บทที่ 1143 ความโหดเหี้ยมจากในอดีต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,143 ความโหดเหี้ยมจากในอดีต

เงาร่างผู้คนจำนวนมากปรากฏอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของสะพานหิน

ในกลุ่มนั้นประกอบไปด้วยฉู่อวิ๋นซุน ลู่กวนไห่ สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดและบรรดาชาวเมืองไป๋หยุนที่รอดชีวิตอย่างเช่นเสี่ยวหราน

แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ย่อมไม่ได้ทำให้เจี๋ยนอู่จีประหลาดใจ

เพราะผู้ที่ทำให้เจี๋ยนอู่จีทั้งประหลาดใจทั้งตื่นตระหนกกลับเป็นบุคคลอื่นที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนนั้นมากกว่า

เม่ยฮัวโส่วเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุปรากฏตัวพร้อมกับผู้อาวุโสระดับสูงอีกหลายสิบคน

เจ้าสำนักหญิงจากคฤหาสน์กำยานฮั่วเฟยฮัวและผู้อาวุโสประจำสำนักนับสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีเจิ้นหรู่หลง เจ้าสำนักกระบี่กังวาน ผู้ปรากฏกายพร้อมกับยอดฝีมือประจำสำนักอีกหลายสิบคน

“เจ้าคงคิดไม่ถึงเลยล่ะสิ”

ฉู่อวิ๋นซุนมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ “อย่าเพิ่งได้ใจว่าตนเองมีพรรคพวก ฮ่า ๆๆ พวกข้าก็มีพรรคพวกเช่นกัน”

เจี๋ยนอู่จีมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น

ส่วนผู้มีพลังขั้นเซียนชนชั้นผู้นำสำนักอื่น ๆ อีกสี่คนอย่างเว่ยตงเฉิง ซยงป่า เสวี่ยนเม่ยและถังหลิวฮัวต่างก็ตกตะลึงและมองออกว่าสถานการณ์ในวันนี้ได้แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ผู้นำเม่ย เจ้าสำนักฮั่ว ท่านประมุขเจิ้น เหตุไฉนพวกท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”

ซยงป่าผู้มีร่างกายใหญ่ยักษ์ก้าวออกไปข้างหน้า เสียงของเขากังวานทั่วบริเวณ พลังกดดันแผ่ออกจากร่างกายราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ถล่มลงมาทั้งลูก

ฮั่วเฟยฮัวเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานรับฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีเจตนาตอบคำถาม

เจิ้นหรู่หลงเจ้าสำนักกระบี่กังวานหัวเราะเยาะ “เพราะว่าคนของสำนักมหากระบี่ร่วมมือกับคนของสำนักกระบี่สนธยาลอบโจมตีคนของสำนักกระบี่กังวานเราขณะเดินทางออกจากตัวเมืองไป๋หยุน ดังนั้นข้าจึงต้องมาที่นี่อยู่แล้ว”

เจี๋ยนอู่จีผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักมหากระบี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่อาจเป็นการเข้าใจผิด…”

“เฮอะ”

เจิ้นหรู่หลงแค่นหัวเราะ ก่อนสบถสาบานว่า “มือกระบี่ของพวกเราทุกคนมีระดับพลังสูงส่ง หากไม่ใช่ชนชั้นผู้นำสำนักเช่นพวกท่าน ยังจะมีผู้ใดสามารถเล่นงานพวกเขาได้อีก ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ ผู้ที่ตายคือคนผู้หนึ่งหาใช่สุนัขสุกรข้างถนน ท่านในเมื่อลงมือแล้วก็ยอมรับออกมาเถอะ”

เจี๋ยนอู่จีพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม

เสวี่ยนเม่ยจากสำนักกระบี่กระดูกขาวส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “เมืองไป๋หยุนสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกท่านทั้งสามออกหน้าช่วยเหลือเมืองไป๋หยุนเช่นนี้ หรือว่าตนเองก็เป็นสาวกปีศาจเช่นกัน?”

“เหลวไหล กากเดนอย่างเจ้า มีดีอันใดถึงได้กล้าส่งเสียงต่อหน้าข้า?”

เจิ้นหรู่หลงเจ้าสำนักกระบี่กังวานพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างดูแคลน

กระบี่กระดูกบินวนเวียนรอบกายเสวี่ยนเม่ยด้วยความปั่นป่วนทันที

เสวี่ยนเม่ยมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ดวงตาร้อนผ่าวด้วยจิตสังหารขณะกล่าวว่า “ประมุขเจิ้น ท่านจะต้องชดใช้ที่พูดออกมาเช่นนี้”

เจิ้นหรู่หลงระเบิดเสียงหัวเราะ ยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียก “มีฝีมือก็เข้ามา อย่ามัวเสียเวลาพูดคุยอีกเลย”

เสวี่ยนเม่ยหันไปชำเลืองมองเจี๋ยนอู่จีไม่กล้าลงมือโดยพลการ

เมื่อวัดระดับพลังความแข็งแกร่งแล้ว เจ้าสำนักกระบี่กระดูกขาวรู้ว่าตนเองเป็นรองเจิ้นหรู่หลง หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกพ้อง การต่อสู้ครั้งนี้ย่อมไม่คุ้มค่า

“เศษสวะ”

เจิ้นหรู่หลงเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้

ทันใดนั้น เจ้าสำนักกระบี่กระดูกขาวแค่นหัวเราะในลำคอ บังคับตนเองให้ก้าวเดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ประเสริฐ งั้นวันนี้ข้าจะขอเรียนรู้วิชากระบี่จากสำนักกระบี่กังวานสักหลายกระบวนท่า”

“ไม่มีปัญหา”

เจิ้นหรู่หลงยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมอย่างไม่กลัวเกรง

“ช้าก่อน”

เจี๋ยนอู่จีมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธแค้น กล่าวว่า “ประมุขเจิ้น ผู้นำเม่ย ท่านเจ้าสำนักฮั่ว อันที่จริง ข้าพอคาดเดาได้ว่าพวกท่านเป็นฝ่ายสนับสนุนเมืองไป๋หยุน ในฐานะผู้ที่รักใคร่กันดี นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะแอบช่วยเหลือกันและกัน แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ต่างออกไป หากพวกท่านเข้าใจว่าการแทรกแซงในครั้งนี้มีผลกระทบอย่างไรบ้าง ก็ขอให้รีบถอนตัวออกไปเถอะ”

เม่ยฮัวโส่วเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุรับฟังด้วยความอดทน ก่อนจะส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “หยุดพูดจาเหลวไหล แล้วชักกระบี่ออกมาดีกว่า”

น้ำเสียงของเม่ยฮัวโส่วบอกชัดถึงความเหยียดหยาม

เจี๋ยนอู่จีสูดหายใจลึกและกล่าวว่า “ทุกท่านโปรดรับฟังให้ดี เรื่องราวในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนจากวิหารเทพแห่งพงไพร หากพวกท่านคิดมีปัญหากับข้า ได้โปรดนึกถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย”

ชายชรายกมือขึ้น

แล้วก้อนหินสีเหลืองส้มก้อนหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา

หินก้อนนี้มีขนาดไม่ใหญ่ รูปทรงของมันคล้ายกับตราประทับอะไรบางอย่าง

บนก้อนหินฝั่งหนึ่งแกะสลักเป็นลวดลายป่าเขาลำเนาไพร

อีกฝั่งหนึ่งแกะสลักตัวอักษรขนาดใหญ่ นี่เป็นตัวอักษรโบราณที่สูญหายไปยาวนานหลายร้อยปี มีข่าวลือว่าครั้งหนึ่งตัวอักษรเหล่านี้คือภาษาที่เทพเจ้าใช้สื่อสารกัน

นี่คือตรารับมอบอำนาจจากวิหารเทพพงไพร

ต่อให้พวกเขารู้ว่าตนเองอาจจะต้องเผชิญหน้ากับวิหารเทพพงไพร แต่เมื่อพวกของเม่ยฮัวโส่ว ฮั่วเฟยฮัวและเจิ้นหรู่หลงเห็นตราศิลาก้อนนั้น พวกเขาก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี

นี่แทบจะเป็นความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ

วิหารเทพพงไพรปกครองแผ่นดินตงเต้ามาอย่างยาวนาน รูปแบบการปกครองเป็นไปด้วยความเข้มงวดรุนแรง หากผู้ใดประพฤติตนผิดกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งเอาไว้ ก็จะต้องมีโทษตายสถานเดียว ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทุกสำนักยุทธ์ที่กล้าแข็งข้อกับวิหารเทพพงไพร ต่างก็มีจุดจบในโศกนาฏกรรมทั้งสิ้น…

จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินตงเต้าจะกล้าขัดขืนผู้คนจากวิหารเทพพงไพรอีกแล้ว

ดังนั้นพวกของเม่ยฮัวโส่วจึงไม่กล้าปรากฏตัวที่จวนท่านเจ้าเมืองทางด้านนอก แต่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในสุสานกระบี่แห่งนี้แทน

เพราะในนี้มีม่านพลังครอบคลุม

สิ่งที่เกิดขึ้นด้านในจะไม่มีทางล่วงรู้ไปถึงด้านนอก

ต่อให้เป็นเทพเจ้าบนฟ้าก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในสุสานใต้ดินแห่งนี้บ้าง

เพราะผู้ที่สร้างค่ายอาคมนี้ขึ้นมา ก็แทบจะเป็นเทพเจ้าผู้หนึ่งเช่นกัน

“ข้าขอประกาศว่าเมืองไป๋หยุนสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ หลักฐานแน่นหนา ไม่มีข้อแก้ตัว เรื่องราวนี้หาใช่การใส่ร้ายป้ายสีไม่…”

เจี๋ยนอู่จีชูตราศิลาศักดิ์สิทธิ์ในมือขึ้นสูง

ทันใดนั้น เกิดเป็นลำแสงพุ่งออกมาจากก้อนศิลา กลายเป็นม่านพลังสำหรับการฉายภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกบันทึกเอาไว้

“ฮื่อ ข้ายอมบอกแล้ว ข้ายอมบอกแล้ว ท่านเจ้าเมืองฉู่สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจจันทราทมิฬ…”

“ทูตประจำเผ่าปีศาจจันทราทมิฬได้เดินทางมาถึงเมืองไป๋หยุนแล้ว”

“อ๊าก อย่าทำร้ายพวกเขา อย่าทรมานพวกเขาอีกเลย ข้ายอมพูดทุกอย่างแล้ว…”

“หากท่านอยากให้ข้าพูด ท่านมีอะไรมาแลกเปลี่ยนบ้างหรือไม่? ฮ่า ๆ ๆ ในชีวิตนี้ ข้าต้องการพลังและอำนาจมากที่สุด หากพวกท่านให้ข้าได้ ข้าก็พร้อมเปิดโปงความจริงทุกอย่าง”

“เฮอะ ต่อให้ข้าผู้เฒ่าต้องร่างสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ข้าก็จะไม่ทรยศเมืองไป๋หยุนเด็ดขาด… หยุดนะ หยุดได้แล้ว อ๊าก… พวกท่านมันจิตใจอำมหิต ยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ทรงศีลอยู่อีกหรือ?”

ภาพที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพการทรมานผู้คนที่โหดร้ายที่สุดในโลก

พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวน ผู้คนส่วนใหญ่แทบไม่มีรูปร่างเป็นมนุษย์อีกแล้ว

“เฮอะ วิหารเทพพงไพร พวกท่านกำลังใส่ร้ายพวกข้า”

เมื่อฉู่อวิ๋นซุนเห็นภาพเหล่านั้น ก็เริ่มกลับมาหอบหายใจฟืดฟาดอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันนี้ ลู่กวนไห่ เสี่ยวหรานและมือกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนคนอื่น ๆ ล้วนแต่มีดวงตาร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้น ร่างกายสั่นเทาด้วยความเกลียดชัง

เพราะภาพที่กำลังฉายอยู่ในอากาศเป็นภาพผู้คนในเมืองไป๋หยุน

กลุ่มคนเหล่านี้เป็นทั้งผู้อาวุโสระดับสูง ยอดอัจฉริยะประจำเมือง มือกระบี่ดาวรุ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิเป่ยไห่ กลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ของเมืองไป๋หยุนทั้งสิ้น

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาโกรธแค้นมากที่สุดก็คือ กลุ่มคนที่ถูกจับตัวมาทรมานและหายสาบสูญไปตลอดกาลเหล่านี้ ล้วนถูกจับตัวมาพร้อมกับท่านเจ้าเมืองคนเก่า ฉู่ซิงเยี่ย

ในบรรดากลุ่มคนที่ถูกจับตัวมาทรมาน นอกจากมือกระบี่เหล่านั้น ยังมีสตรีที่ไม่รู้จักวิชายุทธ์ รวมไปถึงเด็กน้อยที่มีอายุเพียงสามถึงสี่ขวบเท่านั้น

พวกเขาถูกผู้คุมทรมานโดยการตัดแขนตัดขา แม้แต่หลานสาวของท่านเจ้าเมืองคนเก่าเองก็ไม่รอดพ้นชะตากรรมเช่นกัน

นับเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง

เมื่อฉู่อวิ๋นซุนซึ่งเป็นสายโลหิตโดยตรงของฉู่ซิงเยี่ยเห็นภาพนี้ บุรุษหนุ่มก็ส่งเสียงคำรามในลำคอไม่ต่างจากสัตว์ร้ายกระหายเลือด พยายามโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองให้เร็วที่สุด…