เซี่ยงชิวมิได้สนใจในนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้น
หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือ เขาแทบจะไม่ได้มองไปยังนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นเลย
เนื่องจากนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
แล้วก็เนื่องจากเวลานี้ท่านขุนนางศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้โดดเด่นยิ่งนัก
ท่านขุนนางศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ร่องรอยบนใบหน้าราวกับแกะสลักออกมา คิ้วและดวงตาที่งดงามราวกับน้ำค้างแข็งที่หนาวเย็นก็ไม่ปาน
“ราชันแห่งหลิงไห่ ท่านต้องการทำสิ่งใด”
สายตาของเซี่ยงชิวกวาดมองไปยังผู้แข็งแกร่งทั้งหลายของสำนักฝึกหลวงที่ยืนอยู่นอกตัวบ้าน สายตาของพวกเขาคมกริบ สามารถมองเห็นได้ถึงความกระหายเลือดรางๆ ที่อยู่ในส่วนลึกของแววตา
ราชันแห่งหลิงไห่ไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ราชโองการ ผู้ใดล้วนไม่สามารถเข้าออกบ้านหลังนี้ได้ ผู้ใดต่อต้านตายสถานเดียว”
ใช่แล้ว ไม่ว่าจักรพรรดิขาวหรือมู่ฮูหยินผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ ล้วนไม่สามารถแตะต้องราชามารหนุ่มผู้นี้ได้
บ้านหลังนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเขตพระราชฐานในวันนี้แล้ว
แต่หัวหน้าเผ่าเซี่ยงและราชามารล้วนลืมไปหนึ่งเรื่อง
ในเขตพระราชฐานวันนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์จำนวนมาก
ไม่ว่าจักรพรรดิขาวหรือมู่ฮูหยินผู้ใดชนะหรือผู้ใดแพ้ พวกเขาล้วนประสงค์จะสังหารราชามารหนุ่มผู้นี้
เซี่ยงชิวยังคงไม่เข้าใจในเหตุผลนี้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าน่าจะชัดเจนแล้ว เขาคือแขกของเผ่าเซี่ยง”
ราชันแห่งหลิงไห่สีหน้าเฉยเมย ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลีกทาง
เซี่ยงชิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดมาก “พวกเจ้าอยากตายใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาก็นำไพร่พลของตนบุกทะลวงออกไป
สุดท้าย เขาก็ตาย
……
……
เซี่ยงชิวถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเขาเผ่าเซี่ยงรุ่นหนึ่ง ความสามารถและวิธีการล้วนยิ่งใหญ่ยิ่งนัก
ไพร่พลเหล่านั้นก็เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจของเผ่าเซี่ยงเช่นกัน
แต่ผู้ที่ยืนอยู่นอกบ้านนั้นคือราชันแห่งหลิงไห่ คือนักพรตซือหยวน คือมุขนายกอันหลิน คือหู้ซานสือลิ่ว
พูดอีกอย่างก็คือ ผู้ที่เขาเผชิญหน้าด้วยคือคนจากครึ่งหนึ่งของพระราชวังหลี อย่างนั้นจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับชัยชนะได้อย่างไร
แน่นอน หากศัตรูของเขาคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักฝึกหลวงหลายท่านเหล่านี้ บางทีอาจจะไม่ได้พ่ายแพ้เร็วถึงเพียงนี้ก็ได้ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ ก็คงจะไม่ต้องตายเร็วถึงเพียงนี้
ปัญหาก็คือ ราชันแห่งหลิงไห่รวมถึงคนอื่นๆ ยังไม่ได้ลงมือ ความสนใจของพวกเขาล้วนอยู่ในบ้าน
คนที่เซี่ยงชิวและยอดฝีมือจากเผ่าเซี่ยงต่อกรด้วยก็คือ พ่อค้าเจ็ดคน นักการหกคน ผู้ทำนายดวงชะตาสามคน ผู้เฒ่าที่ขายลูกอมงาสองคน และเด็กสาวที่ขายเครื่องประทินโฉม
ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าคนเหล่านี้มาจากเมืองเวิ่นสุ่ย น่าจะเป็นยอดฝีมือของตระกูลถัง แต่การจับคู่อย่างนี้ก็ยังง่ายที่จะถูกมองว่าเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องอื่นๆ
พลังของเผ่าปีศาจที่รุนแรงกว่าสิบสายพุ่งทะยานขึ้นสู้ท้องฟ้า!
เสียงแหลมสูงดังขึ้นบนถนน มันไม่ใช่เสียงของห่วงเหล็กที่ประตูยามต้องลม แต่คือเสียงของเหรียญทองแดงที่หล่นจากมือของพ่อค้าทั้งเจ็ดคน
เหรียญทองแดงนั้นกลิ้งไปบนพื้น สอดคล้องกับหลักการฟ้าดิน พวกมันรวมตัวกันขึ้นเป็นค่ายกลอย่างเป็นธรรมชาติ
ผู้ทำนายดวงชะตาทั้งสองคนยืนอยู่ท่ามกลางค่ายกล มองไปยังผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจซึ่งกำลังร่อนลงมาจากฟากฟ้า ต่างก็กลอกตามองบนทีหนึ่ง
พวกเขาไม่ได้ดูถูก แต่กำลังคำนวณอนุมานอย่างรวดเร็ว
นักการทั้งหกท่านเดินขึ้นไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มือทั้งสองข้างก็สะบัดส่งเพลงหมัดขึ้นไปทันที
พลองนทีและอัคคีทั้งหกด้ามแบ่งแยกความเป็นความตายออกจากกันทันที เมื่อยื่นศีรษะออกจากเมฆา ก็โยนทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าลงไปสู่ปรโลก
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือพลองนทีและอัคคีทั้งหกล้วนผูกไว้ด้วยโซ่เหล็ก ราวกับว่าสามารถจะมัดวิญญาณของทุกชีวิตเอาไว้ได้ทั้งหมด
การปะทะของลมปราณที่บ้าคลั่ง เกิดเป็นภาพประหลาดนับไม่ถ้วนและกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่น่ากลัวบนถนนด้านหน้าตัวบ้าน
เวลานี้ ชายชราที่ขายลูกอมงาสองท่านนั้นเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว นำเอาส่วนหน้าอกของเสื้อคลุมกลัดไว้บริเวณเอว หลังจากนั้นก็ออกหมัดไปด้านหน้าหนึ่งทีด้วยท่าทีปกติ
หมัดสองหมัดนั้นทำให้เกิดดวงแสงนับไม่ถ้วน สะบัดลมที่พัดมาจากแม่น้ำแดงให้กระจายตัวไป ราวกับพระอาทิตย์ร้อนสองดวงกำลังแผดเผาทุกอย่างให้หมดสิ้น
หลังจากนั้น เครื่องประทินโฉมที่ดูคล้ายดอกท้อ คล้ายบุปผาสาลี่ บ้างก็สีแดงบ้างก็สีขาว พลันปกคลุมไปทั่วทั้งหมด
สุดท้าย เสียงพิณอันอ้างว้างดังขึ้น ราวกับพายุหิมะกำลังหลั่งน้ำตา ราวกับต้องส่งผู้ใดให้จากไปแล้ว
……
……
ด้านนอกตัวบ้านเต็มไปด้วยโลหิต
ผู้แข็งแกร่งเผ่าเซี่ยงสิบกว่าคนล้มกองอยู่บนโลหิตของตน
บาดแผลของเซี่ยงชิวสาหัสที่สุด อาภรณ์ฉีกขาด บนร่างกายปีศาจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าปรากฏร่องรอยบาดแผลที่เล็กมากกว่าสิบแผล โลหิตสดๆ หลั่งไหลออกมาจากบาดแผลบางๆ ที่เป็นเส้นตรงนั้นไม่หยุด เมื่อสัมผัสกับอากาศ ก็กลายเป็นสีที่แปลกประหลาดและงดงามอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าโดนพิษรุนแรงเข้าเสียแล้ว
นักการและพ่อค้าที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและตกใจ
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ จะได้เห็นวิทยายุทธ์และวิธีการที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุดเช่นนี้
หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเสียเลือดมากจนตาลาย หรือว่านั่น…จะเป็นวิชาสุริยันแผดเผาจริงๆ
มือดีของตระกูลถังเหล่านี้ช่างน่ากลัวเสียจริง เขาและไพร่พลยังไม่ทันจะได้ปลดปล่อยความบ้าคลั่ง ก็พ่ายแพ้อย่างยับเยินจนมิอาจกอบกู้กลับคืน
สุดท้ายสายตาของเซี่ยงชิวก็ตกลงบนร่างของนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนและพิณเก่าๆ ตัวนั้นที่อยู่ในอ้อมกอดเขา
สายของพิณเก่านั้นดูแล้วช่างแหลมคมยิ่งนัก ต่อให้เชือดเฉือนร่างกายไปแล้วมากมายเพียงใด แต่กลับไม่มีโลหิตติดไปเลย
เมื่อมองไปยังพิณเก่าตัวนั้น เซี่ยงชิวจู่ๆ ก็รู้สึกหนาวเหน็บ
เสียงของพิณนั้นดังขึ้น
เขาถึงได้รู้ว่า ต่อให้ไม่มีพ่อค้าและนักการเหล่านั้น อาศัยเพียงนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้ผู้เดียว ก็สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดได้
ต่อให้เป็นตนและไพร่พลที่เปิดฉากเริ่มก่อน สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นจุดจบต้องถูกสังหารจนหมดสิ้น
ต่อให้เป็นบิดาของเขาที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้ก็ได้
ในแววตาของเซี่ยงชิวปรากฏร่องรอยของความเสียใจอย่างท่วมท้น
เมื่อครู่นี้เขามองไม่เห็นนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่าไหล่ทั้งสองข้างของนักเล่นพิณตาบอดค้อมลง
ท่าทางเช่นนี้ดูแล้วเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นเพราะเพื่อให้สะดวกในการกอดพิณเอาไว้
มนุษย์ที่ชอบทำหลังค่อมล้วนเป็นบุคคลที่เก่งกาจทั้งสิ้น
อาทิเช่น หวังผ้อ อาทิเช่นเปี๋ยยั่งหง อาทิเช่นนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้
เขาเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทาวาด “แข็งแกร่งเสียจริง…ท่านเป็นใครกันแน่”
นักเล่นพิณตาบอดไม่ได้ตอบคำถามเขา
อาจมีบางคนเต็มใจตอบคำถามของผู้ที่ใกล้จะตายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเมตตาและท่าทีที่ดูดีของตน
แต่นักเล่นพิณตาบอดไม่
หลายปีก่อนที่ซานเหมินเกิดความวุ่นวายขึ้นภายใน เขาถูกท่านสังฆราชลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ชีวิตกลับคืนมา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความเมตตา
หลายปีก่อน เนื่องจากเขาเร้นกายบำเพ็ญพรตหลีกหนีจากซูหลี หลังจากนั้นก็อาศัยอยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ยเป็นเวลาหลายปีเหมือนกับสุนัขแก่ตัวหนึ่ง
หลังจากนั้น เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเอ่ยถึงท่าทีที่ดูดีอีกเลย
รวมไปถึงครั้งนี้ที่ตอบรับคำเชิญของท่านผู้อาวุโสตระกูลถังเดินทางมายังเขตพระราชฐาน รับผิดชอบปกป้องความปลอดภัยของเฉินฉางเซิง เขามองว่านี่ก็เป็นเพียงแค่งานงานหนึ่งเท่านั้น
เขาเพียงรับผิดชอบงานของตน รับเอาเงินและข้าว เอาไว้เลี้ยงตนยามแก่ชรา
ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบคำถามของเซี่ยงชิว
เขาไม่เคยทำความเข้าใจว่าตนนั้นจะไม่มีทางสนใจในเรื่องใดก็ตาม
แต่วันนี้ราวกับมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
เขามองไปยังบ้านหลังนั้น สายตามองทะลุตัวบ้านไป ทอดตกไปด้านใต้ของต้นไม้ต้นนั้นในจุดที่ลึกที่สุด
ใต้ต้นไม้ต้นนั้นมีเงาของร่างหนึ่งอยู่
ดวงจิตที่สงบนิ่งไปตั้งนานแล้วจนเกือบจะกลายเป็นน้ำแข็งของเขา เวลานี้มันกลับค่อยๆ ละลายตัวลง
ดวงจิตที่เดิมได้กลายเป็นแม่น้ำเล็กๆ ที่แห้งขอดไปตั้งนานแล้วของเขา แต่บัดนี้กลับค่อยๆ มีน้ำไหลรินเข้ามา แล้วเริ่มซัดโถมเข้าหาหินที่อยู่ริมฝั่ง
เนื่องจากหัวใจของเขาที่ไร้ชีวิตชีวาราวกับท่อนไม้มาตั้งนานแล้วจู่ๆ ก็เกิดเปลวไฟเล็กๆ ขึ้นมา หลังจากนั้นพลังของไฟก็ค่อยๆ ลุกโหม
ทันทีที่เขาเห็นร่างนั้น เขาก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่ดวงจิตก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา
ไม่มีลม เสื้อผ้าของเขากลับเริ่มโบกสะบัด
สีหน้าของเขาก็เริ่มมีเลือดฝาด
ดวงตาของเขาราวกับมีประกาย
เขาดูเยาว์วัยขึ้นมาก
เขาราวกับยังสามารถมีชีวิตได้อีกห้าร้อยปี
แต่เขากลับไม่อยากได้ห้าร้อยปีนั้น
หากในวันนี้เขาสามารถสังหารอีกฝ่ายได้