เอ็มลินรู้สึกอย่างคลุมเครือว่า ทั้งเส้นทางธรณีและจันทราอาจมีความผิดปรกติแฝงอยู่ แต่มันมิได้ถามออกไปต่อหน้าอาร์ชบิชอปลอเรโต้
ถามไปก็คงไม่บอก… ไว้รอให้ถึงชุมนุมทาโรต์ครั้งถัดไปแล้วค่อยถามเดอะเวิร์ล แฮงแมน หรือคนอื่นๆ ดีกว่า… เอ็มลินพยักหน้ารับแผ่วเบา เป็นนัยว่าทราบความแตกต่างระหว่างคนโปรดและข้ารับใช้แล้ว
มันมิได้ไต่ถามจากเดอะฟูลโดยตรง เพราะรู้สึกว่าคำถามดังกล่าวไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้น ต้องไม่ลืมว่าดยุค มาร์ควิส และเอิร์ลผีดูดเลือดล้วนยังสุขสบายกันดี มิได้เผชิญผลข้างเคียงในแง่ลบอย่างที่โบสถ์พระแม่ธรณีแพร่กระจายข่าว
ในเวลาเดียวกัน ข้อมูลที่ได้รับจนถึงเมื่อครู่ทำให้เอ็มลินนึกถึงดวงจันทร์บรรพกาล ตัวตนซึ่งต้องสงสัยว่าอาจเป็นเทพมารหรือปีศาจระดับสูง และมีอิทธิพลอย่างมากในเส้นทางจันทรา ในอดีต ดวงจันทร์บรรพกาลเคยทำให้ผีดูดเลือดที่สวดวิงวอนถึงเกิดภาวะคลุ้มคลั่งคาที่ กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักแต่เพียงการสืบพันธุ์
เอ็มลินสงสัยว่านี่อาจเป็นหนึ่งในตัวตนชั่วร้ายซึ่งคอยส่งนิมิตและวิวรณ์เท็จ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีคำถาม ลอเรโต้เก็บเอกสารในมือพลางกล่าวต่อ
“ที่กล่าวไปข้างต้นคือปัญหาที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ… นอกจากนั้น ผมอยากให้คุณสร้างหน่วยพิเศษซึ่งมีแกนหลักเป็นผีดูดเลือด ขนาดทีมประมาณสามถึงห้าคน รับหน้าที่ดูแลคดีภายในกรุงเบ็คลันด์”
“โบสถ์รัตติกาลและวายุไม่คัดค้านเรื่องนี้หรือ” เอ็มลินซึ่งค่อนข้างเคร่งครัดกฎหมาย โดยมีความผิดอย่างมากไม่เกินการขโมยเลือดจากโรงพยาบาล ผุดคำถามตามสัญชาตญาณ
ลอเรโต้ยิ้มอ่อนโยนและเสริม
“นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาร้องขอมา… เนื่องจากหน่วยพิเศษของโบสถ์จักรกลไอน้ำถอนตัวออกไปเกือบทั้งหมด ผู้วิเศษทางการจึงค่อนข้างขาดแคลน… แม้ว่าโบสถ์รัตติกาลกับวายุจะจ้างสมาชิกจิตแห่งจักรกลและนักบวชระดับล่างซึ่งไม่ต้องการทิ้งเบ็คลันด์เข้าทำงาน แต่จำนวนก็ยังไม่ถือว่ามาก นอกจากนั้น กองกำลังหลักของทั้งสองโบสถ์ยังต้องคอยตามเก็บกวาดอิทธิพลจากฟุซัคในอาณานิคมทางทะเล ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการให้เราส่งความช่วยเหลือบางส่วน… สิ่งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี ทางเราจะได้รับโอกาสให้เผยแผ่คำสอนในโลเอ็นมากขึ้น แต่คุณห้ามลืมว่าอย่าเผยแผ่คำสอนจนเกินงาม พวกเราต้องสำรวมเหมือนกับโบสถ์จักรกลไอน้ำ แม้จำนวนสาวกจะยังน้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่มากก็ตาม อาจต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในหนึ่ง สอง หรือสามชั่วอายุคนจึงจะตามทัน”
อา แค่รักษาแนวโน้มในปัจจุบันเอาไว้ และพัฒนาไปข้างหน้าสักเล็กน้อยก็คงเพียงพอ… การเทศน์ช่างน่าเบื่อ… เอ็มลินถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ตอบเสียงขรึม
“ตกลง”
…
ทะเลโซเนีย เมืองแห่งการให้ บายัม
แต่งกายในชุดคลุมบิชอปปักลวดลายสายฟ้าและคลื่น ประดับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุซึ่งทำจากโลหะ อัลเจอร์กำลังยืนอยู่บนยอดเขาริมทะเล สายตาจดจ้องไปทางอีกฟากของป่าบนเกาะ
บริเวณดังกล่าวมีต้นไม้บางตา เนินเขาโดยรอบถูกปรับพื้นให้ต่ำลง เผยให้เห็นท่าเรือซึ่งเคยซ่อนอยู่
เป็นท่าเรือส่วนตัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของกลุ่มต่อต้าน แม้ขนาดจะเทียบไม่ได้กับท่าเรือบายัม แต่ก็เป็นท่าเรือขนาดกลางซึ่งรองรับผู้คนและเรือได้เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบัน มีการสร้างเมืองอันเป็นเอกลักษณ์และดูแข็งแรงทนทานใกล้กับท่าเรือ เมืองดังกล่าวไม่ใหญ่นัก อาจมีขนาดเพียงราวหนึ่งในห้าของบายัมหรือน้อยกว่านั้น
ใจกลางเมืองเป็นหอคอยคู่สีเงิน หนึ่งหลังคาโดม หนึ่งหลังคาแหลม สะท้อนแสงระยิบระยับภายใต้ดวงอาทิตย์
รอบหอคอยคู่มีการทำถนนซีเมนต์ ปลายทางนำไปสู่อาคารซึ่งสร้างจากหิน หรือไม่ก็เชื่อมกับจัตุรัสกว้างและลานฝึก มีการปลูกต้นไม้สีเขียวไว้ตามแนวถนน มอบความรู้สึกของอารยธรรม
อัลเจอร์ทราบดี เมืองดังกล่าวไม่ใช่มีเพียงชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ยังรวมถึงชาวเมืองจันทรา
ในรายหลัง มีชาวเมืองจำนวนไม่น้อยพิการทางรูปลักษณ์และไม่อยากติดต่อกับชาวบายัมหรือเมืองข้างเคียงบนเกาะในระยะนี้ จึงซื้อสินค้าและข้าวของผ่านชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เท่านั้น
กล่าวกันว่า พวกมันวางแผนจะสร้างเมืองของตัวเองลึกเข้าไปในป่า และสร้างถนนมาเชื่อมกับเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่
พวกเขาล้วนเป็นสาวกของมิสเตอร์ฟูล เราต้องค่อยๆ ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันภายในหมู่เกาะรอสต์… สำหรับตอนนี้ เรายังไม่ควรไปรบกวนผู้พิการ และทำได้แค่แนะนำให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ นำชาวเมืองจันทราบางส่วนที่ไม่พิการเข้าไปเที่ยวในบายัมเป็นครั้งคราว… อัลเจอร์ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าตนควรทำสิ่งใดต่อ
หลังจากช่วยชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทราตั้งรกรากใหม่ อัลเจอร์ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจที่มิสเตอร์ฟูลมอบหมายแล้ว แต่มันทราบดี ตนยังห่างไกลจากการแลกเปลี่ยนกับตัวตน อำนาจ และสถานะของเทพสมุทรอยู่มาก ดังนั้น มันจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากเหตุการณ์ ‘การอพยพครั้งใหญ่’
ด้วยความสัตย์จริง สิ่งที่อัลเจอร์กังวลมากที่สุดก็คือ มิสเตอร์ฟูลจะไม่มอบหมายงานใหม่ให้ หากเป็นเช่นนั้น มันคงไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะสร้างคะแนนผลงานถึงเป้า
ในระหว่างที่ช่วยสร้างเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่และได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่ง อัลเจอร์เริ่มวิตกกังวล
ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทรามีลำดับ 4 มากกว่าหนึ่งคน ทุกคนล้วนเป็นสาวกผู้ซื่อสัตย์ของมิสเตอร์ฟูล จึงมีโอกาสที่มิสเตอร์ฟูลจะมอบตัวตน อำนาจ และสถานะของเทพสมุทรให้กับหนึ่งในนั้น!
เมืองเงินพิสุทธิ์มีสมบัติปิดผนึกระดับ 0 สองชิ้น มีนักบุญลำดับ 3 หนึ่งคน ลำดับ 4 สามคน สมบัติปิดผนึกระดับ 1 เกือบสิบชิ้น และตะกอนพลังอีกจำนวนหนึ่งซึ่งถูกใช้ทดแทนสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ชั่วคราว… เมืองจันทรามีครึ่งเทพสามคน สมบัติปิดผนึกระดับ 1 ห้าชิ้น และสูตรโอสถอีกจำนวนมาก… นี่มัน… อัลเจอร์ตรวจสอบเบื้องต้นและพบว่า สาวกของมิสเตอร์ฟูลทั้งสองกลุ่มค่อนข้างทรงพลังทีเดียว
หากทั้งสองเมืองผนึกกำลังกัน ความแข็งแกร่งจะทัดเทียมหนึ่งในสี่ของโบสถ์วายุสลาตัน!
เท่าที่พระคาร์ดินัลอัลเจอร์ทราบ โบสถ์ของเทพจารีตจะมีสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ตั้งแต่ห้าถึงแปดชิ้น มีเทวทูตเดินดินไม่เกินสี่ตน เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมสูงกว่าเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทราหลายเท่า
ทว่า หากวัดกันในแง่สมบัติปิดผนึกลำดับ 1 และจำนวนนักบุญ ทั้งสองเมืองดูด้อยกว่าไม่มาก โดยเฉพาะอย่างหลัง
แม้จะมีการบ่มเพาะนักบุญเป็นจำนวนมากในระยะหลัง แต่เนื่องจากเพิ่งผ่านสงครามเต็มรูปแบบที่เกือบปราชัย จำนวนของนักบุญของโบสถ์วายุสลาตันจึงมีไม่เกินยี่สิบ
ศาสนจักรเทพสมุทรยังไม่มีครึ่งเทพ แต่อีกไม่นานจะมี ‘เทพสมุทร’ คนใหม่ปรากฏตัว… บริวารใกล้ชิดของมิสเตอร์ฟูลประกอบด้วยเดอะเวิร์ล กงสุลมรณะ และเทวทูตจากเส้นทางโชคชะตา… นอกจากนั้นยังมีนักบุญอีกหลายคนจากชุมนุมทาโรต์… ยิ่งครุ่นคิด อัลเจอร์ยิ่งตกตะลึง ขณะเดียวกันก็พบว่าตนมองข้ามประเด็นนี้มาตลอด
บางทีอาจเป็นเพราะความใกล้ชิดเกินไป หรือไม่ก็เกิดจากความตกตะลึงอย่างต่อเนื่องจนชาชิน อัลเจอร์เพิ่งได้ตระหนักเมื่อสายในวันนี้เองว่า:
โดยไม่รู้ตัว ขุมพลังของมิสเตอร์ฟูลได้พัฒนาไปจนทัดเทียมกับโบสถ์เจ็ดเทพจารีตแล้ว แม้จะมีช่องว่างที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่นั่นเกิดจากการขาดแคลนปัจจัยด้านอายุศาสนาและประวัติศาสตร์
แต่ต้องไม่ลืมว่า อัลเจอร์เพิ่งเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ยังไม่ถึงสามปี!
ถ้าไม่ได้เผชิญด้วยตัวเอง เราจะไม่มีวันเชื่ออย่างแน่นอน… อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ กระตือรือร้นที่จะทำบางสิ่งให้มิสเตอร์ฟูล เพื่อแลกกับตัวตน อำนาจ และสถานะของเทพสมุทรโดยเร็ว
เมื่อถึงตอนนั้น มันจะได้ตั้งเป้าหมายไปยัง ‘หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ’ เพื่อทำตามคำสัญญาที่ไว้ให้กับราชินีเอลฟ์โคฮีเน็ม
ถอนสายตากลับ อัลเจอร์ชำเลืองไปทางเชิงเขาใกล้กับบายัม และพบว่าเมืองซึ่งไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามมากนัก ค่อยๆ กลับมาคึกคักและสดใสตามเดิม สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในทะเลโซเนีย
ปัจจุบัน นักบวช บิชอปและสาวกของโบสถ์วายุสลาตันกำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่และโบสถ์เทพสมุทร เพื่อสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาลสำหรับเด็กยากจนบนเกาะ คอยมอบการศึกษา การรักษาพยาบาล และความช่วยเหลือขั้นพื้นฐาน
ขณะอัลเจอร์มองดูผู้คนเดินเตร็ดเตร่ไปมาบนท้องถนนประหนึ่งมด มองดูอาคารสีสดใสซึ่งแตกต่างจากสไตล์ปรกติของโลเอ็น มุมปากของมันยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคลายออก
มันหรี่ตาลง ไม่มีใครทราบว่าอัลเจอร์กำลังประสบหรือเพลิดเพลินไปกับสิ่งใด
ปัจจุบัน สายหมอกสีเทาปรากฏขึ้นตรงหน้า
ตามด้วยภาพของวังโบราณและร่างซึ่งถูกสายหมอกบดบัง รวมถึงคำพูดของมิสเตอร์ฟูล:
“ภารกิจใหม่… เฝ้าจับตามองชายที่ชื่อเวอร์ดู·การ์เซีย”
พร้อมกันกับวิวรณ์ ข้อมูลจำนวนมากพรั่งพรูเข้ามาในสมองอัลเจอร์จนมันทราบสถานการณ์ที่แน่ชัดของเวอร์ดู·การ์เซีย
อีกฝ่ายเป็นคนของตระกูลอับราฮัมแต่ปิดบังตัวตน ไม่นานมานี้เพิ่งเดินทางออกจากอ่าวเดซีย์มายังหมู่เกาะรอสต์
“สุดแล้วแต่ท่าน” อัลเจอร์ขานรับแข็งขัน ก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม
…
ผ่านการสวดวิงวอนของโดเรียน·เกียร์ ไคลน์ได้ทราบว่าเวอร์ดู·การ์เซีย·อับราฮัมเดินทางออกจากทวีปเหนือมายังหมู่เกาะรอสต์
และยังทราบดีว่า บุรุษนามเวอร์ดูกระตือรือร้นที่จะช่วยมิสเตอร์ประตู ทำให้ราชาเทวทูตรายนี้ได้กลับมายังโลกความจริง
ก่อนหน้านี้ ไคลน์เคยบอกให้มิสเมจิกเชี่ยนอธิบายหนึ่งในสองพิธีกรรมสำหรับช่วยเหลือมิสเตอร์ประตูกับสมาชิกตระกูลอับราฮัม ก็เพื่อขจัดปัญหาด้านความเชื่อใจระหว่างทั้งสองฝ่าย – หากพยายามปิดบังหรือโกหกว่าต้องตามล่าเทวทูต คนตระกูลอับราฮัมจะต้องเกิดความคลางแคลงในตัวฟอร์สแน่ และจะหาวิธีอื่นในการติดต่อกับมิสเตอร์ประตูด้วยตัวเองเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง
และเมื่ออีกฝ่ายค้นพบความจริงซึ่งถูกปกปิด ไคลน์จะสูญเสียการควบคุมตระกูลอับราฮัมทันที หมดโอกาสในการป้องกันปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ
หากเป็นในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้า ไคลน์คงไม่กังวลมากนัก ทว่า ยิ่งวันสิ้นโลกขยับเข้ามาใกล้ การแทรกแซงจากเทพภายนอกก็ยิ่งทวีความรุนแรง มีโอกาสไม่น้อยที่สมาชิกตระกูลอับราฮัมจะบังเอิญค้นพบวัตถุหรือพิธีกรรมที่ถูกต้อง
ดังนั้น ไคลน์เชื่อว่าการยอมเปิดเผยพิธีกรรมซึ่งมีระดับความยากสูง จะช่วยให้ตนได้รับความไว้วางใจจากคนส่วนมากของตระกูลอับราฮัม ช่วยให้อีกฝ่ายศรัทธามิสเตอร์ฟูลอย่างแรงกล้ามากขึ้น จากนั้น ผ่านสาวกที่ภักดี ไคลน์จะคอยจับตามองกลุ่มคนซึ่งมีพฤติกรรมสุดโต่งของตระกูลและเข้าแทรกแซงได้ทันเวลา
………………………………