วิหารเมฆาโบยบินดูหรูหราโอ่อ่ากว่าเมืองเซิ่งหลิงพอสมควร แม้มีอาณาเขตเขตที่เล็กกว่าและมีจำนวนประชากรที่น้อยกว่า เมืองแห่งนี้ก็ยังมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ฉินอวี้โม่ก็เดินตามเฟยโม่เพื่อให้นางพาท่องชมไปรอบ ๆ เมืองและได้พบหน้าผู้คนมากหน้าหลายตา
คนเหล่านั้นมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป บางส่วนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของสตรีแปลกหน้า ในขณะที่บางส่วนตกตะลึงในรูปลักษณ์งดงามและบางส่วนกลับไม่สบอารมณ์นัก
ในเวลานี้ ทั้งสองได้เดินไปถึงข้างหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองและจู่ ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกมาขวางหน้าทั้งสองไว้
“เจ้า ! มากับข้า !”
หัวหน้าของกลุ่มคนเหล่านั้นคือบุรุษที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงสามสิบปี เขามองฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เผด็จการอย่างชัดเจน
“เฟยเผิง นี่เจ้าหมายความว่าอะไรกัน ?”
เฟยโม่ก้าวออกไปบังหน้าฉินอวี้โม่ไว้ขณะขมวดคิ้วมุ่นให้กับกลุ่มคนตรงหน้า
“เฟยโม่ ผู้อาวุโสทั้งหลายสั่งให้เราพาสตรีผู้นี้ไปพบ อย่าเข้ามาก้าวก่ายเลย เจ้าควรจะเป็นห่วงเรื่องของตัวเองจะดีกว่า !”
‘เฟยเผิง’ มองเฟยโม่ด้วยแววตาข่มขู่และกล่าวจุดประสงค์ของพวกตนอย่างไม่ปิดบัง
หลังจากที่ฉินอวี้โม่เข้ามาในวิหารเมฆาโบยบิน ผู้คนจำนวนมากก็จับตาดูการเคลื่อนไหวทั้งหมดของนางอย่างใกล้ชิดและการที่นางไม่ถูกไล่ตะเพิดออกไปทำให้หลายคนคาดเดาได้ถึงการตัดสินใจของเฟยอวิ๋น
บรรดาผู้อาวุโสของวิหารเมฆาโบยบินล้วนเป็นกังวลกับการตัดสินใจนี้มาก เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ออกมาจากเรือนหลักของจ้าววิหาร พวกเขาจึงส่งคนมาดักรอนางและต้องการที่จะเรียกนางไปพบเพื่อถามเรื่องราวให้แน่ชัด
“เหอะ ในเมื่อบรรดาผู้อาวุโสต้องการพบข้า ข้าก็จะไปที่นั่น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และก้าวออกมาจากข้างหลังของเฟยโม่
“บรรดาผู้อาวุโสของเจ้าอยู่ที่ใดล่ะ ? พาข้าไปสิ”
นางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยใจเย็นและไม่มีร่องรอยของความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย แม้คาดเดาได้ว่าคนเหล่านี้มิได้มีเจตนาที่ดี นางก็ยังสงบนิ่งอยู่มาก
“ถือว่าใจกล้าไม่เบา”
เฟยเผิงก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำฉินอวี้โม่เข้าไปด้านในภัตตาคาร
เฟยโม่กระทืบเท้าเบา ๆ ด้วยความไม่พอใจนัก นางทราบดีว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นมิใช่คนจิตใจดี อย่างไรก็ตาม นางเพียงลำพังไม่มีสิทธิ์มีเสียงใด ๆ และไม่อาจขัดขวางการกระทำของพวกเขาได้ หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปยังทางเข้าของวิหารเมฆาโบยบิน
ภายในห้องแยกของภัตตาคาร ผู้อาวุโสหลายคนของวิหารเมฆาโบยบินกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ผู้ที่นั่งหัวโต๊ะคือบุรุษชราที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงวัยหกสิบถึงเจ็ดสิบปี ทั้งหนวดเคราและเส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพลนและร่างกายของเขาก็แผ่แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมาซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ตั้งแต่ก้าวเข้ามา
ในทั้งสองฝั่งของเขาก็มีบุรุษวัยกลางคนสามคนและสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งปรากฏอยู่
สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนทั้งสามดูเคร่งขรึมอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม สตรีเพียงหนึ่งเดียวมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าและดูเป็นมิตรกับฉินอวี้โม่มากที่สุด
“แม่สาวน้อย นั่งก่อนสิ”
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มและผายมือเชิญให้ฉินอวี้โม่นั่งลง
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและนั่งลงในเก้าอี้ว่างอย่างสบาย ๆ
“แม่สาวน้อย เราเรียกเจ้ามาพบในวันนี้เพราะอยากจะถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกภายนอก เราทราบว่าเจ้ามาที่วิหารเมฆาโบยบินเพื่อโน้มน้าวใจให้ขุมกำลังของเราร่วมมือกับพวกเจ้าเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของตระกูลหมิงนั้นเหนือชั้นเกินจินตนาการของเราไปมาก จ้าววิหารของเราอาจให้สัญญาว่าจะร่วมมือกับพวกเจ้า ทว่าพวกเราผู้อาวุโสไม่อยากเห็นวิหารเมฆาโบยบินต้องล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา เพราะฉะนั้น…สิ่งที่เราต้องการคือให้เจ้ากลับไปเสียและในอนาคตก็ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้องการให้พวกเราวิหารเมฆาโบยบินร่วมมือเพื่อประจันหน้ากับตระกูลหมิงอีก ไม่ทราบว่าเจ้าจะทำได้รึไม่ ?”
บุรุษชรากล่าวอย่างตรงไปตรงมา แม้ใช้วาจาที่ฟังดูเหมือนการหารือ ทว่าน้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นและไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งแต่อย่างใด
การที่เฟยอวิ๋นตอบตกลงร่วมมือกับฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขาแปลกใจอย่างมาก แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดจ้าววิหารของพวกตนจึงตัดสินใจเช่นนั้น ทว่าในฐานะผู้อาวุโสของวิหารเมฆาโบยบิน พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงจุดยืนและเข้ามาแทรกแซงเมื่อรู้สึกว่าจ้าววิหารกำลังตัดสินใจผิดพลาด
ตระกูลหมิงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจอย่างยิ่ง พวกเขาถือเป็นขุมกำลังที่ไร้เทียมทานในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากวิหารเมฆาโบยบินลงมือ มันอาจทำให้ทั้งขุมกำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางมิให้วิหารเมฆาโบยบินต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนั้น
“ไม่ต้องกังวล ต่อให้เราจะไม่ร่วมมือในการต่อสู้กับตระกูลหมิง วิหารเมฆาโบยบินของเราก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความเป็นธรรม ตราบใดที่เจ้ายอมกลับไปแต่โดยดี เราจะมอบบางสิ่งบางอย่างให้กับเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าจะไม่มีทางได้จากที่ใดง่าย ๆ”
บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวพร้อมหยิบขวดโอสถ ตำราโบราณและกระบี่เล่มยาวที่ดูธรรมดาออกมา อย่างไรก็ตาม จากสายตาอันเฉียบคมของนาง สิ่งของทั้งสามมิใช่สมบัติธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
“แม่สาวน้อย ลองดูก่อนเถอะ หากไม่พอใจกับสิ่งเหล่านี้และมีเงื่อนไขเรียกร้องใดก็ว่ามาได้เลย ตราบใดที่เราสามารถจัดหาให้เจ้าได้ เราก็จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
เขายื่นของเหล่านั้นให้กับฉินอวี้โม่และผายมือเพื่อเชิญให้นางสำรวจดูด้วยตัวเอง
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนปฏิเสธและสำรวจดูสิ่งของตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา
ตำราโบราณคือทักษะยุทธ์ระดับสูงซึ่งสามารถขายได้ในราคาสูงเสียดฟ้าในตลาดทั่วไป ส่วนโอสถขวดนั้นก็เป็นโอสถที่อยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน หลังจากที่กลืนกินมัน จอมยุทธ์จะสามารถทะลวงพลังข้ามผ่านขอบเขตเทพยุทธ์เข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ได้โดยตรงซึ่งเป็นโอสถวิเศษที่หลายคนใฝ่ฝันที่จะได้ครอบครองมา
สำหรับกระบี่เล่มยาวที่ดูไม่มีสิ่งใดโดดเด่น แท้จริงแล้วมันไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่ตรวจดูและพบว่ากระบี่ดังกล่าวทำมาจากกระดูกของมังกรบรรพกาลซึ่งมีความแหลมคมอย่างมากและดีกว่ากระบี่ทั้งหมดที่ฉินอวี้โม่มีอยู่ในการครอบครอง
ต้องกล่าวเลยว่าคนเหล่านี้สืบข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มาล่วงหน้าแล้วและเตรียมสิ่งของเหล่านี้ไว้สำหรับนางโดยเฉพาะ หากเป็นคนอื่นที่ได้มาเห็นสิ่งล่อตาล่อใจเหล่านี้ พวกเขาก็อาจจะคล้อยตามไป
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่มิใช่หนึ่งในนั้น
“หากข้าไม่ตกลงล่ะ ?”
นางวางของเหล่านั้นลงบนโต๊ะตามเดิมและเงยหน้าสบตาบุรุษชราพร้อมยกยิ้มมุมปาก
“เหอะ ในเมื่อเราเรียกเจ้ามาที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเราไม่ยอมรับคำปฏิเสธแน่ มันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของวิหารเมฆาโบยบิน ต่อให้เจ้าจะตอบตกลงรึไม่ มันก็ไม่สำคัญ !”
บุรุษชราแค่นเสียงเย้ยหยันและแผ่แรงกดดันกดข่มฉินอวี้โม่ทันทีจนนางขยับเขยื้อนไม่ได้ชั่วขณะ
“แม่สาวน้อยเอ๋ย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของวิหารเมฆาโบยบินโดยตรง หากเจ้าปฏิเสธข้อเสนอนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน ! จ้าววิหารของเราอาจจะจิตใจดีและให้สัญญาว่าจะร่วมมือกับพวกเจ้า ทว่าเราไม่มีทางยอมให้เขาทำสิ่งที่จะเป็นภัยต่อคนทั้งวิหารเมฆาโบยบินอย่างแน่นอน !”
บุรุษชราลุกขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ อ่อนหัดสิ้นดี ตาเฒ่าเอ๋ย…คิดรึว่าวิหารเมฆาโบยบินจะตีตัวออกห่างจากเรื่องนี้ได้จริง ๆ ?”
ฉินอวี้โม่ยังไม่เรียกซิวหรืออสูรใดออกมา ทว่ายิ้มตอบอย่างถากถางและกล่าวต่อ “วิหารเมฆาโบยบินคือขุมกำลังที่ตระกูลหมิงยำเกรงมากที่สุดและย่อมเป็นขุมกำลังที่พวกเขาต้องการกำจัดมากที่สุด หากตระกูลใหญ่ในเมืองเซิ่งหลิงถูกกำจัดไปทั้งหมด ไม่คิดหรือว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเขาจะเป็นวิหารเมฆาโบยบินแห่งนี้…?”
หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่ออีกครั้ง “ตาเฒ่า หากตัวท่านขี้ขลาดตาขาวและไม่กล้าประจันหน้ากับตระกูลหมิงก็ไม่ต้องมากล่าววาจาอย่างดิบดีเช่นนี้หรอก หากท่านหวังดีต่อวิหารเมฆาโบยบินจริง ๆ แม้มีโอกาสเพียงน้อยนิด ท่านก็ควรจะต่อสู้อย่างสุดความสามารถแทนที่จะซ่อนตัวอยู่ในวิหารเพื่อรอให้ตระกูลหมิงมาทำลายถึงที่เช่นนี้ !”
ฉินอวี้โม่เปิดเผยความคิดลึก ๆ ของบุรุษชราออกมาโดยตรงและไม่คิดไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
คำกล่าวที่ว่าเป็นกังวลเกี่ยวกับความอยู่รอดของวิหารเมฆาโบยบิน ทว่าแท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะความรักตัวกลัวตายของตนเองมากกว่า ในเมื่อตระหนักถึงสถานการณ์ในดินแดนเป็นอย่างดี การเลือกอยู่เฉยและตีตัวออกห่างจากเรื่องนี้ก็เป็นการตัดสินใจที่น่าขันยิ่งนัก ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยเลยว่าหากเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตจริง บุรุษชราที่ทำท่าทีเป็นกล่าววาจาเสียดิบดีผู้นี้คงจะยอมจำนนเป็นคนแรก
“เจ้าเด็กสามหาว ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงพูดจากับข้าเช่นนี้ ?!”
วาจาของฉินอวี้โม่ทำให้บุรุษชราเดือดดาลอย่างที่สุดและเหวี่ยงฝ่ามือโจมตีนางออกไปอย่างรวดเร็ว