จู่ ๆแรงกดดันมหาศาลก็แผ่ตรงไปที่อวิ๋นหลานก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างช้า ๆ
บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีดำและกลิ่นอายความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็น่าเกรงขามจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย เขาก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนทว่ามาพร้อมกับแรงกดดันที่ไร้ที่สิ้นสุดและทรงพลังจนทุกคนในภัตตาคารนิ่งเงียบจนพูดไม่ออกไปทันที
ตุบ !
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดเมื่ออวิ๋นหลานทรุดลงกับพื้นอย่างมิอาจควบคุมและแววตาแสดงความหวาดกลัวสุดขีด
“อวิ๋นหลาน ข้าให้โอกาสเจ้ามามากพอแล้ว !”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากบุรุษชุดดำและแรงกดดันอันทรงพลังก็ทำให้ทุกคนแทบหายใจไม่ออก
“ท่านจ้าววิหาร…”
อวิ๋นหลานเอ่ยปากเพียงเบา ๆทว่าชะงักไปเล็กน้อยราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้และสีหน้าเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกเจ้าจงใจจัดฉากข้า !”
เขาตวัดสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่ เฟยปู้และเฟยโม่สลับกันเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้
“จัดฉากอะไรรึ ?”
เฟยโม่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยและเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
เฟยปู้และฉินอวี้โม่ก็คาดเดาสถานการณ์ได้เล็กน้อย ทว่าไม่กล่าวอธิบายสิ่งใดออกไป
“อวิ๋นหลาน ข้าทราบมานานแล้วว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับคนในตระกูลหมิง ก่อนหน้านี้ข้าเพียงเห็นแก่ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของเจ้าจึงไม่เคยกล่าวสิ่งใดออกไป คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน หากเจ้าต้องการจะไปจากที่นี่เพียงคนเดียว ข้าก็อาจจะเห็นแก่คุณงามความดีที่เจ้ามีต่อวิหารของเรามาตลอดหลายปีและยอมปล่อยเจ้าไป ทว่าเจ้ากลับคิดที่จะชักจูงให้ทุกคนไปกับเจ้าด้วย นี่เจ้าคิดว่าข้าผู้นี้โง่เขลามากนักรึ ?”
เฟยอวิ๋นเดินตรงเข้าไปหาอวิ๋นหลานก่อนหยุดลงและมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
ในฐานะจ้าววิหารเมฆาโบยบิน เขาย่อมทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขุมกำลังของตนเป็นอย่างดี หลายสิ่งหลายอย่างแม้จะไม่เคยเปิดเผยออกไปเนื่องจากไม่คิดว่าจำเป็นนัก ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปิดหูปิดตาไม่รับรู้เรื่องใด และการที่เขาไม่เคยเปิดโปงเจตนาของอวิ๋นหลานก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะคาดหวังในใจว่าอีกฝ่ายอาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสอวิ๋นหลานไม่เคยเห็นค่าความสำคัญของโอกาสเหล่านั้นและยังเต็มใจที่จะเป็นลิ่วล้อของตระกูลหมิง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เฟยอวิ๋นก็ไม่คิดปรานีอีกต่อไป
“เฟยอวิ๋น ข้าทำในสิ่งที่ถูกต้องและอุทิศตนเพื่อวิหารเมฆาโบยบินมาตลอด เมื่อครั้งที่ตระกูลหมิงโจมตีขุมกำลังของเรา ข้าก็ต่อสู้กับคนเหล่านั้นอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าเจ้าตอบแทนข้าอย่างไร ? เมื่อถึงคราวเลือกผู้คุมกฎ เจ้ากลับเลือกเฟยปู้ที่อ่อนแอกว่าและไม่ยอมเลือกข้า เจ้าจะมิให้ข้ารู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจเลยรึ ? ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าวโทษข้ากัน ? ใช่ว่าข้าอยากจะยอมจำนนต่อตระกูลหมิง เพียงแต่วิหารเมฆาโบยบินแห่งนี้ไม่มอบความเป็นธรรมให้กับข้า จนข้ามิอาจภักดีได้อีกต่อไป !”
อวิ๋นหลานพยายามลุกขึ้นยืนและมองเฟยอวิ๋นด้วยแววตาชิงชังอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
เขายอมรับตามความจริงว่าเขาทรยศต่อวิหารเมฆาโบยบิน ทว่าเขาก็คิดว่าตนเองไม่เคยได้รับความเป็นธรรมในตลอดเวลาที่ผ่านมา คนสนิทของเฟยอวิ๋นคือผู้คุมกฎทั้งสองเสมอมาและเขาทำได้เพียงตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนทั้งสอง
“เหอะ อวิ๋นหลาน ความเห็นแก่ตัวก็คือความเห็นแก่ตัว เหตุใดจะต้องกล่าวอ้างเหตุผลมากมายเช่นนี้ ? แม้เฟยหยางและข้าจะเป็นผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและขวา เราก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวในธุระกงการใด ๆ ของวิหารเมฆาโบยบิน เจ้าพร่ำบอกว่าท่านจ้าววิหารไม่เชื่อใจเจ้า ทว่าส่วนใหญ่เจ้าก็เป็นคนจัดการดูแลเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวิหารของเรา นอกเสียจากจะเป็นงานใหญ่ เจ้าก็ถือเป็นคนดูแลทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว ทว่าตอนนี้เจ้ากลับกล่าวว่าท่านจ้าววิหารไม่เห็นความสำคัญของเจ้า แท้จริงแล้วเจ้าเพียงหาข้ออ้างเพื่อโทษพวกเราในความเห็นแก่ตัวของเจ้าเท่านั้น ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ!”
ก่อนที่เฟยอวิ๋นจะกล่าวสิ่งใด ผู้คุมกฎเฟยปู้ก็อดไม่ได้และกล่าวตอบโต้เสียงดัง
เป็นจริงดังที่เขากล่าวออกไปทุกประการ แม้อวิ๋นหลานจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ในขณะที่พวกเขาเป็นผู้คุมกฎของวิหารเมฆาโบยบิน อย่างไรก็ตาม ในแง่ของอิทธิพลอำนาจในขุมกำลัง อวิ๋นหลานก็กุมอำนาจเหนือกว่าผู้คุมกฎทั้งสองอย่างมาก
เฟยอวิ๋นไว้วางใจในตัวอวิ๋นหลานมาเสมอและมอบอำนาจให้เขาเป็นคนจัดการดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างของวิหารเมฆาโบยบินตลอดมา ในทางกลับกัน ส่วนใหญ่แล้วผู้คุมกฎทั้งสองก็เพียงเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อป้องกันมิให้คนแปลกหน้าบุกเข้ามาเท่านั้น
การที่อวิ๋นหลานกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะเฟยอวิ๋นไม่เห็นค่าความสำคัญของตนจึงเลือกที่จะแปรพักตร์เช่นนี้ถือว่าเป็นข้อแก้ตัวที่ไร้สาระสิ้นดี !
วาจาตรงไปตรงมาของเฟยปู้ทำให้อวิ๋นหลานถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมดและเขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งใดได้เลย
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นหลานก็ยังไม่พอใจเพียงเท่านี้ เขารู้สึกว่าหากไม่มีเฟยอวิ๋นสักคน เขาก็คงได้ครองตำแหน่งจ้าววิหารเมฆาโบยบินไปแล้ว และต่อให้จะมีเฟยอวิ๋นอยู่ เขาก็มั่นใจว่าตนมีฝีมือมากพอที่จะเป็นจ้าววิหารได้ มิใช่เป็นเพียงผู้อาวุโสใหญ่ที่ไม่ได้รับความสำคัญเช่นนี้
“อวิ๋นหลาน ในเมื่ออยากจะเป็นผู้คุมกฎนัก เหตุใดจึงไม่กล่าวบอกกันก่อนหน้านี้เล่า ? หากข้าทราบว่าเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็คงจะมอบตำแหน่งผู้คุมกฎให้กับเจ้าทันทีและปล่อยให้เจ้าทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ข้างหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายปีแล้วปีเล่า มันจะทำให้เจ้าพอใจใช่รึไม่ ?!”
เฟยอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นหลานทรยศต่อวิหารเมฆาโบยบินเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง ทว่าเขาก็ยังต้องการจะโทษให้เป็นความผิดของคนอื่น น่าเสียดายที่มันไม่อาจเป็นความผิดของใครไปได้เลย
อวิ๋นหลานอ้าปากค้างอย่างไร้คำพูดและไม่อาจโต้แย้งได้เลย ทุกประโยคของเฟยอวิ๋นเป็นความจริงทุกประการ ซึ่งนี่ไม่ต่างจากการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ มันทำให้เขารู้สึกคับแค้นใจอย่างที่สุด
“เอาล่ะ เลิกพูดจาไร้สาระกันเถอะ พวกเจ้าต้องการจะไปกับเขาหรือจะอยู่ที่วิหารเมฆาโบยบินต่อไป ?”
เฟยอวิ๋นโบกมือเล็กน้อยและสายตากวาดมองไปที่บรรดาผู้อาวุโสและคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นหลานขณะเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ท่านจ้าววิหาร มันเป็นความผิดของพวกเราเอง เราคล้อยตามวาจาล่อลวงของผู้อาวุโสใหญ่และหลงผิดไป พวกเรายินดีรับบทลงโทษ”
หลายคนคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
“พวกเจ้า…”
อวิ๋นหลานฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม เขาโน้มน้าวใจคนเหล่านี้ให้ออกจากวิหารไปพร้อมกันได้สำเร็จแล้ว ไม่คิดเลยว่าพวกเขาทั้งหมดจะนึกเปลี่ยนใจและยังเสียใจกับการหลงผิดชั่วขณะ
“ผู้อาวุโสใหญ่ เราเคยคิดว่าท่านคำนึงถึงผลประโยชน์ของวิหารเมฆาโบยบินเหนือสิ่งอื่นใดจึงได้ตอบตกลงจะออกจากที่นี่ไปพร้อมกับท่าน คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วท่านจะยอมจำนนต่อตระกูลหมิงไปนานแล้ว หากทราบเรื่องนี้มาก่อน เราทุกคนไม่มีทางเห็นด้วยแน่ ในเมื่อท่านจ้าววิหารตัดสินใจไปแล้ว เราก็จะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไร้เงื่อนไข ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็กล่าวถูกทุกประการ แม้ตระกูลหมิงจะทรงพลัง ทว่าพวกเราวิหารเมฆาโบยบินก็ไม่นึกเกรงกลัว หากเราทั้งหมดร่วมมือกัน เราก็อาจมีโอกาสเอาชนะคนเหล่านั้นได้ !”
สตรีวัยกลางคนที่ไม่กล่าวสิ่งใดก่อนหน้านี้แสดงความเห็นออกมาในที่สุด
นางเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่คิดจะไปกับผู้อาวุโสอวิ๋นหลานตั้งแต่ต้นและเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ทำตัวเสียมารยาทต่อฉินอวี้โม่
ก่อนหน้านี้อวิ๋นหลานกล่าวว่าวิหารเมฆาโบยบินจะต้องเผชิญหายนะ เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการส่งบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่มากพรสวรรค์และฝีมือดีไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยก่อนและวางแผนกันต่อไปหลังจากนั้น
ตอนนี้พวกนางตระหนักแล้วว่าอวิ๋นหลานเพียงพยายามหาเหตุผลหลอกล่อคนของวิหารเมฆาโบยบินเนื่องจากตัวเขาแปรพักตร์ไปหาตระกูลหมิงแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมหาทางตัดกำลังวิหารเมฆาโบยบินให้ได้มากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น นางและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไร ภายใต้รังที่พลิกคว่ำก็ย่อมไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ ต่อให้ทางวิหารจะไม่ประจันหน้ากับตระกูลหมิงในตอนนี้ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ต้องทำสงครามกันในสักวัน เพราะฉะนั้น การร่วมมือกับขุมกำลังอื่นในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าและโอกาสเอาชนะก็จะมีมากกว่าเช่นกัน
*覆巢之下無完卵 ภายใต้รังที่พลิกคว่ำย่อมไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ ความหมาย บ้านหรือครอบครัวไหนที่ถูกทำลายไปแล้ว คนในครอบครัวจะมีความสุขสมบูรณ์ไปไม่ได้
“ท่านจ้าววิหารโปรดลงโทษพวกเราด้วย !”
เมื่อเข้าใจถึงความเป็นจริง ทุกคนก็ตระหนักได้ในที่สุดและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าเพียงหวังว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องต่อสู้กับตระกูลหมิง พวกเจ้าจะชดเชยให้กับความผิดในตอนนี้ได้ ครานี้ข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้วกัน !”
เฟยอวิ๋นโบกมือเพื่อให้คนเหล่านั้นยืนขึ้น
“อวิ๋นหลาน จบทุกอย่างด้วยตัวเองเถอะ !”
สายตาของเฟยอวิ๋นเลื่อนไปหยุดที่อวิ๋นหลานอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่เด็ดขาด
“ไม่มีทางซะหรอก ! เฟยอวิ๋น ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด มาสู้กันเถอะ !”
อวิ๋นหลานส่ายศีรษะและพุ่งตรงเข้าโจมตีเฟยอวิ๋นทันที ทว่าสมองของเขาก็แล่นอย่างรวดเร็วขณะคิดหาทางหลบหนี