายด้านก็ยังไม่สามารถเอาชนะนางได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงตกอยู่ในสภาวะชะงักงันเป็นครู่ใหญ่
“รอประเดี๋ยว”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็โบกมือให้กับเฟยเหิงเบา ๆ และนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น
“หื้ม ?”
เฟยเหิงชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในคลื่นพลังที่แผ่มาจากร่างของฉินอวี้โม่ เขาก็ตระหนักได้ทันที คิดไม่ถึงเลยว่าศักยภาพของฉินอวี้โม่จะถูกกระตุ้นขึ้นมาในระหว่างการดวลฝีมือครานี้จนกระทั่งนางกำลังจะทะลวงพลังไปได้
ผู้ชมทั่วลานประลองยุทธ์ตกตะลึงเช่นกันก่อนเริ่มมีเสียงพูดคุยดังอื้ออึ้งไปทั่วบริเวณ
“ไม่นะ อย่าบอกนะว่านางกำลังจะทะลวงพลังจริง ๆ?”
หลายคนถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เมื่อฉินอวี้โม่เริ่มต้นการประลองฝีมือกับศิษย์วิหารเมฆาโบยบินในตอนแรก พลังภายนอกของนางอยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเท่านั้นและยังไม่บรรลุถึงขั้นสูงสุดของหนึ่งดาราด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การที่มีโอกาสได้ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่อยู่ต่างระดับกันมากก็ช่วยกระตุ้นศักยภาพของนางขึ้นมาและทำให้มีโอกาสทะลวงพลังไปได้ สำหรับการบรรลุผ่านขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราไปสู่สองดาราเช่นนี้ เกรงว่าหลายคนอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานนับสิบปีด้วยซ้ำกว่าที่จะทะลวงพลังได้สำเร็จ
แม้สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบิน การทะลวงพลังจากขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราไปสู่สองดาราก็ต้องใช้เวลานานถึงห้าปี เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
“น่าสนใจจริง ๆ นี่นางพบโอกาสในการทะลวงพลังในระหว่างการดวลฝีมือรึ ? สตรีผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ ?”
ผู้อาวุโสหลายคนที่ไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่อดกล่าวพลางถอนหายใจไม่ได้ แม้แต่พรสวรรค์ของเฟยซีผู้ที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเมฆาโบยบินก็ยังเทียบกับฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
หากให้เวลานางอีกสักสองถึงสามปี บางทีโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับพลังความแข็งแกร่งของนางได้อีกต่อไป ในแง่ของการประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด แม้แต่จ้าววิหารเฟยอวิ๋นและผู้นำตระกูลหมิงก็อาจจะเทียบกับสตรีจากต่างแดนผู้นี้ไม่ได้
ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ทะลวงพลังได้สำเร็จและยืนขึ้นมาอีกครั้ง พลังของขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราด้อยกว่าสองดารามากนักและฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วของตนเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งพลังมายาในร่างกายก็เพิ่มขึ้นจากเดิมพอสมควร ในตอนนี้ การที่ประจันหน้ากับจอมยุทธ์ผู้มีพลังต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดารา ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้ไพ่ตายทั้งหมด ฉินอวี้โม่ก็มีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเรียกอสูรมายาออกมา
สำหรับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา ฉินอวี้โม่ก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเสียแรงมากด้วยซ้ำ
“ขอแสดงความยินดีด้วย”
เฟยเหิงยกกำปั้นประกบกันและหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่ ในเวลานี้เปลวไฟแห่งนักสู้ในแววตาของเขาเริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราก็สามารถรับมือกับการโจมตีที่ทรงพลังของเขาได้แล้ว ทว่าในตอนนี้เมื่อนางทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราได้สำเร็จ นางจะต้องสร้างความประหลาดใจให้กับเขาได้มากขึ้นอย่างแน่นอน !