ผลัวะ !
ฉินอวี้โม่ถูกฝ่ามือของบุรุษชราเหวี่ยงโจมตีอย่างจังจนกระเด็นออกไปกระแทกกับผนังด้านหนึ่งของห้องแยกและล้มลงไปกับพื้น จากนั้นนางก็กระอักเลือดคำโตออกมาและใบหน้าซีดเซียวลงเล็กน้อย
“ทำไมกัน ? เป็นเพราะข้าพูดจาแทงใจดำ ท่านจึงรู้สึกอับอายจนฉุนเฉียวขึ้นมาเช่นนี้รึ ?”
อย่างไรก็ตาม นางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยขณะยืนขึ้นและเช็ดเลือดจากมุมปากของตนพลางกล่าววาจาถากถางอย่างไม่เกรงกลัว
“หุบปากเสีย !”
บุรุษชราฉุนเฉียวขึ้นมาเพราะวาจาแทงใจดำของฉินอวี้โม่อย่างที่ว่าจริง ๆ เขาไม่ต้องการประจันหน้ากับตระกูลหมิงเพราะความขี้ขลาดของตนเอง ตระกูลหมิงมีพลังอำนาจและอิทธิพลที่แกร่งกล้าเกินไป ต่อให้จะตัดสินใจต่อสู้กับคนเหล่านั้นก็แทบไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย การที่ตระกูลหมิงและสามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงมีเรื่องบาดหมางกัน หากสามตระกูลต้องการร่วมมือกัน วิหารเมฆาโบยบินก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวในความวุ่นวายเหล่านั้น
สำหรับความเป็นไปได้ที่ว่าตระกูลหมิงอาจจะเดินหน้าโจมตีวิหารเมฆาโบยบินเป็นลำดับต่อไปนั้น บุรุษชราก็ไม่ได้กังวลมากนัก
ด้วยความแข็งแกร่งของวิหารเมฆาโบยบิน แม้ไม่มากพอที่จะเอาชนะตระกูลหมิง ทว่าตระกูลหมิงก็ไม่สามารถบุกรุกเข้ามาในวิหารเมฆาโบยบินของพวกเขาได้ง่าย ๆ เช่นกันและถือว่ายังมั่นใจในความปลอดภัยของพวกตนได้พอสมควร
“แม่สาวน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่เห็นค่าของมัน อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมเกินไปก็แล้วกัน !”
บุรุษชราไม่คิดยั้งมืออีกต่อไปและแรงกดดันอันแรงกล้าก็แผ่ตรงไปที่ฉินอวี้โม่พร้อมกับก้อนพลังมายาที่ก่อตัวขึ้นในมือด้วยหมายที่จะกำจัดสตรีตรงหน้าให้สิ้นซาก
ตราบใดที่สังหารนางได้สำเร็จ ต่อให้จ้าววิหารเฟยอวิ๋นจะทราบเรื่อง บุรุษชราก็เชื่อว่าเขาจะสามารถหาข้ออ้างเพื่อโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้และไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดกับตนเอง
“คิดจะฆ่าข้างั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อยและมองบุรุษชราตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา ในเมื่อมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่กับตัว ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็สังหารนางไม่ได้อย่างแน่นอน
“เหอะ ข้าไม่อาจทนเห็นวิหารเมฆาโบยบินของเราตกอยู่ในอันตรายได้ ในเมื่อจ้าววิหารตกปากรับคำเจ้าไปแล้ว ข้าคงต้องยอมเป็นผู้ร้ายไปสักครา !”
บุรุษชรายังคงวางท่าว่าตนกำลังทำในสิ่งที่ชอบธรรมขณะโบกมือเล็กน้อยเพื่อปล่อยก้อนพลังมายาตรงไปที่ฉินอวี้โม่
“อวิ๋นหลาน นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน !”
ขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังจะหนีเข้าไปซ่อนตัวในคฤหาสน์เฟิงหัว เสียงของเฟยปู้ก็ดังมาจากด้านนอกก่อนประตูห้องจะถูกเปิดออกอย่างแรงและคลื่นพลังบางอย่างก็พุ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าฉินอวี้โม่พร้อมกับขัดขวางก้อนพลังมายาของอวิ๋นหลานไว้
เวลานี้ เฟยปู้ปรากฏตัวที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย ด้านหลังของเขาคือเฟยโม่ที่ตามมาอย่างใกล้ชิดและพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่เบา ๆ ด้วยแววตาเป็นกังวล
เฟยปู้ไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด ทันทีที่เฟยโม่วิ่งไปแจ้งว่าผู้อาวุโสอวิ๋นหลานเรียกตัวฉินอวี้โม่เข้าไปพบ เขาก็สังหรณ์ใจว่าฉินอวี้โม่อาจต้องตายด้วยเงื้อมมือของอวิ๋นหลาน
จ้าววิหารของพวกเขาได้ตกปากรับคำว่าจะร่วมมือกับขุมกำลังใหญ่ในเมืองเซิ่งหลิงเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิงแล้ว ทว่าทันทีที่เฟยอวิ๋นเข้าสู่ช่วงเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะพลัง อวิ๋นหลานกลับต้องการที่จะสังหารฉินอวี้โม่ลับหลังเขา
หากใช้สมองคิดก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นหากว่าฉินอวี้โม่ต้องตายเพราะเงื้อมมือของอวิ๋นหลานจริง
ตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงจะต้องโกรธแค้นอย่างที่สุดและอาจเปลี่ยนใจไปร่วมมือกับตระกูลหมิงเพื่อโจมตีวิหารเมฆาโบยบินของพวกเขาแทน เมื่อถึงตอนนั้น ชะตากรรมของวิหารเมฆาโบยบินก็จะมีเพียงทางเดียวเท่านั้นและนั่นคือการที่ถูกทำลายล้างไป
“เฟยปู้ แม้แต่เจ้าก็ยังคิดที่จะปกป้องนางงั้นรึ ?”
อวิ๋นหลานขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่เห็นเฟยปู้ปรากฏตัว
แม้จะมีหน้าที่เพียงคุ้มกันข้างหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำมาสู่วิหารเมฆาโบยบิน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเฟยปู้มีสถานะที่ต่ำต้อยไปกว่าเขา ในวิหารเมฆาโบยบินแห่งนี้ สถานะของผู้คุมกฎทั้งสองก็สูงกว่าพวกเขาบรรดาผู้อาวุโสเสียอีก
แม้อวิ๋นหลานจะเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ เขาก็ยังหวาดหวั่นต่อเฟยปู้อยู่ไม่น้อย
“เหอะ ข้าไม่ได้ปกป้องนาง เพียงแต่ข้าไม่อยากให้วิหารเมฆาโบยบินของเราต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย !”
เฟยปู้เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าฉินอวี้โม่และยืนประจันหน้ากับอวิ๋นหลาน
“อวิ๋นหลาน ท่านจ้าววิหารตัดสินใจแล้วและให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับสามตระกูลใหญ่ เหตุใดเจ้าจึงต้องสร้างปัญหาความวุ่นวายขึ้นมาเช่นนี้ ? ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่เป็นแขกคนสำคัญของวิหารเรา ก่อนที่ท่านจ้าววิหารจะเข้าสู่ช่วงเก็บตัว เขาก็กำชับว่าเราทุกคนต้องให้การต้อนรับและดูแลนางเป็นอย่างดี ทว่าเจ้ากลับเรียกนางมาพบและพยายามฆ่านางเช่นนี้ นี่เจ้าคิดจะขัดคำสั่งของท่านจ้าววิหารอย่างนั้นรึ ?”
ก่อนหน้านี้เฟยปู้ได้รับคำสั่งจากเฟยอวิ๋นผ่านทางกระแสจิตและทราบถึงสถานการณ์ล่าสุดแล้ว
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน สามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงและวิหารเมฆาโบยบินจะต้องผนึกกำลังร่วมกัน มิเช่นนั้น จุดจบเดียวที่จะเกิดขึ้นคือการที่ต้องถูกกวาดล้างไปโดยตระกูลหมิง
เฟยอวิ๋นตัดสินใจที่จะเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะพลังทันทีที่ได้รับผลึกแสงตะวันจากฉินอวี้โม่และส่งกระแสจิตมากำชับให้เขาดูแลความเรียบร้อย รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้…
“เฟยปู้ ทุกอย่างที่ข้าทำก็เพื่อวิหารเมฆาโบยบินของเรา ในเมื่อตระหนักดีว่าเรามิใช่คู่มือของตระกูลหมิง เหตุใดท่านจ้าววิหารจึงตกปากรับคำกับสตรีตัวเล็ก ๆ ผู้นี้เพื่อร่วมมือกับตระกูลใหญ่ทั้งสามและต่อสู้กับตระกูลหมิงด้วยกัน ? นั่นมิใช่เป็นการนำพาวิหารของเราไปสู่ความตายรึ ?”
อวิ๋นหลานยังคงกล่าวด้วยความมั่นใจว่าตนไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดและคำนึงถึงอนาคตของวิหารเมฆาโบยบินอย่างสุดหัวใจ ทว่าอีกฝ่ายต่างหากที่ไม่เข้าใจความคิดของเขา
“เฟยปู้ หลีกทางไปเสีย วันนี้ข้าจะต้องฆ่านางให้ได้!”
เขามองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาโกรธแค้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนางคนเดียว ! หากนางไม่เดินทางมาที่วิหารเมฆาโบยบิน ความขัดแย้งเช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่สังหารฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ ปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลายไปเช่นกัน
“ผู้อาวุโสอวิ๋นหลาน สิ่งที่พึงกระทำในตอนนี้คือผนึกกำลังเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิง แม้ตระกูลหมิงจะแข็งแกร่งมาก เราก็ไม่ได้อ่อนแอจนไม่มีโอกาสเอาชนะ ในเมื่อท่านจ้าววิหารตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขา ทว่าท่านกลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางเราเช่นนี้…หรือว่าท่านจะได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากตระกูลหมิงรึ ?”
เฟยโม่อดกล่าวข้อสงสัยออกไปไม่ได้ ทว่าสิ่งที่นางกล่าวออกไปคือความจริงที่ไม่อาจปิดบัง
หากว่าไม่โง่เขลาเบาปัญญาจนเกินไป ทุกคนก็ควรจะทราบดีว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือทางใด ต่อให้วิหารเมฆาโบยบินจะไม่ร่วมมือด้วย นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลหมิงจะปล่อยพวกเขาไป เพราะฉะนั้น ทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดคือการผนึกกำลังร่วมกับขุมกำลังอื่น ๆ เพื่อต่อกรกับตระกูลหมิงด้วยกัน
“สามหาวยิ่งนัก ! นี่เจ้ากำลังหมายความว่าอะไรกัน ? ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ของวิหารเมฆาโบยบิน ข้าจะยอมจำนนต่อตระกูลหมิงได้อย่างไรกัน ?! ข้าเพียงไม่อยากเห็นผู้บริสุทธิ์ในขุมกำลังของเราต้องล้มตายเพราะการตัดสินใจผิด ๆ เท่านั้น !”
อวิ๋นหลานเดือดดาลและสบถออกไปทันที
ฉินอวี้โม่รับรู้ถึงความผิดปกติจากปฏิกิริยาตอบโต้ของอวิ๋นหลานได้ เหตุใดจึงดูเหมือนวาจาของเฟยโม่แทงใจดำจนเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ? หรือว่าอวิ๋นหลานจะทรยศต่อวิหารเมฆาโบยบินไปแล้วจริง ๆ ?
เฟยปู้เองก็รู้สึกตงิดใจเช่นเดียวกันและรู้สึกว่าท่าทางของอวิ๋นหลานแปลกพิกล เขาต้องการทำลายพันธมิตรระหว่างวิหารเมฆาโบยบินและขุมกำลังของเมืองเซิ่งหลิงโดยไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของวิหารเมฆาโบยบิน อวิ๋นหลานก็ไม่ควรจะโง่เขลาจนมองไม่เห็นผลประโยชน์ของการร่วมมือกันครานี้…
“เหอะ ในเมื่อจ้าววิหารตกลงรับปากว่าจะร่วมมือกับขุมกำลังของเมืองเซิ่งหลิงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่วิหารเมฆาโบยบินอีกต่อไป ทุกคน…พวกเจ้าตระหนักถึงความแข็งแกร่งของตระกูลหมิงดี ถ้าอยากตายก็เชิญอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ !”
เขาปรับสีหน้าท่าทางกลับเป็นปกติขณะแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวอย่างเด็ดขาดก่อนเดินตรงไปที่ประตู
คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าสับสนทันทีที่ได้ยินวาจาของอวิ๋นหลาน
วิหารเมฆาโบยบินและตระกูลหมิงเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกันและโอกาสที่พวกเขาจะเอาชนะก็มีเพียงไม่มากนัก ในการประจันหน้ากัน ตระกูลหมิงอาจสังหารพวกเขาได้ภายในเวลาเพียงไม่นานและชีวิตของทุกคนในขุมกำลังจะตกอยู่ในอันตราย
แทนที่จะรอเผชิญกับชะตากรรมเช่นนั้น การตัดสินใจออกจากวิหารในตอนนี้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากหลบออกไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่นภายในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็จะเอาตัวรอดจากวิกฤตครานี้ได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคน มุมปากของอวิ๋นหลานก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ ในฐานะอาวุโสใหญ่ของวิหารเมฆาโบยบิน เขาย่อมมีผู้ติดตามอยู่มากมาย
ในเมื่อเฟยปู้กล้าสงสัยและตั้งคำถามในการกระทำของเขาเช่นนี้ เขาก็จะนำคนออกไปจากวิหารให้มากที่สุด เมื่อเฟยอวิ๋นออกจากช่วงเก็บตัวและพบว่าวิหารเมฆาโบยบินกลายเป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า เมื่อถึงตอนนั้น อยากเห็นนักว่าเฟยอวิ๋นจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกมา !
“อวิ๋นหลาน นี่เจ้าทรยศหักหลังวิหารเมฆาโบยบินไปแล้วจริง ๆ รึ ?”
เฟยปู้ไม่ขัดขวางขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เหอะ นักรบยอมตายได้เพื่อเพื่อนที่รู้ใจ ในเมื่อเจ้านึกสงสัยในความภักดีของข้าเช่นนี้ มันก็ไม่มีความหมายที่ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไป !”
อวิ๋นหลานแค่นเสียงและกล่าวอย่างเย็นชา ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงนั้น จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็แสดงความตื่นตระหนกอย่างที่สุด