ราชันเร้นลับ 1304 : ความสำคัญของแนวคิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ขณะเข้าไปในสุสานของจักรพรรดิมืด แบร์นาแดตเห็นเงาดำเลือนราง แต่หลังจากออกจากสภาวะเชิงข้อมูลและสร้างร่างกายด้วยข้อมูลบริสุทธิ์ เธอกลับไม่เห็นสิ่งใดเลย คล้ายกับเมื่อครู่เป็นเพียงภาพหลอน

ราชินีเงื่อนงำไม่รีบร้อนเข้าไปในหลุมศพ เพียงยืนอยู่ในตำแหน่ง ตรวจสอบสถานการณ์รอบตัวด้วยความระมัดระวัง

โดยไม่ต้องใช้พลังส่องความลับ ทุกสิ่งถูกนำเสนอตรงหน้าอย่างชัดเจน

ภายในสุสานจักรพรรดิมืดนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากกำแพงสีดำและเวทียกสูงในจุดกึ่งกลาง

บนเวทียกสูงมีที่นั่งขนาดใหญ่คล้ายกับสร้างให้คนยักษ์ ทำจากเหล็กล้วน ผิวสลักลวดลายประหลาดอันซับซ้อนและบิดเบี้ยว ส่วนบนของพนักพิงยื่นขึ้นไปเป็นรูปร่างมงกุฎ

ปัจจุบันยังไม่มีร่างใดกำลังนั่งอยู่ ประหนึ่งกำลังเฝ้ารอการกลับมาของจักรพรรดิ

ขณะแบร์นาแดตเตรียมก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าใกล้เวทียกสูง เธอพบว่าร่างกายของตนมิอาจขยับเขยื้อน ประหนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนล่องหน

ทันใดนั้น ปีกมายาสีขาวคู่หนึ่งสยายออกจากแผ่นหลัง คล้ายกับเฝ้าคอยที่จะตอบสนองต่อบางสิ่งตลอดเวลา

วินาทีถัดมา บนปีกเทวทูตคู่ดังกล่าว ขนสีขาวร่างกราวลงมาทีละหนึ่ง ทุกเส้นมีแขนขาผิดรูปงอกขึ้นมาขณะลอยอยู่กลางอากาศ ช่องว่างซึ่งเกิดจากการหลุดร่วงของเส้นขนเริ่มเปิดออก ดูคล้ายกับดวงตาจำนวนมาก

ขนที่กลายพันธุ์ส่งเสียงหัวเราะทันที สร้างความกังวานภายในอุโมงค์ทางเดิน

พวกมันทั้งหมดมีชีวิตขึ้นมาในสภาพ ‘มนุษย์ขนนก’ ตัวจิ๋ว

ฉากตรงหน้าทำให้แบร์นาแดตหวนนึกถึงนิทานปรัมปราบางเรื่องที่บิดาเคยเล่าให้ฟัง เนื้อหาเกี่ยวกับภูตจิ๋วขนาดไม่เกินนิ้วหัวแม่มือ

ท่ามกลางกระแสความคิด แบร์นาแดตพบว่าตาขวาของเธอเริ่มคัน

ขนตาข้างดังกล่าวงอกยาวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นท่อนแขนขนาดเล็กซึ่งเย็บติดกับใบหน้าหญิงสาว พยายามควักลูกตาของเธอออกมา

“ข้าเห็นแล้ว! เข้าเห็นแล้ว!” หลอดเลือดในดวงตาข้างขวาของแบร์นาแดตพลันปูดโปน ตามด้วยส่งเสียงตะโกนอย่างไร้เดียงสา คล้ายกับมีจิตสำนึกและเจตจำนงเป็นของตัวเอง

เป็นอีก ‘ชีวิต’ ที่ถือกำเนิด

แทบจะในเวลาเดียวกัน หูซ้ายของแบร์นาแดตพับลงมาปิดรูหู

“ข้าไม่อยากได้ยิน! ข้าไม่อยากได้ยิน!” หูข้างดังกล่าวตะโกนเสียงแหลม

หากไม่มีสัมผัสวิญญาณ แบร์นาแดตคงเข้าใจว่ามีเด็กผู้หญิงตัวเล็กยืนอยู่ด้านข้างคอยปิดหูของเธอและแหกปากพลางกระทืบเท้า

ทันใดนั้น รัดเกล้านักปราชญ์ซึ่งอยู่กึ่งกลางหน้าผากของหญิงสาว ละทิ้งร่างผู้เป็นเจ้าของพร้อมกับลอยขึ้นไปในอากาศด้วยเจตจำนงตัวเอง

พื้นผิวของดวงตาแนวตั้งเลี่ยมเพชรพลันส่องแสงเย็นเยียบคล้ายน้ำแข็งออกมาหลายเส้น ดูคล้ายกับดวงตาขนาดเล็กเรียงราย

ทุกสายตากำลังสะท้อนภาพของแบร์นาแดต

แม้แต่รัดเกล้านักปราชญ์ก็ได้รับชีวิตเช่นกัน

ขณะสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นนี้กำลังจะตื่นขึ้นและสร้างอิทธิพลต่อเป้าหมาย ฝ่ามือลวงตายาวเรียวสีซีดได้ยื่นออกมาคว้าไว้

สัญญาณชีพของรัดเกล้านักปราชญ์สลายไปในพริบตา ราวกับดำเนินมาถึงจุดจบของชีวิต

ฝ่ามือสีซีดอันเย็นยะเยือกซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นของสตรี เหยียดมาจากด้านหลังร่างกายแบร์นาแดต เจ้าของท่อนแขนดังกล่าวดูเหมือนว่าจะมีเพียงร่างกายท่อนบน

ร่างดังกล่าวโผล่ออกจากแผ่นหลังของแบร์นาแดต ลักษณะโปร่งใสจนเกือบจะลวงตา

‘เธอ’ แต่งกายแบบเดียวกับแบร์นาแดตทุกประการ สวมหมวกสามมุมติดขนนกเหมือนกัน ดวงตาสีฟ้าประหนึ่งภาพวาดท้องทะเล ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นแบร์นาแดต ราวกับร่างวิญญาณบางส่วนถูกแบ่งออกมา

แต่ใบหน้าของ ‘ร่าง’ ดังกล่าวกำลังสวมหน้ากากโลหะแวววาวสีซีด

หน้ากากดังกล่าวมีช่องว่างเพียงบริเวณดวงตา ส่วนที่เหลือถูกปกปิดมิดชิด ส่งผลให้ภาพมายาของแบร์นาแดตดูเย็นชาและสง่างาม แต่ขาดออร่าของความมีชีวิตชีวา

นี่คือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นที่สามและชิ้นสุดท้ายที่เธอครอบครอง เป็นวัตถุที่สร้างโดยจักรพรรดิโรซายล์ในช่วงบั้นปลายชีวิตหลังกลับจากทวีปใต้ ชื่อของมันคือ ‘ความตายสีจาง’

ผลข้างเคียงด้านลบก็คือ ผู้สวมใส่จะค่อยๆ เผชิญความตายจนกระทั่งกลายเป็นศพและเป็นทาสของมัน

ในสถานการณ์ตรงหน้า แบร์นาแดตใช้ประโยชน์จากมันเพื่อระงับสัญญาณชีพซึ่งเติบโตอย่างผิดปรกติภายในร่างกาย

เมื่อภาพมายาครึ่งตัวปรากฏขึ้น ดวงตาข้างขวาของเธอพลันสงบลง ขนตาซึ่งกลายเป็นแขนทยอยหลุดออกทีละเส้น

หูของเธอหยุดส่งเสียงแล้วเช่นกัน มันค่อยๆ พับกลับเป็นปรกติ

หากไม่มีการยับยั้งดังกล่าว เกรงว่าใบหน้า แขน และขาของแบร์นาแดตคนแยกออกจากร่างกายเพื่อตามหา ‘อิสรภาพ’

หลังจากฟื้นฟูร่างกายเบื้องต้น แบร์นาแดตพยายามเดินไปด้านหน้า แต่ก็ต้องพบว่าร่างกายของตนยังมิอาจขยับเขยื้อนได้เช่นเดิม ทำได้เพียงบังคับให้ร่างมายาครึ่งท่อนเคลื่อนไหว

ครุ่นคิดสักพัก หญิงสาวสั่งให้ร่างวิญญาณด้านหลังหยิบมีดเงินสำหรับพิธีกรรมออกจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็โน้มตัวลง วาดวงกลมกึ่งกลางรองเท้าบูตข้างขวา

ท่ามกลางเสียงฉีกขาด รองเท้าบูตหนังเหลือความยาวเพียงครึ่งหนึ่ง

จากนั้น แบร์นาแดตสั่งให้ร่างวิญญาณฉีกกางเกงบริเวณหัวเข่าซ้าย ตัดมุมเสื้อแจ็กเกตและเสื้อเชิ้ต ดึงขนนกออกจากหมวกสามมุม

พฤติกรรมดังกล่าวดูไม่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับสักเท่าไร คล้ายกับเด็กสาววัยต่อต้านที่อยากจะแต่งกายแตกต่างจากสมัยนิยม

ทว่า หลังจากแบร์นาแดตจัดการทั้งหมดเสร็จและลองก้าวไปข้างหน้า เธอพบว่าร่างกายขยับได้แล้ว ไม่รู้สึกเหมือนถูกพันธนาการอีกต่อไป

โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นสลายไปในพริบตา คล้ายกับสุสานจักรพรรดิมืดยอมรับแบร์นาแดตในสภาพปัจจุบัน

ใครจะไปคิดว่า พฤติกรรมง่ายๆ ซึ่งคนธรรมดาก็ทำได้ จะช่วยให้หลุดพ้นจากความผิดปรกติอันน่าสะพรึง

ยิ่งไปกว่านั้น แบร์นาแดตสัมผัสได้ว่า หากยิ่งเธอใช้พลังพิเศษต่อต้าน พันธนาการก็จะยิ่งแน่นหนา

เป็นความรู้สึกคล้ายกับกำลังเผชิญหน้าเทพที่มองไม่เห็น ทางรอดเดียวคือการทำให้อีกฝ่าย ‘พึงพอใจ’ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้ระดับตัวทัดเทียมลำดับ 0 เพื่อฝืนปลดพันธนาการ

นอกจากนั้น โชคดีที่แบร์นาแดตไม่ใช่แค่ ‘ปราชญ์พิศวง’ ทั่วไป แต่ยังเป็นคนที่เข้าใจธรรมชาติของเส้นทางจักรพรรดิมืดอย่างลึกซึ้ง เธอทราบว่าอำนาจของเส้นทางดังกล่าวคือสิ่งใด ครอบคลุมสิ่งใดบ้าง และยังทราบว่าแก่นสำคัญคือ ‘เงาดำแห่งระเบียบ’ ซึ่งเป็นการบิดเบือนกฎระเบียบของธรรมชาติ

ดังนั้น แบร์นาแดตจึงเริ่มจากการบิดเบือนความเป็นระเบียบของเครื่องแต่งกายตัวเอง จนกระทั่งถูกยอมรับจากเทพที่มองไม่เห็น

อา… สำหรับเหตุการณ์เชิงศาสตร์เร้นลับ บางครั้งความรู้และแนวคิดก็สำคัญกว่าพลังพิเศษ… ในสถานการณ์ปัจจุบัน การต่อต้านจะเปรียบเสมือนการยั่วยุกฎระเบียบภายในสุสาน หากดันทุรังต่อไป ย่อมทำให้เกิดผลลัพธ์อันน่าสะพรึงซึ่งยากคาดเดาทิศทาง แต่ถ้าลองไตร่ตรองจนพบแก่นแท้ของปัญหา ผลข้างเคียงซึ่งดูร้ายแรงก็สามารถแก้ไขได้ง่ายดาย… ไคลน์บนสายหมอกพยักหน้าแผ่วเบา มันได้บทเรียนใหม่จากพฤติกรรมของราชินีเงื่อนงำ

แม้ว่าลำดับของชายหนุ่มจะสูงกว่าอีกฝ่าย อีกทั้งยังมีระดับตัวตนทัดเทียมราชาเทวทูตในยามอยู่บนปราสาทต้นกำเนิด และเคยผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไคลน์ ‘โตเร็วเกินไป’ ยังขาดประสบการณ์ในเชิงรายละเอียด ดังนั้น พฤติกรรมต่างๆ ของราชินีเงื่อนงำจึงเหมาะการแก่เฝ้ามองเพื่อศึกษา

หลังจากก้าวไปหนึ่งก้าว แบร์นาแดตเริ่มเดินโดยอาศัยการนำทางของสัมผัสวิญญาณ มุ่งหน้าไปยังเวทียกสูงซึ่งมีที่นั่งว่างเปล่าขนาดใหญ่

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ทันใดนั้น สายลมพัดผ่านท้ายทอยหญิงสาว

สายลมอันเย็นเยียบทำให้แบร์นาแดตรู้สึกชาไปทั้งตัว

ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่ามีเงาดำโผล่ขึ้นจากด้านหลัง

ท่ามกลางความเงียบงัน ผมยาวสีเกาลัดของหญิงสาวแหวกออกในจุดกึ่งกลาง เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งบนหนังศีรษะ

เป็นดวงตามายาเกือบโปร่งใส ปราศจากขนตา ดูเย็นชาและไร้อารมณ์

เนตรส่องความลับ!

ดวงตาดังกล่าวกลอกไปมาเล็กน้อย จนกระทั่งพบว่า ‘ม่าน’ ภายในสุสานซึ่งดูคล้ายเงาดำ กำลังเกิดสภาวะบิดเบี้ยว

อย่างไรก็ดี แบร์นาแดตมองไม่เห็นร่างปริศนา และไม่พบต้นตอของสายลมเย็นเมื่อครู่

ขณะแบร์นาแดตเตรียมปิดเนตรส่องความลับเพื่อลดโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝัน สายลมเย็นอันมืดหม่นได้พัดเข้ามาในจิตใจของเธอ

ความคิดของหญิงสาวเริ่มตื่นตัวจนยากจะควบคุม มิอาจชักนำสติไปยังทิศทางที่ต้องการ

สภาวะเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรง หากปล่อยไว้คงได้เผชิญความสับสนอลหม่านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

โดยไม่ลังเล แบร์นาแดตจับกระแสความคิดซึ่งหลงเหลือเพียงน้อยนิด บังคับให้ร่างวิญญาณครึ่งตัวบนแผ่นหลังถอดหน้ากากสีซีด

จากนั้น หญิงสาวสวมหน้ากากความตายสีจางลงบนใบหน้าตัวเอง ส่วนร่างวิญญาณครึ่งตัวหดกลับเข้าไปในร่างและผสานรวมเป็นหนึ่ง

นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ความคิดแบร์นาแดตจะค่อยๆ ตายไปพร้อมกับร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน ความคิดของเธอจะหวนกลับมาทำงานอีกครั้งในลักษณะโกลาหล

สภาวะทั้งสองซึ่งขัดแย้งกันจะสร้างสมดุลละเอียดอ่อนขึ้น ช่วยให้แบร์นาแดตฟื้นคืนความสามารถในการนึกคิด

สำหรับแบร์นาแดต เฉพาะในวินาทีนี้ ผลข้างเคียงด้านลบของ ‘ความตายสีจาง’ มีประโยชน์ยิ่งกว่าพลังพิเศษของมันเสียอีก

ท่ามกลางความสมดุล แบร์นาแดตก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย

ระหว่างนี้ หญิงสาวสัมผัสได้ว่ามีเงาดำลอยอยู่รอบตัว แต่เธอยังคงมองไม่เห็น

ไตร่ตรองสักพัก ดวงตาสีฟ้าของแบร์นาแดตทวีความดำมืดและสูญเสียความคมชัดอีกครั้ง

เธอพยายามพยากรณ์อนาคตของเส้นทางที่ตนเลือก

เพียงไม่นาน ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในการมองเห็น:

หลังจากสวมรัดเกล้านักปราชญ์กลับไปอีกครั้ง แบร์นาแดตเปลี่ยนเป็นร่างเชิงข้อมูลอันซับซ้อนและบริสุทธิ์ จากนั้นก็ฉวยโอกาสจากสภาวะพิเศษของร่าง ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางและมุ่งหน้าไปเวทียกสูงกึ่งกลางสุสาน

แต่เมื่อขยับเข้าไปใกล้ กลุ่มก้อนข้อมูลพลันพังทลายและสูญเสียกฎระเบียบ พวกมันจัดระเบียบใหม่กลายเป็นแบร์นาแดตหลายร่าง ทั้งเด็กหญิงตัวน้อยในเดรสหรูหรา เด็กสาวตัวสูง หญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกและสับสน สุภาพสตรีผู้บิดเบี้ยวและแบกรับความเจ็บปวด และราชินีผู้เยือกเย็นและแน่วแน่

ฉากพยากรณ์เลือนหายไป ดวงตาแบร์นาแดตกลับมาคมชัดอีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง เธอได้เห็นเงาดำ

มันกำลังยืนอยู่เบื้องหน้า ห่างกันไม่เกินหนึ่งกำปั้น!

ใบหน้าซึ่งก่อตัวจากเงาบริสุทธิ์ปกคลุมทัศนวิสัยของแบร์นาแดตโดยสมบูรณ์

…………………………………