หวังเป่าเล่อไม่อาจอธิบายได้ว่าตรงจุดไหนที่ผิดเพี้ยนไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งอีกไม่กี่ปีต่อมา หวังเป่าเล่อที่ดูมีความสุขในสายตาทุกคนก็นิ่งงันไปเล็กน้อยเมื่อเหม่อมองสายฝนด้านนอก

“ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…” เขาพึมพำ สตรีที่เดินตามหลังเขามาคือหวังอีอีภรรยาของเขา

หวังอีอีสวมกอดหวังเป่าเล่อจากด้านหลังเบาๆ แนบศีรษะซบแผ่นหลังนั้นแล้วเอ่ยถาม

“เป่าเล่อ เจ้าเป็นอะไรไป”

หวังเป่าเล่อหันกลับมามองหวังอีอี จมูกได้กลิ่นกายอันคุ้นเคยบนเรือนร่างของนาง สัมผัสได้ถึงมือของอีกฝ่ายกับมือของตนสอดประสานกัน มองใบหน้าอันคุ้นเคย ก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกเหมือนข้าจะลืมอะไรไปบางอย่าง…”

“ไม่ต้องคิดแล้ว เจ้าไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้นแหละ” หวังอีอีหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน หวังเป่าเล่อพยักหน้าตอบรับ

ด้วยเหตุนี้เวลาจึงไหลผ่านไปอีกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งซึ่งยังคงเป็นวันที่ฝนตกหนัก หวังเป่าเล่อที่กำลังหลับใหลพลันสะดุ้งตื่น เขาลืมตามองภรรยาที่นอนอยู่ข้างกาย ฟังเสียงฝนด้านนอก ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ยืนอยู่ใต้ชายคามองดูสายฝนอย่างเงียบงัน

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ราวกับว่า…ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ สายฝนนี้เป็นดั่งน้ำตา”

หวังเป่าเล่อรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เอื้อมมือออกไปคว้าบางอย่างโดยสัญชาตญาณราวกับจะหยิบมันขึ้นดื่ม แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ ในกระเป๋าคลังเก็บไม่มีน้ำเย็นหล่อวิญญาณอีกแล้ว

ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณมานานมากแล้ว

หวังเป่าเล่อมองมือว่างเปล่า นิ่งเงียบ

จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน เขาเหลือบมองสายฝนด้านนอกอีกครั้ง เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาเดินไปตามถนนในเมืองที่ตนอาศัยอยู่

สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนเซียน ที่นี่กว้างใหญ่มาก ดังนั้นแม้ฝนจะโปรยปรายลงมา แต่คนเดินถนนก็ยังมีมากมาย อีกทั้งร้านค้าต่างๆ ก็ยังเปิดให้บริการ

ขณะเดินไปตามถนนเส้นนี้ หวังเป่าเล่อก็เห็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขามองผ่านมันไปแล้ว ทว่าครู่ต่อมาก็ต้องชะงักฝีเท้าแล้วหันไปจ้องมองร้านอาหารนั้นอีกครั้ง ไม่นาน…ฝีเท้าก็พาเขาให้มาถึงหน้าร้านแห่งนี้

“เถ้าแก่ มีสุราข้าวบ้างไหม” หวังเป่าเล่อถามเสียงเบา

“มี” เถ้าแก่ร้านตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่นานก็หยิบไหสุราออกมายื่นให้หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อถือไหสุราไว้ก่อนจะกระดกเข้าไปอึกใหญ่ เมื่อของเหลงนั้นไหลลงคอ ดวงตาเขาก็ค่อยๆ หรี่ลง วางมันลงแล้วพึมพำเบาๆ

“ดีกว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณจริงๆ…”

“และข้าก็คิดออกสักทีว่าตรงไหนที่ผิดปกติ…”

“ข้าลืมมันไปได้ยังไงกันนะ…ข้าเลิกไล่ตามอิสระได้ยังไง…”

“อีกอย่าง…รูปร่างหน้าตาหวังอีอีก็ไม่ใช่อย่างที่ข้าเคยเห็นในฝัน” หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ หันไปมองสายฝนยามค่ำคืน เขาเห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันอยู่ใต้แสงสลัวไม่ไกล

นางนั้นสวมเสื้อผ้าของหวังอีอี ส่งกลิ่นกายคุ้นเคย เสียงหัวเราะคุ้นหู ทว่าเมื่อร่มกระดาษน้ำมันนั้นยกขึ้นและเผยให้เห็นใบหน้า…กลับเป็นใบหน้าที่แปลกตา

ทั้งสองจ้องตากันท่ามกลางสายฝน

กระทั่งภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อเกิดปริออก ค่อยๆ แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาถึงเห็นว่าตอนนั้นเองดวงตาของอีกฝ่ายกลายเป็นสีดำสนิท

พริบตาเดียวทุกอย่างก็หายวับ

หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขายังคงยืนอยู่ในด่านสุดท้ายที่เคยอยู่บนท้องฟ้าของโลกาชั้นแรก และเพิ่งจะวางเท้าก้าวแรกลง

ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นและขณะออกเดินก้าวแรกนี้ มันก็ทำให้หวังเป่าเล่อยืนเงียบอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน

“เป็นเพราะเจ้าปรารถนาอารมณ์สินะ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ออกเดินต่อไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ทว่าหลังจากก้าวที่สอง ร่างกายเขาก็ต้องกระตุก สองตาหลับลง เนิ่นนานกว่าจะลืมตาตื่น ในนั้นฉายแววสับสน

ในก้าวที่สอง เขาเริ่มจมดิ่งอีกครั้ง

การจมดิ่งครั้งนี้ต่างไปจากครั้งแรก ครั้งนี้แม้เขาจะเอาชนะมหาเทพได้แล้ว แต่กลับไม่ได้เลือกแต่งงานกับหวังอีอี แต่เลือกไล่ตามอิสระจนกลายเป็นเซียนอิสระ

ท่องไปทั่วยุทธภพโดยไร้ห่วง

แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้สติ จิตใต้สำนึกรับรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงออกมาจากปรารถนาอารมณ์ครั้งนี้ได้

เงียบไปนานหวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก…

ทุกย่างก้าวนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ทุกย่างก้าวทำเขาจมดิ่ง ทุกย่างก้าวเขาคิดว่าตนได้เดินผ่านทุกสิ่งมาจริงๆ

ในก้าวที่สามเมื่อเขาได้เจอมหาเทพหลังจากเข้าไปในรูปปั้นแล้ว เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกมหาเทพหลอมรวม จิตใต้สำนึกตกอยู่ในความมืดมิด ไม่สามารถตื่นกลับมาและดูเหมือนจะจมดิ่งไปตลอดกาล

พริบตานั้นดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงเรียกที่ทำให้เขาตื่นขึ้น

ในก้าวที่สี่เขาก็ยังคงพ่ายแพ้ แต่กลับอยู่ร่วมกับมหาเทพ เขาเห็นมหาเทพออกจากมหาจักรวาลไปไล่ตามวิถีของชาติก่อน เข้าไปยังจักรวาลแปลกตาแห่งหนึ่ง มีเพื่อนแปลกหน้าจำนวนหนึ่ง แต่ดูเหมือนสุดท้ายมหาเทพก็ไม่ได้ไล่ตามร่องรอยชาติก่อนของตน

แม้เขาจะฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีอุปสรรคบางอย่างที่ก้าวข้ามไปไม่ได้จึงยากที่จะทำตามแผนเดิม แต่หวังเป่าเล่อกลับย้อนนึกอย่างละเอียดถี่ถ้วน และพบว่าความทรงจำที่กลับคืนมาของมหาเทพยังคงเลือนรางสำหรับเขา

เขาจึงตื่นขึ้น

ในก้าวที่ห้า เขาทำสำเร็จอีกครั้ง หลังจากเอาชนะมหาเทพ เขาไม่ได้กลับไปยังดินแดนเซียน แต่กลับไปโลกศิลา และเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษ สงบสุขและเรียบง่ายในสหพันธรัฐ

ตื่นขึ้นมาได้อย่างไรหวังเป่าเล่อก็จำไม่ได้ จำได้แค่ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต จู่ๆ เขาก็เกิดความไม่ยินยอม ซึ่งความไม่ยินยอมนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งทำให้ทุกอย่างแตกสลาย

ส่วนก้าวที่หก เขากลายเป็นมหาเทพคนใหม่ ออกจากมหาจักรวาลผืนนี้ไปเพื่อต่อสู้กับเหล่าดวงดาว…

กระทั่งเขาอ่อนล้าถึงขีดสุดและเกิดความสงสัยกับเรื่องนี้ ตอนนั้นเองเขาก็ตื่นขึ้น

ขณะนี้หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในด่านปรารถนาอารมณ์อย่างอ่อนล้า เขาครุ่นคิดเงียบๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนจะออกเดินก้าวที่เจ็ด

ก้าวนี้ดูเหมือนจะต่างจากก้าวอื่นเล็กน้อย เขาเห็นร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหว่างคิ้วของรูปปั้น และกำลังจ้องมองตนเองอยู่

ร่างนั้นก็คือเสวียนเฉิน

“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้า…คิดดีแล้วจริงๆ หรือ อยากเข้าไปที่นี่จริงหรือ”

หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ

“ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ข้าก็รับได้ทั้งสิ้น”

เสวียนเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาหวังเป่าเล่อ ไม่กล่าวอะไร ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ สลายไป

จนกระทั่งร่างของเขาหายไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มายืนอยู่หน้าหว่างคิ้วของรูปปั้นในที่สุด

อีกแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าไปในรูปปั้นและเห็นความทรงจำส่วนที่หกของมหาเทพ และยังได้เห็น…มหาเทพที่แท้จริง

ทว่า…ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้หวังเป่าเล่อลังเล เขายืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นอย่างรอบคอบเพื่อตัดสินว่าปรารถนาอารมณ์มีอยู่จริงหรือไม่

ครู่หนึ่งดวงตาหวังเป่าเล่อก็เปล่งประกาย จากประสบการณ์นับครั้งไม่ถ้วนทำให้เขาได้ข้อสรุปมากพอแล้ว ครั้งนี้…ไม่ใช่การล่มสลายของปรารถนาอารมณ์

“คำตอบจะเผยออกมาในไม่ช้า” สีหน้าหวังเป่าเล่อปราศจากอารมณ์ใดๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปยัง…หว่างคิ้วของรูปปั้นมหาเทพ!

…………………………………………..