หลังออกไปจากห้องลับของจ้าววิหารเมฆาโบยบิน ฉินอวี้โม่ก็ตรงไปหาอวิ๋นหลิงและคนอื่น ๆ เพื่อแจ้งเกี่ยวกับแผนการที่จะเดินทางกลับ
“เจ้าจะไปแล้วจริง ๆ รึ ?”
เฟยโม่มีสีหน้าที่ไม่เต็มใจอย่างชัดเจน ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ ฉินอวี้โม่พักอยู่กับนางเป็นส่วนใหญ่และทั้งสองกลายเป็นสหายที่สนิทสนมกันซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างมาก
เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่กำลังจะเดินทางกลับไปที่เมืองเซิ่งหลิง นางก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทว่าก็เข้าใจดีว่าไม่มีทางที่ตนเองจะเหนี่ยวรั้งฉินอวี้โม่ไว้ได้
ฉินอวี้โม่มิใช่คนของวิหารเมฆาโบยบินตั้งแต่แรกและเดินทางมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์สำคัญบางอย่าง ในเมื่อจัดการธุระเหล่านั้นเรียบร้อยแล้วและอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน มันก็เป็นธรรมดาที่นางจะต้องเดินทางกลับเสียที
“เมื่อถึงเวลา เราจะได้พบกันอีกครั้งในโลกภายนอก”
ฉินอวี้โม่จับมือเฟยโม่และนางเองก็รู้สึกไม่เต็มใจเช่นกัน ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นางก็ทำความรู้จักและสนิทสนมกับคนในวิหารเป็นอย่างดี สมาชิกส่วนใหญ่ของวิหารเมฆาโบยบินเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา เว้นเพียงแต่การแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อนางในช่วงแรก หลังจากนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ค่อย ๆ เป็นมิตรมากขึ้นและกลายเป็นสหายที่ดีต่อกันในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาหกเดือนที่กล่าวว่าเป็นการชี้แนะให้กับคนเหล่านั้น อันที่จริงมันก็ถือเป็นการฝึกปรือฝีมือของฉินอวี้โม่เพียงฝ่ายเดียวมากกว่า
คนเหล่านั้นต้องเพลี่ยงพล้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อดวลฝีมือกับนาง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สิ้นหวังหรือโกรธเคืองใด ๆ ในทางกลับกัน มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายสนิทสนมกันยิ่งกว่าเดิม
กล่าวได้ว่าตลอดช่วงเกือบหนึ่งปีที่พักอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินถือเป็นช่วงการพักผ่อนที่หาได้ยากสำหรับฉินอวี้โม่ นางได้มีโอกาสปล่อยวางจากแรงกดดันทั้งหมดและใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สบายใจอย่างยิ่ง
“อวี้โม่…จะไปแล้วจริง ๆ รึ ?”
เมื่อเฟยซีและคนอื่น ๆ ทราบข่าวว่าฉินอวี้โม่กำลังจะเดินทางกลับ พวกเขาต่างก็เศร้าใจเล็กน้อยเช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาก็สนิทสนมกับนางมากขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกชื่นชมนางยิ่งกว่าเดิม แรกเริ่มเดิมที แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบหน้าจอมยุทธ์จากโลกภายนอกผู้นี้อย่างมาก ทว่าตอนนี้อวิ๋นซานผู้ซึ่งมีการพัฒนามากที่สุดก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจ
“ใช่ พวกเจ้าทุกคนหมั่นฝึกฝนต่อไปล่ะ หวังว่าเมื่อพบกันครั้งหน้า พลังของทุกคนจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมากพอที่จะต่อกรกับข้าได้ในระดับหนึ่ง”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับทุกคนพร้อมรอยยิ้ม และเนื่องจากไม่มีสัมภาระหรือสิ่งของใดที่ต้องเก็บกลับไป นางจึงตามอวิ๋นหลิงและเฟยโม่ออกไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที
ด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายของวิหารเมฆาโบยบินก็ยังคงอยู่ภายใต้การคุ้มกันของผู้คุมกฎทั้งสองเช่นเดิม
ฉินอวี้โม่ก็เพียงกล่าวร่ำลาพวกเขาทุกคนก่อนที่จะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองเซิ่งหลิงอย่างรวดเร็ว
ตลอดช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เมืองเซิ่งหลิงได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย
เมืองเซิ่งหลิงที่เคยมีความขัดแย้งและการต่อสู้ทั้งเล็กใหญ่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเมืองแห่งความปรองดอง ขุมกำลังจำนวนมากเลือกที่จะผนึกกำลังร่วมกันเพื่อเตรียมประจันหน้ากับตระกูลหมิง
ในช่วงที่ผ่านมานี้ ตระกูลใหญ่หลายแห่งก็มักส่งศิษย์ฝีมือดีออกไปสั่งสมประสบการณ์ร่วมกันและความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นกว่าก่อนมากนัก ส่วนตระกูลเยี่ยแห่งเมืองเซิ่งหลิงที่อยู่ภายใต้การปกครองของฉินเฟิง หรือ ‘เยี่ยเฟิง’ ก็มีการพัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน ในปัจจุบันนี้ ตระกูลเยี่ยที่เคยอ่อนแอที่สุดในทั้งสามตระกูลใหญ่ก็แข็งแกร่งขึ้นมากและมีพลังอำนาจในระดับเดียวกับอีกสองตระกูลแล้ว นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของเยี่ยเฟิงเองก็เพียงพอที่จะรับมือกับจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดของทั้งสองตระกูลใหญ่ได้อย่างไม่เป็นปัญหา
ตระกูลเล็กอื่น ๆ ก็มีความสัมพันธ์ที่ปรองดองเช่นกันและไม่มีความขัดแย้งใดมาเป็นเวลานาน
การที่ฉินอวี้โม่กลับมาถึงจวนตระกูลเยี่ยได้สร้างความประหลาดใจระคนตื่นเต้นให้กับฉินเฟิงและคนอื่น ๆ อย่างมาก เมื่อเซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ทราบข่าว พวกเขาก็รีบเดินทางมาที่จวนตระกูลเยี่ยทันที
“เสี่ยวอวี้โม่ จ้าววิหารเมฆาโบยบินว่าอย่างไรบ้างรึ ?”
ทั้งสองยังไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของฉินอวี้โม่และเอ่ยถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของวิหารเมฆาโบยบินซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุด
แม้วิหารเมฆาโบยบินจะส่งคนมาแจ้งข่าวให้ได้ทราบก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาก็ต้องการคำยืนยันจากปากของฉินอวี้โม่
“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ตอนนี้จ้าววิหารเมฆาโบยบินอยู่ในช่วงเก็บตัวและใกล้ที่จะทะลวงพลังได้เต็มที เมื่อการทะลวงพลังของเขาสมบูรณ์ เราก็จะเริ่มเปิดศึกกับตระกูลหมิงทันที ช่วงนี้ทุกคนเพียงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรอให้สงครามชี้ชะตามาถึง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และเล่าเรื่องราวในวิหารเมฆาโบยบินให้ทุกคนได้ทราบ
ทุกคนเข้าใจได้ทันทีและเซี่ยโป๋อวี๋ก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยก่อนเอ่ยถามออกมา “เสี่ยวอวี้โม่ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าบรรลุถึงระดับใดแล้วรึ ?”
แม้จากภายนอกพลังของนางจะดูไม่แตกต่างไปจากขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา แต่มันก็ไม่มีทางที่ฉินอวี้โม่จะเข้าไปอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินนานเกือบหนึ่งปีโดยที่ไม่มีการทะลวงพลัง เขาเพียงไม่ทราบว่าตอนนี้นางแข็งแกร่งเพียงใดเท่านั้น
“ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบขณะปลดปล่อยพลังของตนเองออกไปอย่างเต็มที่ซึ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ไม่นะ นี่มันพรสวรรค์อะไรกัน…”
หูอี้เป็นคนแรกที่เรียกสติกลับคืนมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงสับสนอย่างที่สุด ภายในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี พลังในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราของฉินอวี้โม่ได้บรรลุไปสู่ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุด…ความเร็วในการทะลวงพลังนี้เป็นระดับที่เหนือมนุษย์อย่างแท้จริง
พวกเขาเคยมั่นใจว่าพรสวรรค์ของพวกเขาก็ยอดเยี่ยมไม่น้อย ทว่าเมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็มิใช่บุคคลที่ควรกล่าวถึงด้วยซ้ำ
หลังจากพลังบรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ โดยปกติแล้วจอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปจะใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีในการทะลวงพลังข้ามผ่านขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา แม้แต่อัจฉริยะที่มีความสามารถโดดเด่นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่น่าทึ่งเช่นการทะลวงพลังข้ามห้าระดับภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
“คิดไว้ไม่มีผิด คลื่นลูกใหม่ย่อมซัดคลื่นลูกเก่า พวกเราคงจะแก่เกินไปแล้วจริง ๆ”
* 后浪推前浪 , 长江后浪推前浪 คลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า ความหมายคือ คนรุ่นใหม่ที่ความสามารถมากกว่าและเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าที่แก่ลง
แม้เซี่ยโป๋อวี๋จะตกตะลึงมากเช่นกัน มันก็มิใช่สิ่งที่เกินกว่าจะเข้าใจได้ เขาเพียงสบตาฉินเฟิงอย่างเงียบ ๆ พลางถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าจะเป็นฉินเฟิงหรือฉินอวี้โม่ก็ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะที่อยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์อย่างมากและเหนือชั้นเกินกว่าที่คนรุ่นเก่าเช่นพวกเขาจะเทียบด้วยได้ อนาคตของคนทั้งสองยังคงยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ในอีกไม่นาน โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็คงจะไม่มีพื้นที่รองรับความแข็งแกร่งของพวกเขาได้อีกต่อไป
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ เซี่ยโป๋อวี๋และหูอี้ก็ขอตัวกลับไปยังตระกูลของพวกตน เวลานี้จึงหลงเหลือเพียงฉินอวี้โม่ ฉินเฟิงและบรรดาสมาชิกของตระกูลเยี่ยเท่านั้น
“การรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล วัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานมิใช่สิ่งที่จะค้นหาได้ง่าย ๆ ก่อนหน้านี้ นางเคยรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานได้สำเร็จครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม โอสถเหล่านั้นก็ถูกใช้ไปจนหมดแล้วและไม่มีโอกาสรวบรวมวัตถุดิบหายากเหล่านั้นได้อย่างครบถ้วนอีก
หากต้องการให้เยี่ยชางไห่ฟื้นคืนเป็นปกติ พวกนางจะต้องรวบรวมวัตถุดิบเหล่านั้นให้สำเร็จและหลอมโอสถนิพพานขึ้นมา ด้วยเวลาที่ผ่านมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ไม่อาจทราบได้เลยว่ากระบวนการรวบรวมวัตถุดิบดำเนินไปถึงไหน
“พวกเรารวบรวมวัตถุดิบได้เกือบครบแล้ว ทว่ายังหาคนหลอมโอสถนิพพานไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนออกไปสืบข่าวดูแล้วและไม่มีผู้ใดในตระกูลใหญ่ ๆ ของเมืองเซิ่งหลิงที่มีฝีมือมากพอจะหลอมโอสถนิพพานขึ้นมาได้”
เยี่ยหลิงซีกล่าวอย่างจนปัญญา ตอนนี้พวกนางตามหาและรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถดังกล่าวได้เกือบครบแล้วและยังขาดสมุนไพรอีกเพียงสองชนิดเท่านั้น ทว่าพวกนางก็ได้ส่งคนไปเก็บมันมาแล้วเช่นกัน คาดว่าคนเหล่านั้นจะกลับมาภายในเวลาไม่เกินครึ่งปีนี้
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ยังขาดอยู่ก็คือผู้หลอมโอสถมากฝีมือที่สามารถหลอมโอสถนิพพานขึ้นมาได้
“ข้าจดจำได้ว่าพี่ชายของอวี้โม่—ฉินอี้เฟยเคยหลอมโอสถนิพพานได้สำเร็จมิใช่รึ ?”
ฉินเฟิงนึกถึงฉินอี้เฟยที่เคยหลอมโอสถดังกล่าวได้สำเร็จและกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเดินทางไปหาพี่ชายของเจ้าเองและเชิญเขามาที่นี่”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอง”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และเสนอตัวออกไป นางออกจากดินแดนมหาเทพเพื่อเข้าสู่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มานานพอสมควรแล้วและฉินอี้เฟยอาจไม่ได้อยู่ในนิกายกระบี่สายฟ้าอีกต่อไป เพราะเหตุนั้น การที่นางเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพเพื่อตามหาฉินอี้เฟยด้วยตนเองจะรวดเร็วกว่ามาก
“เอาล่ะ ตกลงตามนั้น”
ฉินเฟิงพยักศีรษะและไม่ขัดขวางแต่อย่างใด
หลังจากเตรียมความพร้อมเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็วางแผนที่จะเดินทางไปยังดินแดนมหาเทพโดยเร็วที่สุด