บทที่ 1142 พะ... พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,142 พะ… พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“รนหาที่นัก!”

เว่ยหมิงเฉินคำรามออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา

ผิวของเด็กหนุ่มปรากฏอักขระสีทองคำลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกมันแผ่ขยายราวกับรากไม้ใต้ดิน และเพียงพริบตาเดียว แผ่นยันต์ทองคำหกเหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นอีกจำนวนหลายแผ่น

แผ่นยันต์หกเหลี่ยมเหล่านี้มีความสูงเก้าเซียะกว้างสองศอก

และมีความยาวถึงสามฉื่อ

ยันต์หกเหลี่ยมเหล่านี้กำลังบินวนเวียนอยู่รอบกายเว่ยหมิงเฉินประกบทั้งด้านบนและด้านล่าง

แผ่นยันต์ระเบิดลำแสงสีทองคำสร้างเป็นม่านพลังคุ้มครองบุรุษหนุ่มอีกหนึ่งชั้น และจังหวะที่มวลใบไผ่พุ่งเข้ากระทบถูกม่านพลังของแผ่นยันต์หกเหลี่ยมนี้ พวกมันก็สลายกลายเป็นหมอกควันหายลับไปในอากาศทันที

ในขณะนี้ เว่ยหมิงเฉินยังคงไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เขาเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยแววตาไร้อารมณ์

และแล้ว ค่ายอาคมสีขาวดำของผู้อาวุโสฉีก็กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ไม่ต่างจากเป็นประตูมิติ

ผู้อาวุโสฉีก้าวเดินออกมาพลางยกขวดน้ำเต้าบรรจุสุรากรอกปาก ไม้เท้าไม้ไผ่กลับไปอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง หยดสุราพลันไหลรดราดลงไปบนไม้เท้า

ทันใดนั้น ความผิดปกติบังเกิดขึ้น

ไม้เท้าไม่ไผ่เกิดการสั่นไหว

เพียงพริบตาเดียว มันก็ขยายขนาดใหญ่ยักษ์กลายเป็นต้นไผ่สูงเสียดฟ้า ตลอดลำต้นมีใบไผ่และกิ่งก้านสาขางอกยาว ราวกับว่านี่คือต้นไผ่ในดินแดนเทพเจ้า ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าต้นไผ่ต้นนี้มีใบไผ่อยู่ทั้งหมดกี่ใบ

ผู้อาวุโสฉียืนอยู่ใต้ต้นไผ่และใช้มือเขย่ามันอย่างรุนแรง

ทันใดนั้น ใบไผ่ร่วงกราวลงมาจากต้นไผ่ พวกมันพุ่งเป็นลำแสงครอบคลุมผืนฟ้าผืนดิน ไม่ต่างจากฝนดาวตกอันพร่างพรายยามราตรี และเป้าหมายการโจมตีของใบไผ่ทั้งหมดนั้นก็ยังคงอยู่ที่เว่ยหมิงเฉิน

“ฝันเฟื่อง”

เว่ยหมิงเฉินพูดออกมาอีกครั้ง

ก่อนที่แผ่นยันต์หกเหลี่ยมเหล่านั้นจะประสานตัวกลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่ยักษ์ ใบไผ่พิฆาตจากผู้อาวุโสฉีพุ่งเข้าหากำแพงทองคำ แต่พวกมันกลับสลายหายวับไปในพริบตา

ชายชรามีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ค่ายอาคมขาวดำเกิดการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เสมือนกับว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างปรากฏตัวออกมา

“เคลื่อนย้าย”

เว่ยหมิงเฉินระเบิดเสียงคำราม

ทันใดนั้น ค่ายอาคมที่ปรากฏตัวอยู่เหนือจวนท่านเจ้าเมือง รวมไปถึงต้นไผ่ขนาดใหญ่ยักษ์ ใบไผ่ที่ลอยเกลื่อนแผ่นฟ้า รวมไปถึงตัวของผู้อาวุโสฉีกับเว่ยหมิงเฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างพลันหายวับไปในอากาศธาตุ

ราวกับถูกเคลื่อนย้ายไปในมิติอื่น

“รีบฆ่าพวกมันให้หมด”

ได้ยินเสียงคำรามของเว่ยหมิงเฉินดังก้องกังวานผืนฟ้า

พลัน พวกของเจี๋ยนอู่จียิ้มออกมาด้วยความลิงโลด

ตราบใดที่ไม่มีผู้อาวุโสฉีคอยขัดขวาง ลำพังเพียงมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุน หาได้เป็นคู่ต่อกรของพวกมันไม่

“รีบถอย”

ลู่กวนไห่รีบฉุดดึงฉู่อวิ๋นซุนให้ติดตามมา

มือกระบี่ชาวเมืองไป๋หยุนรีบหลบหนีด้วยความลนลาน

“ไปที่สุสานกระบี่”

ฉู่อวิ๋นซุนเลียริมฝีปากด้วยความปรารถนาการฆ่าฟัน “ที่นั่นคือทางรอดเดียวของพวกเรา”

“เหอเหอเหอ สาวน้อย ระดับพลังของเจ้ายังต่ำต้อยมากเกินไป”

ติงเฉินหลงบุตรชายของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักมหากระบี่ยืนอยู่บนยอดเขาสูง ในมือถือกระบี่ขนาดใหญ่ ใบหน้าประดับรอยยิ้มเหยียดหยาม

เฉียนเหมยปักกระบี่ลงไปบนพื้นดิน หอบหายใจอย่างหนักหน่วง

ในค่ายอาคมแห่งนี้ นางต่อสู้กับอีกฝ่ายมาหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว

สาวรับใช้พบว่าตนเองตกเป็นรอง

หากคู่ต่อสู้มีเจตนาสังหาร นางคงตายไปนานแล้ว

“วางใจเถอะ ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า”

ติงเฉินหลงพูดด้วยสีหน้ามั่นใจในตนเอง “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าคือสาวรับใช้ข้างกายหลินเป่ยเฉิน ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเด็กคนนั้นนอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว มันยังมีอะไรอีกบ้าง? อ้อ จริงด้วยสิ มันมีความแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงปลาใหญ่ในบ่อเล็ก เมื่อออกสู่ทะเลกว้าง มันก็กลายเป็นเพียงปลาเล็กตัวหนึ่งเท่านั้น หาได้มีคุณค่าให้มาเทียบเคียงกับขั้นเซียนผู้อื่นไม่…”

เฉียนเหมยไม่พูดคำใด

นางรู้สึกว่าบุตรชายของผู้อาวุโสสูงสุดคนนี้ไม่ใช่ตัวโง่งม เหตุผลที่พูดเช่นนั้นออกมา ก็เพื่อต้องการจะยั่วโมโหให้ตนเสียสมาธิ

เพราะต้องเป็นตัวโง่งมขนาดไหนกัน ถึงกล้าพูดวาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้?

เฉียนเหมยคร้านที่จะอธิบาย

นางโคจรพลังลมปราณและดึงกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง

ด้านนอกสมรภูมิรบในค่ายอาคมแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของบัลลังก์ขนาดใหญ่ เดิมทีบัลลังก์นี้เป็นของบิดาติงเฉินหลง แต่ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในขณะนี้กลับเป็นเจ้าหนูอสูรหางกุดผู้ซึ่งกำลังสูบบุหรี่พ่นควันลอยฟุ้ง…

กิริยาท่าทางของมันค่อนข้างปลอดโปร่งโล่งใจ

สีหน้าไม่วิตกกังวล

เพราะภารกิจของมันคือการทำให้แน่ใจว่าเฉียนเหมยจะไม่เกิดอันตรายในค่ายอาคมแห่งนี้

ส่วนพวกของเฉียนเจินกับคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกค่ายอาคม เซียวปิงย่อมสามารถดูแลได้ไม่มีปัญหา

แล้วจวนท่านเจ้าเมืองน่ะหรือ?

อากวงพ่นควันออกมาเป็นรูปวงแหวนอย่างช้า ๆ

หากทุกคนตายกันหมด นายท่านก็จะได้ขึ้นครองตำแหน่งเซียนกระบี่โดยทันทีไม่ใช่หรือ?

ฮ่า ๆ ๆ เรานี่มันฉลาดจริง ๆ

อากวงอดชื่นชมตนเองไม่ได้

แต่มีอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อากวงไม่ไปช่วยเหลือผู้คนที่จวนท่านเจ้าเมือง นั่นเป็นเพราะว่าฝ่ายศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป มันจึงไม่มีทางไปที่นั่นเด็ดขาด

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด

การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป

มือกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนจากจวนท่านเจ้าเมืองล่าถอยตรงไปที่สุสานกระบี่

ร่างของฉู่อวิ๋นซุนมีโลหิตชโลมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมาเปี่ยมล้น เขาร่วมมือกับลู่กวนไห่ สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาด และผู้ติดตามของนางอีกสามคนช่วยสกัดยับยั้งการไล่ตามของชนชั้นผู้นำสำนักใหญ่ทั้งห้าอย่างพวกของเจี๋ยนอู่จี…

ขณะนี้ผู้ที่ทำงานหนักที่สุดคงหนีไม่พ้นเทพสงครามเซียนมนุษย์จีอู๋ซวงและง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซิน พวกเขาต้องทุ่มเทพละกำลังที่มีแทบทั้งหมดไปกับการต้านทานการโจมตีจากบรรดาลูกสมุนของฝ่ายตรงข้าม…

ถนนที่เป็นเส้นทางหลบหนีถูกย้อมไปด้วยโลหิต

ทุกลมหายใจมีคนตาย

ฉู่อวิ๋นซุน ลู่กวนไห่ และสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดได้รับบาดเจ็บกันอย่างถ้วนหน้า…

เพียงพริบตาเดียว สุสานกระบี่ก็ปรากฏในสายตาแล้ว

กว่าจะมาถึงสุสานกระบี่ได้สำเร็จ ลูกศิษย์ชาวเมืองไป๋หยุนก็ต้องเสียชีวิตไปถึงหกสิบคน

“รีบเข้าไป”

ฉู่อวิ๋นซุนร้องคำราม

พวกเขารีบเข้าไปด้านในสุสานกระบี่

“ปิดล้อมทางเข้าออก อย่าให้มีใครหนีรอดเด็ดขาด”

ผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักมหากระบี่ร้องตะโกนออกคำสั่ง

ผู้ติดตามกว่าร้อยชีวิตกระจายกำลังกันปิดล้อมสุสานกระบี่

“บุกเข้าไป”

ซยงป่าควงกระบี่ยักษ์ เดินลุยเข้าไปในสุสานกระบี่เป็นคนแรก

ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสูงชนชั้นผู้นำสำนักอีกสี่คน รวมไปถึงผู้ติดตามขั้นเซียนอีกนับสิบชีวิตพร้อมใจกันติดตามเข้าไป

ตลอดเส้นทาง พวกมันต้องเผชิญหน้ากับค่ายอาคมกับดักที่วางไว้ทั่วสุสานกระบี่เป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ผู้ที่บุกรุกเข้ามาในครั้งนี้มีพลังขั้นเซียนระดับสูง ค่ายอาคมเก่าครึเหล่านั้นจึงไม่อาจหยุดยั้งได้…

ครืน!

กำแพงม่านพลังที่ก่อตัวขึ้นมา เมื่อถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง พวกมันก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

สุสานกระบี่และป่าหินไม่ได้เป็นป้อมปราการที่ปลอดภัยอีกต่อไป

ตลอดเส้นทางมีแต่รอยโลหิตของผู้หลบหนี

เส้นทางเบื้องหน้าเป็นพื้นทรายปราศจากผู้คน

กลุ่มผู้ไล่ล่าติดตามมาถึงทางเข้าสุสานใต้ดิน

“พวกมันต้องแอบซุ่มโจมตีอยู่ด้านในแน่ ๆ”

ใครบางคนร้องเตือนขึ้นมา

“เฮอะ ก็แค่พวกหนูโสโครก มีอันใดให้หวาดกลัว?”

เจี๋ยนอู่จีหัวเราะเยาะ ยกกระบี่ในมือขึ้นและเดินตรงเข้าไปในอุโมงค์ดำมืด “ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอปีศาจที่รุนแรง ในอุโมงนี้ต้องมีปีศาจซ่อนตัวอยู่แน่นอน พวกเราไปฆ่ามันและรับรางวัลจากองค์เทพเจ้ากันเถอะ”

ทุกคนรีบเดินตามเข้าไปอย่างเร็วไว

แต่ตลอดเส้นทางไม่มีการซุ่มโจมตี

ไม่มีกลไกกับดักหรือค่ายอาคมคอยจู่โจมผู้บุกรุก

เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็มาถึงบ่อลาวาจุดแรก

อุณหภูมิร้อนระอุ

แต่ผู้ที่เดินเข้ามาในสุสานใต้ดินขณะนี้ ต่างก็มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับสี่ขึ้นไปทั้งสิ้น เพียงพวกเขาโคจรพลังลมปราณสร้างม่านพลังห่อหุ้มร่างกาย อุณหภูมิความร้อนเหล่านั้นก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ในที่สุด พวกเขาก็เหยียบเท้าลงไปบนสะพานหินที่ทอดตัวข้ามบ่อลาวา

อีกด้านหนึ่งของสะพานหิน ปรากฏกลุ่มคนนับสิบชีวิตยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“นี่มันอะไรกัน?”

เมื่อสายตาของเจี๋ยนอู่จีพบกับผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พะ… พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”