แววตาของบุรุษหนุ่มร่างกำยำแสดงถึงความดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจนและอดกล่าวออกไปไม่ได้เมื่อเห็นการกระทำของฉินอวี้โม่ “คิดว่าจะทำลายม่านป้องกันของข้าได้งั้นรึ ? เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พวกอัจฉริยะจากโลกภายนอก…”
เปรี๊ยะ !
ก่อนที่เขาจะกล่าวจนจบประโยค เสียงแตกก็ดังขึ้นและม่านป้องกันรอบตัวของเขาก็แหลกสลายไปในทันที
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เพียงยกขาเล็กน้อยก่อนออกแรงเตะบุรุษตรงหน้าจนกระเด็นออกจากสังเวียนไปโดยตรง
“ทำได้เพียงโทษตัวเจ้าเองที่บอกให้ข้าลงมือก่อน”
นางกล่าวพลางโบกมือเล็กน้อย การที่จอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเสนอให้นางลงมือโจมตีก่อนเช่นนี้ ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ช่างใจกว้างยิ่งนัก
“เอ่อ…”
ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ บุรุษหนุ่มร่างใหญ่ก็เพียงลุกขึ้นยืนและมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เผยให้เห็นถึงการยอมจำนนและความกระตือรือร้นเล็กน้อย
การประจันหน้าเมื่อครู่ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังโจมตีของฉินอวี้โม่ไม่อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์เทพยุทธ์แปดดาราอย่างแน่นอน
ถึงแม้บุรุษร่างกำยำจะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดารา ทว่าเขาก็มีความแข็งแกร่งที่มากพอสมควร ต่อให้จะประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา เขาก็มีโอกาสที่จะเอาชนะอยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ม่านป้องกันที่เขาสร้างขึ้นมาโดยที่ทุ่มเทพลังอย่างเต็มที่ก็เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราของวิหารเมฆาโบยบินไม่มีทางทำลายได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว
ทว่าฉินอวี้โม่สามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดายโดยที่แทบจะไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าพลังการต่อสู้ของนางเหนือชั้นจนเกินจินตนาการ
“นางพูดถูก ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประลองนี้”
เขากล่าวตามความรู้สึกของตนเองก่อนยกกำปั้นประกบกันตรงหน้าฉินอวี้โม่เพื่อบ่งบอกว่ายอมรับในความสามารถของนาง
“พวกข้าไม่เชื่อหรอก”
คนอื่น ๆ ก็เรียกสติกลับคืนมาตาม ๆ กัน ทว่ายังมีจอมยุทธ์เทพยุทธ์สี่ดาราอีกหลายคนที่ไม่ปักใจเชื่อวาจาของบุรุษร่างใหญ่และคิดว่าเป็นเพราะเขาประมาทมากเกินไปเอง
“ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาพร้อมกันเถอะ !”
ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับคนเหล่านั้นเพื่อส่งสัญญาณให้พวกเขาก้าวขึ้นมาบนสังเวียน
หลายคนก็มองหน้ากันเล็กน้อยและไม่ปฏิเสธข้อเสนอก่อนเดินขึ้นไปบนสังเวียนด้วยกัน
“โปรดชี้แนะพวกเราด้วย”
พวกเขายกกำปั้นให้กับฉินอวี้โม่ ทว่าอึดใจต่อมา พวกเขาก็ไม่กล้ายั้งมือและปลดปล่อยการโจมตีออกไปทันที
ฉินอวี้โม่และจอมยุทธ์เหล่านั้นต่อสู้กันอย่างดุเดือดด้วยความเร็วที่มหัศจรรย์จนผู้ชมรอบ ๆ แทบจะมองตามไม่ทันและมองเห็นเพียงภาพติดตาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
“ทรงพลังเกินไป !”
การรับมือกับจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราถึงสามคนในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่เสียเปรียบทำให้สมาชิกของวิหารเมฆาโบยบินสัมผัสได้ถึงพลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของฉินอวี้โม่ ด้วยพลังเพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราของนาง ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
“ไม่แปลกใจเลยที่จะกล่าวว่านางเป็นอัจฉริยะจากโลกภายนอก การที่ใช้พลังในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเพื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราหลายคนในเวลาเดียวกันนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของนางได้อย่างชัดเจนแล้ว”
หลายคนกล่าวพลางถอนหายใจและชื่นชมในความสามารถของฉินอวี้โม่อย่างมาก
ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป จอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราคนหนึ่งก็ถูกเตะออกจากสังเวียนไปและสถานการณ์ของอีกสองคนก็เริ่มไม่สู้ดีนัก
“พอแล้ว พอเถอะ…”
ทั้งสองถอยร่นออกไปไกลและโบกไม้โบกมืออย่างรวดเร็วเพื่อบ่งบอกว่าพวกเขายอมรับความพ่ายแพ้
แม้หลังจากประชันฝีมือกันครู่ใหญ่ การโจมตีของพวกเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงชายเสื้อของฉินอวี้โม่ได้ด้วยซ้ำ
การเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่แปลกประหลาดเกินคาดเดา กอปรกับกระบวนท่าและประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนกว่าพวกเขามาก เมื่อเผชิญหน้ากับนาง คู่ต่อสู้เหล่านี้จึงไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อยและการที่จะต่อสู้ต่อไปก็เป็นเพียงการเสียเวลาเท่านั้น
“เจ้ามีฝีมือที่ล้ำเลิศจริง ๆ ข้าคิดว่าแม้แต่จอมยุทธ์เทพยุทธ์หกดาราก็คงจะมิใช่คู่มือของเจ้า”
หนึ่งในหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมทว่าเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
หากพวกเขาทั้งสามคนร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพลังในการต่อสู้ที่แท้จริงของฉินอวี้โม่คงจะเหนือชั้นกว่าจอมยุทธ์ผู้มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราเสียอีก
“ไม่หรอก ฝีมือของข้ายังต่ำต้อยนัก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับคู่ต่อสู้ทั้งสามและเข้าใจดีว่านี่เป็นเพียงการประมือและฝึกวิชาด้วยกันเท่านั้น หากเป็นการต่อสู้ที่ตัดสินความเป็นความตาย สำหรับการประจันหน้ากับจอมยุทธ์เทพยุทธ์สี่ดาราสามคน ด้วยพลังของนางในตอนนี้ หากไม่เรียกซิวหรืออสูรอื่น ๆ ออกมาช่วย โอกาสเอาชนะของนางก็คงจะมีไม่มากนัก
เมื่อสองคนที่เหลือก้าวลงจากสังเวียน อัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินหลายคนก็มีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราตระหนักแล้วว่าพวกตนไม่จำเป็นต้องเข้าไปประชันฝีมือ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะการร่วมมือกันของจอมยุทธ์เทพยุทธ์สี่ดาราถึงสามคนได้ ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราก็กำลังคำนวณโอกาสของพวกตนซึ่งทำให้ไม่มีผู้ใดเสนอตัวออกไปเป็นครู่ใหญ่
“ข้าเอง”
ทันใดนั้น บุคคลที่ไม่คาดคิดก็ยืนขึ้นมา เจ้าของเสียงดังกล่าวก็คือเฟยโม่ผู้ที่เป็นสหายคนแรกของฉินอวี้โม่ในวิหารเมฆาโบยบินนั่นเอง
เฟยโม่ถือเป็นหนึ่งในอัจฉริยะฝีมือดีของวิหารเมฆาโบยบินเช่นกันและตอนนี้นางมีพลังอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เจ็ดดารา นางเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของผู้คุมกฎฝั่งซ้ายเฟยปู้และได้รับความไว้วางใจจากเฟยปู้เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนั้น นางจึงได้รับมอบหมายให้ต้อนรับดูแลฉินอวี้โม่เพียงคนเดียว
“อวี้โม่ ข้าจะประมือกับเจ้าเอง”
นางทราบแล้วว่าฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งเกินคาดเดา แม้เผชิญกับแรงกดดันอันทรงพลังจากอดีตผู้อาวุโสใหญ่อวิ๋นหลาน นางก็ยังมีพลังที่จะตอบโต้ได้ การที่ฉินอวี้โม่ต้านทานพลังของอวิ๋นหลานได้อย่างง่ายดายและไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ก็ทำให้เฟยโม่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพลังที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ยิ่งนัก
แน่นอนว่านางก็รู้สึกยินดีที่จะได้ประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่และมั่นใจว่าจะได้รับประโยชน์จากการดวลครานี้
“สหายเฟยโม่ โปรดชี้แนะข้าด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับเฟยโม่ก่อนทั้งสองตรงเข้าต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว
ต้องกล่าวเลยว่าพลังการต่อสู้ของเฟยโม่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามคนก่อนหน้านี้มาก นางไม่ยั้งมือแม้แต่น้อยขณะโจมตีด้วยกระบวนท่าที่ผสานกับพลังมายาอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งสามารถบีบไล่ต้อนฉินอวี้โม่ได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่ากระบวนท่าของฉินอวี้โม่จะพุ่งไปถึงตัวเฟยโม่ ทว่าพวกมันก็ถูกเฟยโม่ป้องกันไว้ได้ สำหรับเฟยโม่ นางเลือกที่จะเน้นด้านความเร็วและกระหน่ำโจมตีเข้าใส่ฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่องเพื่อก่อกวนและมิให้อีกฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้เหมือนในการประชันฝีมือก่อนหน้านี้
สถานการณ์ของทั้งสองติดอยู่ในสภาวะชะงักงันไร้ผู้ชนะเป็นครู่ใหญ่และยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะเอาชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉินอวี้โม่ต้องการที่จะช่วยหาจุดอ่อนในกระบวนท่าของเฟยโม่ มิเช่นนั้นหากต่อสู้อย่างไม่ยั้งมือ ฉินอวี้โม่ก็สามารถเอาชนะเฟยโม่ได้ไม่ยาก
“สหายเฟยโม่ กระบวนท่าโจมตีของเจ้าถือว่าเชื่อมต่อกันเป็นอย่างดี เพียงแต่การเชื่อมโยงโดยตรงของทักษะยิบย่อยยังช้าเกินไป หากสามารถพัฒนาให้เร็วขึ้นได้ มันจะทำให้คู่ต่อสู้คาดเดาการโจมตีของเจ้าไม่ได้และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง”
หลังจากปะทะกันกว่าร้อยกระบวนท่า ฉินอวี้โม่ก็ค้นพบจุดอ่อนในกระบวนท่าโจมตีของเฟยโม่
เฟยโม่เป็นสตรีที่ชาญฉลาดอย่างมาก นางจะเลือกใช้การโจมตีที่แยบยลที่สุดเพื่อหลอกล่อให้คู่ต่อสู้เคลื่อนไหวไปในรูปแบบที่นางต้องการและทำให้คู่ต่อสู้โจมตีสวนกลับไม่ได้
อย่างไรก็ตาม จุดบกพร่องที่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นคือระหว่างการโจมตีเหล่านั้นมักมีช่วงของการชะงักเล็กน้อยซึ่งอาจเป็นเพราะเฟยโม่ไม่ชำนาญในกระบวนท่าที่เลือกใช้มากนักหรือไม่ตระหนักถึงมันก่อนหน้านี้ เพราะเหตุนั้น ตราบใดที่คู่ต่อสู้จับตาดูและคอยสังเกตกระบวนท่าของนางในระหว่างการต่อสู้ พวกเขาก็จะค้นพบจุดบกพร่องดังกล่าวได้ไม่ยากและเอาชนะนางได้ในที่สุด
“ข้าก็รู้ตัวเช่นกัน ทว่ากระบวนท่าที่เชื่อมโยงกันเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าใช้มานานจนเกิดความคุ้นชินและไม่ง่ายนักที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะแก้ไขจุดอ่อนนี้ได้อย่างไร”
เฟยโม่เองก็ค้นพบจุดอ่อนนี้เช่นกัน ทว่านางก็รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย กระบวนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่นางฝึกฝนมาเพื่อทำให้คู่ต่อสู้เคลื่อนไหวไปตามรูปแบบที่นางวางไว้ก่อนที่จะฉวยโอกาสเอาชนะในที่สุด ต่อให้จะค้นพบจุดอ่อนในระหว่างการโจมตี นางก็ไม่ทราบเลยว่าจะแก้ไขจุดอ่อนนั้นอย่างไร
“เจ้าสามารถใช้ก้อนพลังมายาขนาดเล็กเพื่อช่วยเพิ่มความต่อเนื่องของการโจมตีได้”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมา
ก้อนพลังมายาขนาดเล็กไม่ได้ทรงพลังมากนัก ทว่ามันก็ยากที่คู่ต่อสู้จะป้องกันได้และมันจะก่อกวนรังควานพวกเขาจนไม่มีเวลาคิดสิ่งอื่น เพราะเหตุนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่จะชดเชยจุดบกพร่องในการโจมตีของเฟยโม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ