ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 199 พวกเราอยากจะเชิญให้ท่านไปตายเสีย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พ่อค้า นักการ และผู้ทำนายดวงชะตาเหล่านั้นเป็นกลุ่มแรกที่สังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของนักเล่นพิณตาบอด แววตาของเขาปรากฏอารมณ์สั่นไหวออกมา

พวกเขาคือกลุ่มคนห้าเหล่าที่ลึกลับที่สุดและก็น่ากลัวที่สุดของตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ย แต่นักเล่นพิณตาบอดถึงจะเป็น…ผู้นั้น

ถึงแม้ว่านักเล่นพิณตาบอดจะไม่เคยยอมรับว่าตนนั้นเป็นศิษย์พี่หรือเป็นผู้นำของพวกเขา แม้แต่ในวันปกติยังเอ่ยวาจาน้อยมาก แต่พวกเขาเองกลับรู้สึกเคารพชายดีดพิณตาบอดผู้นี้อย่างลึกซึ้ง หรือแม้แต่จะพูดได้เลยว่าไม่น้อยไปกว่าท่านผู้อาวุโสตระกูลถังเลย

นี่เป็นหนแรกที่ได้เห็นว่านักเล่นพิณตาบอดปรากฏจิตสังหารที่แรงกล้าเช่นนี้ออกมา ช่างปี่ยมพลังชีวิตอย่างแท้จริงเสียนี่กระไร

เด็กสาวที่ขายเครื่องประทินโฉมผู้นั้นรู้สึกไม่สบายใจ นางอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามไถ่ แต่กลับถูกชายชราสองคนที่ขายขนมลูกอมงารั้งเอาไว้

……

……

ผู้แข็งแกร่งจากสำนักฝึกหลวงต่างก็สัมผัสได้ถึงลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้น สีหน้าเย็นชา ต่างก็เกิดความรู้สึกทอดถอนใจเหมือนเช่นเดียวกับที่เซี่ยงชิวรู้สึก…คนผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! ต่อให้เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของสำนักฝึกหลวง แต่ก็คงมีเพียงเหมาอวี่ชิวเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้ได้

ราชันแห่งหลิงไห่และอันหลินรวมไปถึงคนอื่นๆ ที่ต่างก็ทราบถึงฐานะของเขาดี ต่างก็ตกตะลึงจนเอ่ยคำใดไม่ออก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว

ก่อนการล่มสลายของพรรคฉางเซิงซึ่งถือเป็นศาลบรรพบุรุษทางใต้ของสำนักฝึกหลวง ร่วมกับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในการต่อสู้กับตำหนักย่อยของพระราชวังหลี ยามนี้พรรคกระบี่เขาหลีซานที่สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งดินแดนนั้นก็เป็นแค่เพียงพรรคหนึ่งในพรรคฉางเซิงเท่านั้น ในฐานะผู้อาวุโสที่สุดซึ่งประสบความสำเร็จและดำรงอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน นักเล่นพิณตาบอดผู้นี้แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ก็ควรจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แหละ!

ราชันแห่งหลิงไห่รวมไปถึงคนอื่นก็ล้วนทราบดีว่าเหตุใดนักเล่นพิณตาบอดผู้นี้จู่ๆ ถึงได้ราวกับมีชีวิตกลับขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้กลับไปสู่ความรู้สึกในยุคที่พรรคฉางเซิงเคยรุ่งโรจน์ที่สุดก็มิปาน

เนื่องด้วยเงาที่อยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นในตัวบ้าน

เนื่องด้วยพวกเขาก็เฉกเช่นเดียวกัน

เมื่อมองไปยังเงาของร่างนั้น ลมหายใจของพวกเขาก็ร้อนรนขึ้นมาทันที ในยามนี้พลันโคจรเร่งพลังขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอย่างเป็นธรรมชาติ

ไม่ว่านักเล่นพิณตาบอดหรือว่าราชันแห่งหลิงไห่รวมไปถึงผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักฝึกหลวงต่างๆ ในวันนี้ล้วนเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นราชามารด้วยตาตนเอง

ในวันนี้ที่พวกเขาเตรียมตัวจะสังหารอีกฝ่ายนั่นเอง

เฉินฉางเซิงให้พวกเขาเดินทางล่วงหน้ามายังเขตพระราชฐาน เป้าหมายก็คือต้องการจะสังหารราชามารให้สิ้น

สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว นี่เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นเกียรติที่สุด และก็งดงามที่สุดเช่นกัน

สำหรับแผ่นดินใหญ่แล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่สั่นสะเทือนที่สุด ตึงเครียดที่สุด และก็อันตรายที่สุดเช่นกัน

หากพวกเขาสามารถสังหารราชามารได้ ภาพต่างๆ ในวันนี้รวมไปถึงชื่อของพวกเขาจะต้องถูกจดบันทึกลงในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์และเล่าสืบต่อกันไปอีกหลายหมื่นปีทีเดียว

ต่อให้หัวใจของนักเล่นพิณตาบอดนั้นเปรียบได้ดั่งกับต้นไม้แห้งเฉา ไม่สิ ต่อให้หัวใจนั้นเปรียบได้กับเถ้าถ่านที่ดับมอดไป ก็สามารถลุกโหมเผาไหม้ขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง

ต่อให้ชื่อของผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักฝึกหลวงจะถูกบันทึกเอาไว้ในพิธีฉลองใหญ่แน่ๆ แล้ว แต่พวกเขายังคงยินดีทุ่มเททุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตของตน

……

……

ราชามารหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ลุกยืนขึ้น ก่อนจะหันกลับไปมองผู้คนที่อยู่ด้านนอกบ้าน

ใบหน้าของเขางดงามยิ่งนัก มีลมปราณของอมนุษย์แผ่กำจายออกมาบางๆ

เม็ดทรายสีเหลืองทองที่อยู่เต็มลานบ้านจู่ๆ ก็เริ่มปลิวว่อนขึ้น หมุนไปรอบกายของพวกเขาเป็นเกลียวคลื่น เกิดลวดลายหนาแน่นขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วนบนอาภรณ์จักรพรรดิสีดำผืนนั้น

เมื่อได้เห็นภาพนี้ ราชันแห่งหลิงไห่ก็หรี่ตามอง ทุกคนล้วนสามารถสัมผัสได้ถึงความระแวดระวังภัย

ก่อนหน้าที่จะนำพาคนชุดดำและผู้คุมกฎเผ่ามารล้มล้างบิดาของตน ราชามารหนุ่มผู้นี้ยังไม่มีชื่อเสียงด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือว่าความสามารถในการรบ หรือแม้แต่กระทั่งด้านอื่นๆ เขาล้วนไม่มีชื่อเสียงใดๆ เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิวซานจวินหรือว่าสวีโหย่วหรง แม้แต่เฉินฉางเซิงยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เรื่องเดียวที่ถูกทั้งดินแดนพูดถึงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเขาก็คือเรื่องที่เขาปรารถนาในตัวสวีโหย่วหรง

จนกระทั่งเขาจัดการผลักคนผู้นั้นที่อยู่ในตำนานให้ตกลงสู่เหวลึก หลังจากนั้นก็ล้อมสังหารพี่ชายอย่างฮั่นชิงที่กลับมาจากสุสานเทียนซูอย่างเย็นชาแล้ว ทั้งดินแดนจึงได้รู้ว่าตนนั้นผิดไปแล้ว

ตอนนี้ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดีว่าราชามารพูดนี้มีพรสวรรค์ในการรบที่ยากจะจินตนาการได้และมีความสามารถที่แท้จริงที่ยากจะหยั่งถึง แต่เขานั้นจะแข็งแกร่งเท่าไรกันเล่า

เห็นได้ชัดมาก เขานั้นยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้น

หากมองจากสถานการณ์การสู้รบบนหอทัศนะนั้น เมื่อยามที่เฉินฉางเซิงใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี ราชามารราวกับถูกทิ้งให้อยู่ใต้ลม

แต่ตามการวิเคราะห์ของเฉินฉางเซิงแล้ว ในตอนที่ตัดสินใจจะสังหารราชามานั้น เขาเองก็รู้สึกได้ว่าตนนั้นก็อาจจะตายได้ทุกครา

ราชามารมีไม้ตายอะไรกันแน่ ที่ทำให้เขาสามารถเกิดความรู้สึกอย่างนี้ได้

“ต้งหยางจื่อ” ราชามารมองไปยังนักเล่นพิณตาบอดพลางยิ้มเยาะก่อนเอ่ย “อาศัยเจ้าก็อยากสังหารเราหรือ”

ผู้คนในที่นั่นต่างตกตะลึงกันไปหมด

เนื่องจากยามที่ราชามารเอ่ยคำนี้ สีหน้าและท่าทางช่างดูแคลนยิ่งนัก

ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพราะราชามารเอ่ยชื่อนั้นออกมาตรงๆ

ชื่อนั้นคือสมญานามเต๋าของนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นยามที่ยังอยู่พรรคฉางเซิง

ชื่อนี้ราวกับได้หายจากยุทธภพไปนานหลายปีแล้ว นอกจากราชันแห่งหลิงไห่และผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักฝึกหลวงอื่นๆ บุคคลที่อยู่ในที่นั้นล้วนไม่มีผู้ใดทราบ แม้แต่พ่อค้าและนักการของสกุลถังเมืองเวิ่นสุ่ยก็ไม่ทราบ สุดท้ายกลับถูกเปิดเผยออกมาโดยวาจาของราชามารผู้นี้

นักเล่นพิณตาบอดผู้นี้เอียงคอเล็กน้อย เขาเงียบอยู่นานก่อนเลยว่า “มีอันใดไม่ได้กันเล่า”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ไม่ฉลาดนัก”

ราชามารกุมมือทั้งสองข้างทางพลางเดินออกไปด้านนอกบ้านอย่างช้าๆ

“ในปีนั้นหัวหน้าพรรคของเจ้าประสงค์จะร่วมมือกับพระบิดาของข้า เจ้าบังเอิญไปรู้เรื่องนี้เข้า ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง อยากจะทำลายความร่วมมือนี้เสีย สุดท้ายจึงถูกลอบทำร้ายบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นก็ถูกผู้แข็งแกร่งจากเผ่าเทพของข้าตีล้อมทำร้ายเสีย จุดศูนย์กลางของดวงดาวถูกทำลาย แม้ได้รับการปกป้องไว้ได้โดยผู้อาวุโสตระกูลถังและมิตรสหายในพรรค แต่ก็ยากรักษาชีวิตรอดเอาไว้ได้ จนกระทั่งฟื้นคืนวิชากำลังขึ้นมาได้ แต่ตัวเจ้าเองแจ้งแก่ใจที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะใช้เวลาหลายปีเพียงใดในการยกระดับขั้นก็คงไม่มีทางไปถึงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์”

นักเล่นพิณตาบอดฟังอยู่เงียบๆ ราวกับเขากำลังฟังเรื่องของผู้อื่นอยู่

ราชามารเองก็มองไปที่เขาพร้อมกับเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เจ้าหวาดกลัวถึงพลังของเผ่าเทพข้าเลยหรือ”

เมื่อได้ฟังเรื่องราวชีวิตส่วนตัวในปีเก่าๆ ช่วงนั้นเข้า ผู้คนต่างก็ตกตะลึงยิ่งกว่า พลันมองไปที่นักเล่นพิณตาบอดอย่างไม่รู้ตัว

นักเล่นพิณตาบอดสีหน้าเฉยชา ราวกับเรื่องนี้ไม่สามารถกระทบกระเทือนเขาได้เลย คิ้วสีขาวดอกเลาสองข้างนั้นสั่นไหวเพียงนิด

ผู้ใดจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่เฉยเมยของเขาได้เล่า

สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนและก้าวไปข้างหน้าอย่างขยันขันแข็งเพียงใด กลับสิ้นหวังในการไปให้ถึงได้ยังขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่านี่ต้องเป็นความสิ้นหวังอันใหญ่หลวง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศในปีนั้นของเขา มองไปทั่วทั้งดินแดงผู้ที่มีพรสวรรค์แทบจะสามารถนับได้ด้วยนิ้วเลย หากมิใช่เพราะประสบพบเจอเข้ากับเรื่องทรยศหักหลังและการต่อกรที่โหดเหี้ยมของเผ่ามารเช่นนี้ สำหรับนักบำเพ็ญพรตผู้อื่นแล้วอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับเขาแท้จริงแล้วมันแทบจะอยู่เบื้องหน้านี่เอง

นี่ถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่างหาก

นักเล่นพิณตาบอดเอ่ยว่า “ความเจ็บปวดจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหวาดกลัว ความสิ้นหวังจะทำให้ผู้คนรู้สึกหมดสิ้นไปซึ่งความสุข แต่บางครั้งมันก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังแห่งความโกรธแค้นได้”

ราชามารมองไปที่เขาก่อนเกิดขึ้นว่า “แต่นั่นก็ยากเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่น่าสมเพชของเจ้านี่”

พลันเกิดเสียงนกกระเรียนบินโถมลงมาจากท้องฟ้า

หิมะที่หลงเหลืออยู่บนหลังคาค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา ลมฤดูหนาวก็ค่อยๆ ถาโถมเข้ามาด้านใน นกกระเรียนสีขาวร่อนลงบนพื้นดิน

เฉินฉางเซิงมองไปในบ้านก่อนเอ่ยขึ้น “หากสามารถสังหารเจ้าได้ในวันนี้ ความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งปวงก็คงจะได้รับการตอบแทน”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ายิ่งนัก”

นักเล่นพิณตาบอดเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย “ใช่แล้ว”

ยามที่พูดสองคำนี้ออกมา สีหน้าของเขาสงบนิ่งยิ่งนัก

ครั้งนี้ถือว่าเขาสงบนิ่งจริงๆ เนื่องจากขนคิ้วสีขาวดอกเลาสองข้างนั้นแทบจะไม่สั่นไหวเลย

อาการสงบนิ่งไม่ได้หมายถึงจิตสังหารทั้งหมดจะหายไปกับลม

ตรงกันข้ามเลย นั่นหมายถึงโอกาสในการสังหารได้บังเกิดขึ้นระหว่างฟ้าดินนี้แล้ว และก็ยากถอนคืน

ราชามารอยู่ในเขตพระราชฐานอย่างโดดเดี่ยว

เฉินฉางเซิงนำผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักฝึกหลวงทั้งสี่ท่าน รวมไปถึงคนห้าเหล่าที่น่ากลัวที่สุดของตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ยมาเยือน

ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ตาม ล้วนสามารถลองลงมือสังหารได้เสียที