อวิ๋นหลานก็ไม่ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ธรรมดาเลย เขาเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ของวิหารเมฆาโบยบินซึ่งทรงพลังและยากจะรับมือ อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับเฟยอวิ๋น เขากลับไม่มีพลังที่จะตอบโต้ได้เลย
ความแข็งแกร่งของเฟยอวิ๋นบรรลุถึงระดับที่เย้ยฟ้าท้าดินแล้ว ในทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ นอกเหนือจากผู้นำตระกูลหมิงก็ไม่มีผู้ใดที่จะเป็นคู่มือให้กับเขาได้อีก
“บัดซบ ! บัดซบจริง ๆ !”
หลังจากปลดปล่อยกระบวนท่าโจมตีออกไปจำนวนหนึ่งและไม่มีทางฝ่าทะลวงผ่านการป้องกันของเฟยอวิ๋นได้ อวิ๋นหลานก็ฉุนเฉียวมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อไม่อาจคิดหาทางหลบหนีได้อีก ร่างของเขาก็ค่อย ๆ พองโตขึ้นมา
ต่อให้จะหลบหนีเอาตัวรอดไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางยอมถูกจับตัวได้ง่าย ๆ ตราบใดที่ระเบิดทำลายตัวเองเสีย เฟยอวิ๋นตรงหน้าเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสไปเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น จิตวิญญาณของเขาจะมีโอกาสหลบหนีในที่สุด
“คิดจะระเบิดตัวเองงั้นรึ ? ฝันไปเถอะ !”
แน่นอนว่าเฟยอวิ๋นคาดเดาความคิดของอวิ๋นหลานได้และแค่นเสียงเย้ยหยันก่อนปล่อยคลื่นพลังรุนแรงตรงไปห่อหุ้มทั่วร่างของอวิ๋นหลานส่งผลให้เขาไม่สามารถระเบิดตัวเองได้สำเร็จ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
สีหน้าของอวิ๋นหลานกลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าความแข็งแกร่งของเฟยอวิ๋นจะน่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นที่ขัดขวางการระเบิดตัวเองของเขาได้
“เหอะ อวิ๋นหลาน เจ้าควรจะทราบเป็นอย่างดีถึงชะตากรรมของผู้ที่คิดคดทรยศวิหารเมฆาโบยบินของข้า !”
จ้าววิหารเฟยอวิ๋นแค่นเสียงเย็นชาก่อนทำลายรากฐานพลังของอวิ๋นหลานโดยตรง
อวิ๋นหลานที่เดิมทีดูเหมือนบุรุษชราที่มีอายุอยู่ในช่วงวัยหกสิบปีก็ดูแก่ชราลงมากในชั่วพริบตา กลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและดูเหมือนบุรุษชราที่ใกล้จะลงโลงเต็มที
“……”
เขาทำได้เพียงอ้าปากค้างโดยที่ไร้คำพูดใดเล็ดลอดออกมา เพียงนึกถึงความทุกข์ทรมานที่จะต้องเผชิญต่อไป เขาก็หมดสติไปด้วยจินตนาการของตนเองทันที
“อวิ๋นหลิง ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ต่อไป สืบหาข้อมูลจากเขาว่ามีกี่คนในวิหารของเราที่แปรพักตร์ไปหาตระกูลหมิง ดูเหมือนว่าในหลายปีที่ผ่านมานี้ คนของวิหารเมฆาโบยบินจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสุขสบายและผ่อนคลายกันเกินไปจนบางคนอาจลืมเลือนปณิธานเดิมของเราไปแล้ว !”
เฟยอวิ๋นหันไปสั่งการกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขณะแผ่แรงกดดันที่ทำให้ทุกคนในวิหารเมฆาโบยบินสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จ้าววิหารเฟยอวิ๋นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเก็บตัวบ่มเพาะพลังและฝึกฝนวิชาโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับกิจการต่าง ๆ ในขุมกำลังมากนัก เพราะเหตุนั้น ผู้อาวุโสหลายคนอาจจะเคยชินกับการที่มีอำนาจจนลืมไปว่าแท้จริงแล้วจ้าววิหารเมฆาโบยบินเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด…
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าววิหาร !”
อวิ๋นหลิงพยักศีรษะรับคำสั่งด้วยแววตาเคารพอย่างที่สุด
“สหายน้อยอวี้โม่ หากในช่วงนี้เจ้ายังไม่มีอะไรที่ต้องไปจัดการ เชิญอยู่ที่วิหารเมฆาโบยบินของเราสักระยะเพื่อช่วยสอนวิชาให้กับเด็กเหล่านั้นที่คิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะของวิหารสักหน่อยเถอะ ข้าอยากจะเก็บตัวสักพักเพื่อดูดซับพลังของผลึกแสงตะวัน หลังจากที่ทะลวงพลังได้สำเร็จ ข้าก็คงจะรับมือกับผู้นำตระกูลหมิงได้ไม่ยากนัก”
เฟยอวิ๋นกล่าวทิ้งท้ายกับฉินอวี้โม่ก่อนหายวับไปต่อหน้าทุกคน ครานี้เขาจะเริ่มเก็บตัวบ่มเพาะอย่างจริง ๆจัง ๆ
ทว่าทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดมุ่งร้ายเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป พวกเขาตระหนักดีว่าหากจ้าววิหารต้องการสังหารพวกตน มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งกว่าการบีบมดตัวเล็ก ๆ ให้ตายคามือเสียอีก เพียงแต่เขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวันเท่านั้น
“อวี้โม่ ในเมื่อจ้าววิหารกล่าวเช่นนี้แล้ว เหตุใดเจ้าไม่ลองประมือกับบรรดาอัจฉริยะเหล่านั้นของวิหารเมฆาโบยบินดูก่อนล่ะ ?”
ในเวลานี้ อวิ๋นหลิงก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เคารพนับถือมากขึ้นและเอ่ยถามออกไป เพียงนึกถึงบรรดาคนรุ่นใหม่ที่มักจะโอ้อวดและมั่นใจในความสามารถของตนมากเกินไปในวิหารเมฆาโบยบิน นางก็อดรู้สึกอยากจะสั่งสอนคนเหล่านั้นไม่ได้
มิเช่นนั้น หากปล่อยให้คนของวิหารเมฆาโบยบินฝึกฝนกันเอง เกรงว่าพวกเขาจะกลายเป็นกบในกะลาไปในที่สุดและไม่ทราบเลยว่าในโลกภายนอกยังมีจอมยุทธ์ที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขาอยู่อีกมาก
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างไม่ลังเล บังเอิญว่าความแข็งแกร่งของนางก็ติดอยู่ในสภาวะคอขวดพอดิบพอดีและการได้ประมือกับคนอื่น ๆ อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้
“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะส่งคนไปเรียกเจ้าในเช้าวันพรุ่งนี้”
เนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้ว อวิ๋นหลิงจึงจัดแจงที่พักให้กับฉินอวี้โม่และสั่งให้เฟยโม่นำทางนางไปที่นั่นเพื่อพักผ่อนก่อน ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ฉินอวี้โม่เข้ามาในวิหารเมฆาโบยบิน เฟยโม่ก็เป็นคนคอยดูแลอำนวยความสะดวกอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่มาเสมอ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น นางก็แยกตัวออกไปเพื่อเรียกรวมตัวคนของวิหารเมฆาโบยบิน
สมาชิกของวิหารเมฆาโบยบินมีอยู่เพียงไม่มากนักและมีจำนวนสมาชิกที่น้อยกว่าสมาชิกของตระกูลเยี่ยซึ่งเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในสามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม คนของวิหารเมฆาโบยบินส่วนใหญ่ล้วนเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดีและทรงพลัง หลายคนในนั้นมีอายุไม่ต่างจากฉินอวี้โม่มากนักทว่ากลับมีพลังที่บรรลุถึงขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราแล้วซึ่งเป็นผลงานที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
คนอื่นๆที่เหลือก็ล้วนมีระดับพลังที่เหนือกว่าฉินอวี้โม่เช่นกัน แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราซึ่งถือเป็นอัจฉริยะในโลกภายนอกแล้ว
“ผู้อาวุโสอวิ๋นหลิง ไม่ทราบว่าท่านเรียกพวกเรามาพบเพราะมีเรื่องอะไรรึขอรับ ?”
ผู้ที่เอ่ยถามเป็นคนแรกคือบุรุษนามว่า ‘เฟยซี’ ผู้มีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราและเป็นศิษย์สายตรงของทั้งเฟยอวิ๋นและวิหารเมฆาโบยบิน
เฟยซีเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของวิหารเมฆาโบยบินและถือเป็นผู้สืบทอดในอนาคตของวิหารเมฆาโบยบินเช่นกัน เขามักจะแสดงท่าทีเย็นชาและวางท่าทะนงตนมาเสมอ แม้แต่ผู้อาวุโสของวิหารเมฆาโบยบินก็ยังต้องไว้หน้าเขาพอสมควร
โดยส่วนใหญ่แล้วเขามักใช้เวลาไปกับการฝึกวิชาอยู่ภายในเรือนของตนเองและหยุดพักเพียงครั้งคราวเท่านั้น แม้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นมากแล้ว เขาก็ยังหมั่นฝึกฝนวิชาอย่างหนัก
“เฟยซี สาเหตุที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้เพราะมีอัจฉริยะจากโลกภายนอกที่เข้ามาเยี่ยมเยียนวิหารเมฆาโบยบินของเรา เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากให้พวกเจ้าได้เรียนรู้จากอัจฉริยะผู้นี้”
อวิ๋นหลิงไม่รีบร้อนเปิดเผยข้อมูลของฉินอวี้โม่ ทว่าเพียงกล่าวออกไปคร่าว ๆ เท่านั้น
“อัจฉริยะจากโลกภายนอก ? ในโลกภายนอกนั่นมีผู้ที่แข็งแกร่งจนเป็นอัจฉริยะด้วยรึขอรับ ?”
เฟยซียังไม่ทันกล่าวสิ่งใด ทว่ากลับเป็นบุรุษหนุ่มที่อ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยและอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราเป็นผู้กล่าวออกมา เขาเป็นศิษย์สายตรงของเฟยอวิ๋นเช่นกันและจัดเป็นอัจฉริยะอันดับสองในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดของวิหารเมฆาโบยบิน เขามีนามว่า ‘เฟยเหิง’
ในสายตาของเฟยเหิง นอกเหนือจากเฟยซีก็ไม่มีผู้ใดที่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกเลย แม้ไม่เคยออกไปเยือนโลกภายนอก พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องราวมามากพอสมควร ซึ่งอัจฉริยะของโลกภายนอกไม่ควรจะมีฝีมือมากเท่ากับศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดในวิหารเมฆาโบยบินด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็นถึงอัจฉริยะอันดับต้น ๆ
“เฟยเหิง ข้าทราบดีว่าเจ้าและอีกหลายคนต่างก็คิดว่าตนเองพิเศษเหนือกว่าคนอื่น ๆ และเป็นถึงอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของวิหาร อย่างไรก็ตาม ข้าอยากบอกไว้ว่าในโลกภายนอกยังมีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าอีกมากมายนักและอัจฉริยะเหล่านั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเจ้าเลย พวกเจ้ายังไม่ต้องเชื่อข้าในตอนนี้หรอก ทว่านับจากพรุ่งนี้ไป พวกเจ้าก็จะเข้าใจได้เอง”
อวิ๋นหลิงคาดเดาไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมาและไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย นางเพียงยิ้มให้กับทุกคนและกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“หวังว่าอัจฉริยะผู้นั้นจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจนเกินไป !”
เฟยซีกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งกว่าเฟยเหิง ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ปักใจเชื่อวาจาของอวิ๋นหลิงหรือพิจารณาคำพูดของนางอย่างจริงจังเช่นกัน
บางทีในตระกูลหมิงก็อาจจะมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าเขา อย่างไรก็ตาม ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างวิหารเมฆาโบยบินและตระกูลหมิงก็ไม่ควรจะมีคนของตระกูลหมิงที่เข้ามาที่นี่ได้ ส่วนอัจฉริยะจากขุมกำลังอื่น ๆ นั้น ไม่ว่าจะกล่าวว่าแข็งแกร่งเพียงใด เฟยซีก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเท่าใดนัก
“ไม่ต้องห่วง พวกเจ้าจะต้องพึงพอใจแน่”
แม้ว่าอวิ๋นหลิงจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ทว่าในเมื่อแม้แต่จ้าววิหารก็ยังให้ความสำคัญกับนางมากเช่นนั้น ผู้อาวุโสอวิ๋นหลิงย่อมเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของแขกคนสำคัญผู้นี้
“อีกอย่าง…อวิ๋นหลานทรยศต่อวิหารของเราและร่วมมือกับตระกูลหมิงเพื่อพยายามก่อความวุ่นวายที่เป็นภัยต่อวิหารเมฆาโบยบินของเรา ตอนนี้เราจัดการกับเขาไปแล้ว สำหรับผู้ที่เคยเป็นศิษย์ของอวิ๋นหลาน หากพวกเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหมิงแม้เพียงน้อยนิดละก็ จงรับสารภาพมาด้วยตนเองจะดีกว่า เราจะให้โอกาสพวกเจ้าได้กลับตัวกลับใจ มิเช่นนั้น…อย่าหาว่าพวกเราโหดเหี้ยมก็แล้วกัน !”
อวิ๋นหลิงกล่าวต่ออีกประโยคซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเนื่องจากนางสังเกตเห็นสีหน้าของหลายคนที่เปลี่ยนแปลงไปในทันที