ฉินอวี้โม่เดินทางออกจากดินแดนมหาเทพไปนานเกือบสองปีแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา ดินแดนแห่งนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย
จอมยุทธ์ปีศาจถูกกวาดล้างไปจนสิ้นและดินแดนมหาเทพก็กลับคืนสู่ความมั่นคงเช่นเดิม หลังจากร่วมมือกันเพื่อเอาชนะจอมยุทธ์ปีศาจ ขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ ที่เคยมีความขัดแย้งและต่อสู้กันอย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
หลังจากที่จอมยุทธ์ปีศาจซึ่งเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของดินแดนหายไป หลายขุมกำลังก็ไม่มีความขัดแย้งเช่นเคย ทว่ามีความสมดุลอย่างประหลาดซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับดินแดนมหาเทพ
หลังจากสงครามชี้ชะตาครานั้น สถานการณ์ของขุมกำลังในดินแดนก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง ในตอนนี้สามสำนักและเก้านิกายเดิมได้เปลี่ยนกลายเป็นห้าสำนักใหญ่
สำนักเมฆาครามและสำนักเบิกภูผายังคงดำรงอยู่เช่นเดิม ในขณะที่นิกายกระบี่สายฟ้าผนวกกำลังรวมกับนิกายหมื่นบุปผาและกลายเป็นขุมกำลังใหม่ที่มีชื่อว่า ‘สำนักหมื่นกระบี่’ ส่วนขุมกำลังใหญ่ที่เหลือก็ได้รวมตัวกันและก่อตั้งเป็นสองสำนักใหม่ นั่นก็คือสำนักจันทราล่องลอยและสำนักสี่เทวะ
สำหรับเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลาง พวกเขาก็ยังคงเก็บตัวเงียบเช่นเดิมและไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นมากนัก
ด้วยการปกครองของห้าสำนักใหญ่ที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กัน สถานการณ์ในดินแดนมหาเทพก็สงบสุขอย่างมากและจะไม่เกิดเรื่องใดในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน
เมื่อฉินอวี้โม่เดินทางกลับจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางก็ตรงไปยังอาณาเขตที่เคยเป็นที่ตั้งของนิกายกระบี่สายฟ้าทันทีซึ่งตอนนี้กลายเป็นสำนักหมื่นกระบี่แล้ว
ในเวลานี้ ภายในสำนักหมื่นกระบี่ ผู้ปกครองสูงสุดคนปัจจุบันยังคงเป็นเหลยเจี้ยนเชิงเช่นเดิมและมีผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองจ้าวสำนักอยู่สองคนซึ่งก็คือฉินเทียนผู้ซึ่งเดินทางไปยังดินแดนระดับสูงแล้วและอีกคนก็คือฮวาเยว่จากนิกายหมื่นบุปผา เมื่อเห็นฉินอวี้โม่กลับมา ทุกคนก็แสดงท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“อวี้โม่ สถานการณ์ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง ? เจ้าได้พบศิษย์พี่และพี่สะใภ้รึไม่ ?”
หลังจากเชิญฉินอวี้โม่ไปยังห้องโถงใหญ่ ฮวาเยว่และเหลยเจี้ยนเชิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล
“ข้าได้พบศิษย์พี่แล้วเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องพี่สะใภ้ก็ได้เบาะแสแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เกิดเรื่องบางอย่างในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และข้าต้องการความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่ใดรึเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เล่าถึงสถานการณ์ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างคร่าว ๆ ก่อนถามเกี่ยวกับฉินอี้เฟย
“เมื่อเจ้าเดินทางไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ บิดาของเจ้าก็พาเสี่ยวอ้ายโม่ไปยังดินแดนระดับสูงและหลังจากนั้นไม่นาน พี่ใหญ่ของเจ้าก็ไปจากที่นี่เช่นกัน เราไม่ทราบเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
เหลยเจี้ยนเชิงและฮวาเยว่มองหน้ากัน ทั้งสองไม่ทราบเลยว่าฉินอี้เฟยอยู่ที่ใด
ไม่นานหลังจากที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินทางออกจากดินแดนมหาเทพและไปยังโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอี้เฟยก็เดินทางออกจากสำนักหมื่นกระบี่ไปเพียงลำพัง
เขาไม่ได้บอกว่าจะไปที่ใดและเพียงกล่าวว่าจะกลับมาที่นี่หากมีโอกาสที่เหมาะสม
“อุปกรณ์สื่อสารของข้าติดต่อพี่ใหญ่ไม่ได้ นั่นหมายความว่าเขาอยู่ไกลไปจากเรามาก ถ้าเช่นนั้นข้าก็พอจะคาดเดาได้แล้ว”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและคาดเดาว่าฉินอี้เฟยคงจะเดินทางกลับไปที่ดินแดนเทพมายา ดินแดนเทพมายาคือสถานที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาไม่สามารถเดินทางไปยังดินแดนที่อยู่ในระดับสูงกว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอี้เฟยอาจจะกลับไปติดต่อกับญาติสนิทมิตรสหายที่อยู่ในดินแดนเทพมายาและวางแผนที่จะพาคนเหล่านั้นมาที่ดินแดนมหาเทพ
ดินแดนมหาเทพมีทรัพยากรสำหรับการฝึกยุทธ์ที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าและมีสภาวะพลังที่หนาแน่นซึ่งเหมาะสำหรับการฝึกวิชาอย่างยิ่ง หากพาคนเหล่านั้นมาที่ดินแดนแห่งนี้ ทุกคนจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากยิ่งขึ้น
แม้ด้วยความแข็งแกร่งของในปัจจุบัน ฉินอวี้โม่จะสามารถเปิดแยกห้วงมิติเพื่อกลับไปยังดินแดนเทพมายาได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ต่อให้กลับไปที่นั่นได้ นางก็ใช้เวลาอยู่ที่นั่นได้เพียงไม่นานนักก่อนที่จะถูกยับยั้งโดยกฎแห่งฟ้าดิน
ฉินอวี้โม่เคยไตร่ตรองเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นั่นคือเมื่อมีโอกาสกลับไปที่ดินแดนเทพมายา นางจะรับทุกคนมาที่ดินแดนมหาเทพในคราวเดียว
ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใดภายในเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีและนางสามารถเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาเป็นการชั่วคราวได้
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ หากมีเรื่องใดที่ต้องการความช่วยเหลือของเราก็สามารถบอกมาได้เลย เราจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่วางแผนที่จะเดินทางไปยังดินแดนเทพมายา ฮวาเยว่และเหลยเจี้ยนเชิงก็ไม่คิดขัดขวางแต่อย่างใด ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในปัจจุบัน นางถือเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานแม้ในดินแดนมหาเทพ นับประสาอะไรกับดินแดนเทพมายาซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า
“เจ้าจะไปทักทายจ้าวสำนักคนอื่น ๆ และคนของตระกูลราชวงศ์แห่งมณฑลกลางก่อนรึไม่ ?”
ฮวาเยว่เอ่ยถามอีกครั้งด้วยความใคร่รู้ว่าฉินอวี้โม่ต้องการไปพบคนเหล่านั้นก่อนเดินทางไปดินแดนเทพมายาหรือไม่
“ยังก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ไว้ข้ากลับมา ข้าจะไปพบบรรดาผู้นำด้วยตัวเอง”
ฉินอวี้โม่โบกมือปฏิเสธและไม่คิดที่จะไปพบฟู่ชางและคนอื่น ๆ ในตอนนี้
หลังจากพักผ่อนในสำนักหมื่นกระบี่เป็นเวลาหนึ่งวัน นางก็แยกเปิดห้วงมิติและก้าวเข้าไปในรอยแยกดังกล่าวเพื่อไปยังดินแดนเทพมายาทันที
ภายในดินแดนเทพมายาก็ยังคงเงียบสงบเช่นเคย ทุกคนเก็บตัวอยู่ในอาณาเขตของตนและมีความขัดแย้งเล็ก ๆเกิดขึ้นเพียงครั้งคราวซึ่งมิใช่เรื่องใหญ่หรือรุนแรงใด ๆ
ณ นครล่าฝัน เวลานี้เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ กำลังเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทาง
หลังจากการฝึกวิชาอย่างจริงจังมาเป็นเวลานาน ความแข็งแกร่งของเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แม้ยังห่างไกลจากฉินอวี้โม่พอสมควร พลังของทุกคนก็บรรลุขอบเขตพสุธาเซียนแล้วและถือเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา ต่อให้ไปที่ดินแดนมหาเทพ พวกนางก็มีฝีมือมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้
“ดูนั่นสิ มันคืออะไรกัน ?!”
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็สังเกตเห็นรอยแยกที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างไร้ที่มาและอดอุทานออกไปไม่ได้
ทุกคนก็เดินออกจากห้องพักของตนและเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ก้าวออกมาจากรอยแยกดังกล่าว ทุกคนก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
จากนั้นเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็เหาะขึ้นกลางอากาศเพื่อตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“อวี้โม่ เจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อได้พบหน้าสหายที่พลัดพรากจากกันมานาน ฉินอวี้โม่เองคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเช่นกัน
“ข้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้าง ?”
แม้จะไม่ได้พบเจอกันนานหลายปี ความรู้สึกของทุกคนก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย แม้เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ จะพัฒนาฝีมือตามฉินอวี้โม่ไม่ทันและจำต้องอยู่ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ต่อไป มิตรภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยลดน้อยลงและยังคงแน่นแฟ้นเช่นเดิมราวกับอยู่ด้วยกันมาตลอด
“เหอะ ใจร้ายชะมัด เจ้าหายไปตั้งนานหลายปีและไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างเลย”
เยว่ชิงเฉิงแสร้งทำท่าทางโกรธเคือง ทว่าตรงเข้าไปสวมกอดฉินอวี้โม่ไว้แน่น ทั้งสองถือเป็นสหายที่พบกันก่อนใครอื่นและฝ่าฟันอุปสรรคมาจากดินแดนหวนหลิงด้วยกัน น่าเสียดายที่พรสวรรค์ของนางด้อยกว่าฉินอวี้โม่มาก นางจึงก้าวตามฝีเท้าของฉินอวี้โม่ไม่ทัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งและมีสถานะที่สูงส่งมากขึ้นเพียงใด ในสายตาของเยว่ชิงเฉิง นางก็ยังคงเป็นฉินอวี้โม่คนเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรก
โอวหยางชิงเฟิง ฉีอวี้และคนอื่น ๆ ก็ยิ้มกว้างเช่นกัน สำหรับพวกเขา ฉินอวี้โม่ก็ยังคงเป็นฉินอวี้โม่คนเดิมตลอดมาและไม่มีสิ่งใดที่จะเปลี่ยนแปลงนางได้
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในเถอะ”
ไม่ไกลออกไป ฉินเฟินและฉินหยางยืนนิ่งด้วยสีหน้าโล่งใจ ในขณะที่ดวงตาของอวี๋จวินซานมีน้ำตารื้นเล็กน้อยและกล่าวออกไป
“ไปกันเถอะ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าพึงพอใจกับนครล่าฝันในการปกครองของพวกเรารึไม่”
เยว่ชิงเฉิงจับแขนฉินอวี้โม่อย่างใกล้ชิดก่อนคนทั้งกลุ่มตรงเข้าไปในจวนเจ้าเมืองของนครล่าฝันด้วยกัน
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนกล่าวจุดประสงค์ของการมาที่นี่และเพียงฟังเยว่ชิงเฉิงคุยโวยาวเหยียดอย่างเงียบ ๆ ด้วยรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า
“อีกอย่าง…พี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน ทว่าตอนนี้เขาเดินทางไปที่ภูมิลำเนาของเสี่ยวโร่ว”
ฉินเฟินกล่าวเสริมด้วยวาจาที่ทำให้ฉินอวี้โม่โล่งใจขึ้นมาทันที
.
.