หลิงฮันเดิมตามติงเซี่ยวเฉินไปยังวิหารบรรพบุรุษ
ตระกูลติงมีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก พื้นที่ในตระกูลกว้างขวางถึงขนาดมีภูเขาใหญ่ยักษ์สูงเสียดเมฆตั้งตระหง่านเอาไว้ด้วย ขนาดของตระกูลติงสามารถเทียบได้กับเมืองทั้งเมืองในโลกบรรพกาล!
เพราะงั้นต่อให้ทั้งสองคนจะเป็นราชาเซียนสูงสุดก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงวิหารบรรพบุรุษ
วิหารแห่งนี้มีสีทองอร่ามงดงามและดูน่าเกรงขาม
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและกล่าว “ช่างน่าเสียดายนัก”
น่าเสียดายอะไรของเจ้า?
ติงเซี่ยวเฉินคิดในใจแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะทุกครั้งที่เขาพูดคุยกับหลิงฮันทีไรเขาจะต้องถูกทำให้อัปยศกลับมาทุกที
ตัวตนระดับสูงจำนวนหนึ่งได้มารออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว หลังจากพาหลิงฮันมาถึงจุดหมายได้สำเร็จ ติงเซี่ยวเฉินก็ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะจ้องมองหลิงฮันอย่างเกรี้ยวกราดและหันหลังเดินจากไป
“หลิงฮัน!” เสียงของติงหู่เอ่ยดังขึ้น เขาจดจ้องมายังหลิงฮันและกล่าว “ใกล้จะได้เวลาแล้ว จงมาทำการสักการะเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลติงและพวกเราจะรับเจ้าเป็นสมาชิกตระกูลอย่างเป็นทางการ”
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ตระกูลติงต้องการรับข้าเข้าตระกูลจริงๆรึ?”
นี่เจ้าบ้ารึเปล่า คิดว่าพวกข้าเปิดวิหารบรรพบุรุษเพื่อแกล้งเจ้าเล่นๆรึไง?
“แน่นอน” ติงหู่พยักหน้า เนื่องจากวันนี้มีคนจากสองตระกูลอื่นมาร่วมงานพิธีด้วยเขาจึงจำเป็นต้องรักษาหน้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วกับจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยเช่นนี้ เขาคงคำรามกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ออกไปแล้ว
“พวกเจ้าจะไม่เสียใจภายหลังจริงๆสินะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาพยายามถ่วงเวลาเอาไว้พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง ‘เหตุใดสุนัขตัวดำยังไม่มาเสียที?’
มุมปากของติงหู่กระตุก นี่เจ้าเป็นบ้าอะไร? เขาเค้นเสียงและกล่าว “แน่นอน พวกข้าไม่มีวันเสียใจภายหลัง! เจ้…”
หลิงฮันเปิดปากเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้ติงหู่พูดจบ “ตระกูลติงจะรับผิดชอบปัญหาทุกอย่างที่ข้าเคยก่อไว้?”
ติงหู่โมโหจนอยากจะสังหารใครสักคน เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วที่เป็นคนรับหน้าที่นี้ เขาพยายามสงบสติอารมณ์และกล่าว “ในเมื่อเจ้าเป็นคนของตระกูลติงแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกข้าก็จะเป็นผู้หนุนหลังให้เจ้า”
“จริงรึ? แน่ใจนะ?” หลิงฮันเอ่ยถามไม่หยุด
มือของติงหู่กระตุกไปใกล้จะหมดความอดทน
แต่ในจังหวะนั้นเอง เสียงเอะอะของอะไรบางอย่างก็ดังมาจากทิศทางที่ห่างไกลราวกับกำลังจะมีความโกลาหลเกิดขึ้น
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม ในที่สุดเจ้าสุนัขตัวดำก็มาเสียที
“เจ้ามารเฒ่าไร้น้ำยา เมื่อเช้าเจ้าไม่ได้กินอาหารรึไง? หรือเมื่อคืนเจ้าเล่นสนุกกับสตรีหนักเกินไป ขาของเจ้าถึงได้ไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น? นี่เวลาก็ผ่านมานานแล้วเจ้ายังไล่ตามนายท่านหมามาไม่ทันเสียที!” เสียงของสุนัขตัวดำตะโกนหยอกล้อใครบางคน “หรือข้าจะยอมอ่อนข้อให้เจ้าดี?”
‘พรึบ’ เงาสีดำร่างหนึ่งลอยข้ามผ่านท้องฟ้าเข้ามายังตระกูลติง มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสุนัขตัวดำที่สวมกางเกงในเหล็กสะท้อนแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า มันงอขาข้างหนึ่งเอาไว้และใช้เพียงสามขาวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดถึงได้มีสุนัขปรากฏตัวขึ้นที่วิหารบรรพบุรุษอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลติง?
“ช่างกล้านัก!” ติงหู่ทำการคว้ามือไปยังสุนัขตัวดำในทันทีโดยที่ตัวเขาเองก็ยังสงสัยว่าสุนัขที่มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับสร้างสรรพสิ่งสามารถเล็ดลอดเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร
แต่เมื่อลงมือด้วยตัวเอง ติงหู่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสุนัขตัวนี้ถึงได้โผล่มาที่นี่ได้ ในขณะที่ถูกมือปราณก่อเกิดพุ่งเข้าใส่ จู่ๆร่างของสุนัขตัวดำก็เปิดช่องว่างมิติหลบหนีไปและปรากฏตัวออกมาอีกครั้งในรัศมีที่ไกลจากมือปราณก่อเกิดของติงหู่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน
เป็นไปได้อย่างไรที่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานจะโจมตีพลาด?
ไม่เพียงแค่ติงหู่ที่ตกตะลึงจนร่างแข็งค้าง แต่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งคนอื่นๆอย่างเม่าไต้หรือเหล่าผู้อาวุโสจากตระกูลต้วนและตระกูลล้งก็เผลออุทานออกมาเช่นกัน
ดวงตาของเม่าไต้หันไปมองที่หลิงฮันทันที ก่อนหน้านี้หลิงฮันเคยกล่าวคำพูดแปลกๆออกมา หรือว่าจะหมายถึงสุนัขตัวดำตนนี้?
‘ครืนน’ คลื่นพลังอีกระลอกพุ่งทะยานเข้ามา แรงกดดันจากคลื่นพลังที่เพิ่งปรากฏนี้ ส่งผลให้ทุกคนที่มีระดับพลังต่ำกว่าโลกียนิพพานใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันใด
ติงหู่เกรี้ยวกราด เมื่อครู่ก็สุนัขตัวดำ แล้วคราวนี้ใครอีก?
พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน ถึงได้อยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไป?
“ฮึ่ม! เจ้าเป็นใครกัน กล้าดีอย่างไรถึงบุกรุกเข้ามาในตระกูลติงของข้า?” เขาเหาะเหินขึ้นไปยืนขวางร่างที่กำลังพุ่งเข้ามา
ตูม!
เมื่อร่างทั้งสองเข้าประชิดกัน เงาที่เพิ่งพุ่งเข้ามาก็ทำการตบเข้าที่ใบหน้าของติงหู่จนร่างลอยกระเด็นทะลุกำแพงที่อยู่ไม่ไกลทันที
อะไรกัน!
ติงหู่คือนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน ต่อให้จะยังเป็นเพียงหนึ่งนิพพาน แต่ตราบใดที่บรรลุระดับพลังนี้ได้ใครบ้างจะไม่ใช่อัจฉริยะที่ทรงพลัง? ทุกคนจ้องมองไปยังร่างที่เพิ่งปรากฏตัวด้วยท่าทางจริงจัง ภาพที่พวกเขามองเห็นคือชายชราผู้หนึ่งกำลังอุ้มรุ่นเยาว์อีกคนเอาไว้ในมือ ละลอกคลื่นพลังที่เกิดจากออร่าของชายชรานั้นรุนแรงราวกับคลื่นมหาสมุทร
“สี่นิพพาน!” เม่าไต้ ผู้อาวุโสสามนิพพานของตระกูลล้งและตระกูลต้วนอุทานออกมาพร้อมกัน
แต่เมืองธุลีจันทรามีตัวตนระดับสี่นิพพานเพียงแค่สามคนเท่านั้นคือประมุขของสามตระกูลใหญ่ ซึ่งชายชราผู้นี้ไม่ใช่หนึ่งในสามประมุขที่ว่าแน่นอน ถ้าเช่นนั่นแล้วเขาเป็นใครมาจากไหน?
หลิงฮันรู้ว่าชายชราผู้นี้คือใคร อีกฝ่ายต้องเป็นคนจากตระกูลหานที่ครั้งนี้มาเมืองธุลีจันทราพร้อมกับหานฉีอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสหาน ท่านมีโทสะเพราะเหตุอันใด?” ติงซานและติงซงรีบกล่าวทักทาย แน่นอนว่าทั้งสองย่อมต้องรู้จักชายชราผู้นี้เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนที่ถูกตระกูลหานส่งมาสืบสวนเมื่อครั้งก่อน
ชายชรามีชื่อว่าหานลู่ แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งของตระกูลหาน แต่สำหรับที่นี่เขาเปรียบได้ดั่งตัวตนที่ทรงพลังที่สุด
พรวด!
จู่ๆใครบางคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเนื่องจากมองเห็นว่าที่บริเวณก้นของหานลู่นั้นกางเกงบางส่วนได้ถูกฉีกขาดหายไป จากรูปทรงของรอยขาดแล้วมันต้องเป็นรอยกัดไม่ผิดแน่ เมื่อนำไปคิดรวมกับสุนัขตัวดำที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ คงเดาไม่ยากว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
หานลู่ถูกสุนัขกัดก้นและไล่ตามมันมาจนถึงที่นี่
หานลู่เมินเฉยติงซานและติงซง สายตาของเขากวาดผ่านมองหาสุนัขตัวดำ แต่ทว่าสุนัขตัวดำนั้นราวกับว่าได้ระเหยหายไปกับอากาศ ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่พบร่องรอยออร่าของมันเลยแม้แต่น้อย
“อ้ากก” ติงหู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งออกมาจากรูกำแพง เพียงแต่ร่างของเขาก็ต้องหยุดชะงักอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าคนที่ตบหน้าเขาคือหานลู่!
ความเกรี้ยวกราดของติงหู่สลายหายไปทันที ใบหน้าของเขาปรากฏถึงความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้จะอยากระบายความโกรธสักแค่ไหนแต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้
“เฒ่าชราบัดซบ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกล้าลงมือในตระกูลติงของข้า เจ้าแก่จนเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วสินะ?” ทันใดนั้นเสียงอันก้องกังวานก็ดังขึ้นมา
เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหลิงฮัน