ก๊อก ก๊อก ก๊อก !
หลังจากค่ำคืนแห่งการพักผ่อนผ่านไปอย่างเงียบสงบ เช้าตรู่วันต่อมา เฟยโม่ก็มาเคาะที่หน้าประตูก่อนที่ฉินอวี้โม่จะตื่นขึ้นด้วยซ้ำ
เดิมทีที่พักที่อวิ๋นหลิงจัดแจงให้กับฉินอวี้โม่อยู่ในโรงเตี๊ยมหลังใหญ่ที่สุดภายในวิหารเมฆาโบยบิน ทว่าเฟยโม่กลับเชิญนางไปพักที่เรือนของตนแทน
ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับเฟยโม่ตั้งแต่ต้นและยิ่งประทับใจมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายปกป้องตนต่อหน้าอวิ๋นหลาน เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่ปฏิเสธและเข้าไปพักอยู่ในเรือนของเฟยโม่ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้นจนราวกับเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน
“อวี้โม่ ผู้อาวุโสใหญ่เรียกเราไปพบ”
หลังจากที่อวิ๋นหลานแปรพักตร์และถูกจัดการไป อวิ๋นหลิงจึงได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของวิหารเมฆาโบยบินแทนที่อวิ๋นหลาน เมื่อครู่นางได้ส่งคนมาแจ้งกับเฟยโม่เพื่อให้นางพาฉินอวี้โม่ไปที่ลานประลองยุทธ์ของวิหารเมฆาโบยบิน
“ตกลง”
ฉินอวี้โม่เตรียมตัวเล็กน้อยก่อนตามเฟยโม่ตรงไปยังลานประลอง
ลานประลองยุทธ์ของวิหารเมฆาโบยบินในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มารวมตัวกัน
เมื่อได้ยินว่าอัจฉริยะจากโลกภายนอกจะประลองฝีมือกับอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบิน พวกเขาก็ย่อมตั้งตารอและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง สมาชิกส่วนใหญ่ของวิหารมารวมตัวกันบริเวณลานประลองตั้งแต่เช้าตรู่และแม้กระทั่งบรรดาผู้อาวุโสก็ปรากฏตัวอยู่ที่นี่เช่นกัน
ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของการประลองฝีมือครานี้คืออวิ๋นหลิง—ผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของวิหารเมฆาโบยบินและเฟยปู้—ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของวิหาร
บรรดาอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินก็นั่งรวมกันในมุมหนึ่งและแสดงสีหน้ากระตือรือร้นอย่างที่สุด
“ไหนล่ะ ? อัจฉริยะจากโลกภายนอกผู้นั้นไม่กล้ามาแล้วรึ ?”
หลังจากรอเวลาพักใหญ่ทว่าไม่มีวี่แววของฉินอวี้โม่ ใครคนหนึ่งก็อดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“อัจฉริยะจากโลกภายนอกคงจะมีดีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น ข้าไม่ทราบเลยว่าคนผู้นั้นมาจากขุมกำลังใด มาที่วิหารเมฆาโบยบินได้อย่างไรและเหตุใดถึงได้กล้าท้าดวลกับอัจฉริยะของวิหารเมฆาโบยบินของเราเช่นนี้ ทว่าเห็นได้ชัดว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเพียงการหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น”
“ใช่ ในโลกภายนอกจะมีอัจฉริยะฝีมือดีได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้จัดเป็นอัจฉริยะของโลกภายนอกก็ไม่มีทางที่จะเทียบชั้นกับอัจฉริยะจากขุมกำลังของเราได้”
“ข้าได้ยินมาว่าอัจฉริยะจากโลกภายนอกผู้นั้นเป็นสตรี ข้าพอจะรู้เรื่องของโลกภายนอกอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีขุมกำลังใดที่มีสตรีมากพรสวรรค์และแข็งแกร่งจนน่าทึ่งอยู่ ผู้อาวุโสใหญ่คงจะไม่ได้โกหกเราใช่รึไม่ ?”
……
ฝูงชนต่างก็กล่าวแสดงความสงสัยตาม ๆ กันส่งผลให้ทั่วทั้งลานประลองยุทธ์เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงและเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย
คนเหล่านี้สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่อย่างที่สุดและคิดว่าสตรีผู้เป็นอัจฉริยะจากโลกภายนอกที่ว่าคงจะไม่ได้มีฝีมือเท่าใดนักและเพียงต้องการอวดอ้างความสามารถเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น
“ดูนั่นสิ อัจฉริยะจากโลกภายนอกมาถึงแล้ว !”
เมื่อใครคนหนึ่งมองเห็นฉินอวี้โม่ที่เดินเข้ามาเคียงข้างเฟยโม่ เขาก็ตะโกนเสียงดังและทำให้สายตาทุกคู่ทั่วบริเวณหันมองไปในทิศทางนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“แม่เจ้า ! รูปลักษณ์ของอัจฉริยะผู้นี้ช่างงดงามอย่างแท้จริง”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน คนเหล่านั้นก็อดอุทานด้วยความตกตะลึงไม่ได้
ในวิหารเมฆาโบยบินมีสตรีงดงามมากมายหลายคนและเฟยโม่เองก็เป็นหนึ่งในสตรีงามชวนมองเหล่านั้น ทว่าเมื่อยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ ความงามเหล่านั้นกลับกลายเป็นหม่นหมองไร้ความโดดเด่น ไม่ว่าในด้านรูปลักษณ์หรือเสน่ห์ นางก็ด้อยกว่าฉินอวี้โม่มากนัก
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นพิเศษคือฉินอวี้โม่มีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างซึ่งทำให้ผู้คนอดที่จะยอมจำนนต่อนางไม่ได้
“เหอะ เป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา แต่กลับอวดอ้างว่าตนเป็นอัจฉริยะจากโลกภายนอก คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ในโลกภายนอกจะมีอัจฉริยะฝีมือดีได้อย่างไรกัน”
ใครคนหนึ่งเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วก่อนพยายามสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และอดกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันไม่ได้
“มีพลังเพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราจริง ๆ นี่คืออัจฉริยะจากโลกภายนอกที่ผู้อาวุโสอวิ๋นหลิงกล่าวถึงจริง ๆ รึ ? หรือว่าพวกเรากำลังเข้าใจอะไรผิด ?”
คนอื่น ๆ ก็พยายามสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เช่นกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสงสัยยิ่งกว่าเดิม
ถึงอย่างไร สำหรับคนของวิหารเมฆาโบยบินที่มีวัยใกล้เคียงกับฉินอวี้โม่ การที่มีความแข็งแกร่งบรรลุในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราไม่ถือว่าโดดเด่นจนเรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้
ในวิหารเมฆาโบยบินมีคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับฉินอวี้โม่อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยและการที่บรรลุขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราด้วยวัยเท่านี้มิใช่สิ่งที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
“ผู้อาวุโสอวิ๋นหลิง แน่ใจหรือว่าอัจฉริยะจากโลกภายนอกที่ท่านหมายถึงคือสตรีผู้นี้ ?”
เฟยซีขมวดคิ้วมุ่นและอดเอ่ยถามไม่ได้ สีหน้าของเขาแสดงถึงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีเขาตั้งตารอที่จะได้ดวลฝีมือกับคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ เสียแล้ว
“หึ ความสามารถในการต่อสู้ของจอมยุทธ์ไม่อาจวัดได้ด้วยระดับพลังภายนอก ไม่ว่านางจะเป็นอัจฉริยะของโลกภายนอกจริงหรือไม่ อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้เห็นด้วยตาตนเอง”
อวิ๋นหลิงไม่กังวลกับวาจาเหล่านั้นและกล่าวกับทุกคนพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ขณะผายมือเชิญให้ฉินอวี้โม่เดินเข้ามาหาตน
แม้ตกเป็นเป้าสายตาและความสงสัยของผู้คนมากมาย สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ไม่มีความผันผวนใดมากนัก การที่ถูกตั้งคำถามเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรนางก็ถูกตั้งคำถามมาตลอดทั้งชีวิต ทว่าภายในเวลาอีกไม่นาน คนเหล่านี้ก็จะต้องรู้สึกอับอายราวกับถูกตอกหน้า
“อวี้โม่ เจ้าคิดที่จะประลองฝีมือกับพวกเขาอย่างไร ?”
อวิ๋นหลิงถามความคิดเห็นของฉินอวี้โม่โดยไม่ต้องการให้นางดวลกับเฟยซีหรือเฟยเหิงตั้งแต่ต้น
ความแข็งแกร่งของเฟยซีและเฟยเหิงเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนต่อทุกคนในวิหารอยู่แล้ว การปล่อยให้นางได้ดวลฝีมือกับพวกเขาทั้งสองอย่างรวดเร็วเกินไปอาจทำให้ฉินอวี้โม่พ่ายแพ้ไปตั้งแต่ต้น
เพราะเหตุนั้น การปล่อยให้นางได้ประมือและทดสอบความแข็งแกร่งของอัจฉริยะคนอื่น ๆ ของวิหารเมฆาโบยบินก่อนจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประมือกับจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวออกไป ต่อให้จะเอาชนะจอมยุทธ์ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราได้สำเร็จ มันก็มิใช่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับนาง พวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำให้นางรู้สึกท้าทายและคงช่วยพัฒนาฝีมือของนางไม่ได้
มีเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราขึ้นไปเท่านั้นที่จะทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความกดดันได้ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นศักยภาพของนางและพัฒนาความแข็งแกร่งต่อไป
“อะไรนะ ? ลองพูดอีกทีซิ !”
เมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของฉินอวี้โม่ หลายคนก็เดือดดาลขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบรรดาจอมยุทธ์ที่มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราที่จ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยดวงตาแดงก่ำและต้องการขึ้นไปบนสังเวียนเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้กับนางอย่างสาสม
การที่จอมยุทธ์ผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารากล้าดูแคลนพวกเขาที่มีพลังถึงขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราช่างเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดอย่างที่สุด
“ท่านผู้อาวุโส ข้าจะสู้กับนางเอง ข้าต้องการให้นางสัมผัสว่าความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราของวิหารเราเป็นอย่างไร ผู้ที่มั่นใจว่าเป็นอัจฉริยะจากโลกภายนอกเช่นนางจะได้ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างเรา !”
บุรุษหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมาและยกกำปั้นเหวี่ยงไปมาต่อหน้าฉินอวี้โม่
“คือว่า…”
อวิ๋นหลิงลังเลเล็กน้อยทว่านางก็ไม่สงสัยในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ เพียงแต่ไม่อาจทราบได้เลยว่าฉินอวี้โม่กำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสู้กับเจ้าเอง…หรือพวกเจ้าสามคนเข้ามาพร้อมกันก็ย่อมได้”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่บุรุษหนุ่มร่างใหญ่ก่อนชี้ไปที่สองคนถัดจากเขาซึ่งมีความแข็งแกร่งที่ไม่ต่างกันมากนักพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เรียบเฉยออกมา
“บัดซบ รนหาที่ตายแท้ ๆ !”
บุรุษหนุ่มร่างกำยำฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รอช้าและกระโดดขึ้นบนสังเวียนก่อนเดินเข้าไปตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“ระวังเรื่องความปลอดภัยของอีกฝ่ายด้วยล่ะ”
อวิ๋นหลิงกล่าวทิ้งท้ายก่อนเหาะออกไปยังแท่นยกสูงที่อยู่ไม่ไกล
“เหอะ เจ้าอัจฉริยะจากโลกภายนอก…ข้าจะปล่อยให้เจ้าโจมตีก่อน”
บุรุษหนุ่มคนเดิมแค่นเสียงเย็นชาก่อนแผ่พลังมายาออกไปเพื่อสร้างม่านป้องกันขึ้นรอบตัวและกล่าววาจายั่วยุฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย
“เจ้าแน่ใจรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากทันที พลังในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราก็ไม่ถือว่าอ่อนแอมากนัก ทว่าน่าเสียดายที่บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้ประมาทและมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป
“หยุดพูดพล่ามไร้สาระเสียที !”
ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของฉินอวี้โม่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมขณะจ้องหน้าฉินอวี้โม่อย่างเดือดดาลและกล่าวกระตุ้นให้นางเริ่มโจมตี
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาล่ะนะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางและพุ่งเข้าไปปรากฏตรงหน้าบุรุษหนุ่มร่างกำยำอย่างกะทันหัน นิ้วชี้และนิ้วกลางของนางก็ห่อหุ้มไปด้วยเพลิงร้อนระอุก่อนที่จะจิ้มลงบนม่านป้องกันของคู่ต่อสู้อย่างแผ่วเบา