แคว้นเลียบทะเล เมืองลิมอน
จัสมินพันผ้าพันคอรอบใบหน้าและเดินออกจากประตูหอพัก
เธอได้ยินว่างานเทศกาลประจำปีของเมืองลิมอนเริ่มขึ้นแล้ว จึงอยากเดินทางไปยังจัตุรัสเทศบาล
เนื่องจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเกินสงคราม จัสมินผิดจึงหวังอย่างมากที่ทางเมืองพลาดการจัดงานเทศกาล และในภายหลังเธอยังได้บาดแผลทางใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต จนทำให้กลายเป็นคนเก็บตัวและไม่กล้าออกไปข้างนอก
บางที อาจเป็นเพราะเก็บตัวนานเกินไป และด้วยสภาพแวดล้อมอันคับแคบของหอพักเช่า ในระยะหลังจัสมินเริ่มอยากออกนอกบ้านมากขึ้น อยากเดินไปไหนมาไหนเหมือนเมื่อก่อน
หลังจากชำเลืองสายตาเล็กน้อย เธอมองตัวเองสะท้อนผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ของร้านค้าริมถนน
ทั้งตัวดำสนิทโดยปราศจากสีอื่น เดรสยาวถึงข้อเท้า หมวกตาข่ายปกปิดครึ่งใบหน้า ใต้ตาถึงลำคอพันด้วยผ้าหลายรอบ มือทั้งสองข้างสวมถุงมือถักจากขนสัตว์
แตกต่างจากบุคลิกอันสดใสร่าเริงในความทรงจำของจัสมิน
ในสงครามก่อนหน้า กระสุนปืนใหญ่ได้ตกใส่บ้านของจัสมินซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่ เธอถูกเผาที่ใบหน้าและตามร่างกายอีกหลายจุด
หากไม่ใช่เพราะค่อนข้างโชคดี จัสมินคงตายไปแล้วด้วยอาการบาดเจ็บดังกล่าว อย่างไรก็ดี หญิงสาวกลับรู้สึกว่าชีวิตของตนได้จบลงแล้วนับตั้งแต่วินาทีนั้น
จมูกของเธอถูกไฟไหม้โดยสมบูรณ์ เหลือเพียงหลุมดำสองรูบนใบหน้า นอกจากนั้นยังมีรอยแผลเป็นอีกหลายตำแหน่งตามใบหน้า ลำคอ และฝ่ามือ หากเดินท่ามกลางความมืดโดยไม่ปกปิด การจะถูกมองว่าเป็นปีศาจก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ประสบการณ์หนึ่งซึ่งจัสมินจำได้ชัดเจนก็คือ ในคืนแรกที่ย้ายเข้าหอพักปัจจุบัน เธออาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะก่อนเข้านอน แต่ขณะกำลังเดินไปตามทาง จัสมินได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง และอีกฝ่ายก็เห็นเธอเช่นกัน
ภายใต้แสงจันทร์สีแดง ชายหนุ่มคนดังกล่าวเผยสีหน้าหวาดผวาสุดขีด ราวกับพร้อมจะกรีดร้องและวิ่งหนีไปทุกเมื่อ
ผ่านไปสักพัก อีกฝ่ายเริ่มควบคุมตัวเองได้ แต่ก็ทำเพียงเดินฉากหลบและผ่านไปโดยไม่หันกลับมามองจัสมินอีก
เหตุการณ์ดังกล่าวทำร้ายหัวใจอันเปราะบางจองจัสมินอย่างหนักหน่วง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอไม่กล้าออกไปข้างนอกอีกเลย แม้กระทั่งการอาบน้ำก็จะต้องรอให้ถึงกลางดึก
ในแง่นี้ เธอรู้สึกขอบคุณพ่อและแม่อย่างมาก ทั้งสองไม่ปริปากบ่นหรือตัดพ้อ ยังคงทำงานหนักเพื่อพยุงครอบครัว อาศัยเงินเก็บเก่าและเงินจากงานใหม่ก็เพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวเดินต่อไปข้างหน้า จัสมินไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้าน
เดินไปได้สักพัก จัสมินมองเห็นสถานที่จัดงานเทศกาล – จัตุรัสเทศบาลเมืองลิมอน
ที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอารมณ์ บรรยากาศสนุกสนานรื่นเริงทำให้จัสมินเดินช้าลงโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่กล้าเข้าใกล้ กลัวใครมองว่าแต่งตัวประหลาด กลัวจะเผลอทำผ้าพันคอหลุด
หลังจากลังเลสักพัก หญิงสาวหยุดเดินโดยสมบูรณ์ เปลี่ยนไปหาที่นั่งสะอาดริมถนน จ้องมองจัตุรัสเทศบาลอย่างไม่ละสายตา
ผ่านไปผ่านแค่ไหนไม่มีใครทราบ จัสมินตระหนักว่ามีใครบางคนอยู่ด้านข้าง
เป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำและหมวกทรงสูง คล้ายกับนักมายากลจากคณะละครสัตว์
จัตุรัสเทศบาลอยู่ทางโน้นค่ะ… จัสมินอยากจะช่วยเตือน แต่หลังจากขยับริมฝีปากสองสามหน ยังคงไม่มีเสียงใดเล็ดลอด
เธอไม่กล้าและไม่อยากคุยกับใคร
อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มคนดังกล่าวเป็นฝ่ายเดินเข้าหาด้วยตัวเอง อีกฝ่ายถอดหมวกทรงสูงพลางโน้มตัวลง:
“คุณหนู… รู้ไหมว่าเครื่องนี้มีไว้ทำอะไร”
เครื่อง? จัสมินเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองตามสายตาของชายหนุ่มไปทางด้านข้าง
ใต้โคมไฟแก๊สริมถนน มีเครื่องจักรขนาดเล็กคล้ายตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ได้สักพักแล้ว
พื้นผิวเป็นสีทองเหลือง ฝังกระจกใสสองสามแผ่น เผยให้เห็นเฟือง ตลับลูกปืน หมุดตอก ท่อโลหะ และกลไกอีกหลายชิ้น ลักษณะคล้ายกับถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบ
จัสมินถอนสายตากลับ ส่ายหน้าเป็นนัยว่าเธอไม่ทราบเกี่ยวกับเครื่องจักรชิ้นนี้
ในเวลาเดียวกัน เธอแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะไม่สนทนาต่อ
“ชื่อของมันคือ ‘เครื่องแจกพรอัตโนมัติ’” ชายหนุ่มแนะนำด้วยรอยยิ้ม “เป็นสิ่งประดิษฐ์ของผมเอง ตามชื่อของมัน สิ่งนี้สามารถเติมเต็มความปรารถนาของผู้ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ… จริงสิ ลืมแนะนำตัวเอง ผมคือเมอร์ลิน·เฮอร์มิส นักมายากลพเนจร”
เครื่องแจกพรอัตโนมัติ… จัสมินตระหนักว่าเธอเข้าใจในทุกคำ แต่เมื่อรวมเป็นวลี เธอกลับไม่เข้าใจอะไรเลย
“จะลองดูก็ได้นะ ในฐานะลูกค้าคนแรก ผมไม่คิดเงิน” ไคลน์ในร่างเมอร์ลิน·เฮอร์มิท กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
จัสมินส่ายหน้า ปฏิเสธการสื่อสาร
ไคลน์ไม่ยอมแพ้ ยังคงจ้องเธอพลางกล่าว
“ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถขอพรให้กลับไปมีร่างกายแบบเดิมได้”
คำพูดดังกล่าวเปรียบดังศรแหลมคมซึ่งปักเข้าหัวใจจัสมินอย่างจัง หญิงสาวรีบลุกขึ้นด้วยความลนลานและเดินจากไป
เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายคงเคยเห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของตนมาก่อน
“ถ้าไม่ลอง แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าความปรารถนาดังกล่าวเป็นจริงไม่ได้? ผมไม่ได้คิดเงินสักหน่อย” ไคลน์กล่าวอย่างไม่รีบร้อนขณะมองแผ่นหลังของหญิงสาว
ฝีเท้าจัสมินค่อยๆ ช้าลงจนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด
หากสามารถเปลี่ยนกลับเป็นคนเดิมได้ แม้ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ก็เธอยินดีที่จะไขว่คว้า
อย่างไรก็ดี หญิงสาวรู้อยู่เต็มอกว่า ความปรารถนาของเธอมิอาจบรรลุได้ด้วยเงินทอง
เราไม่เสียอะไร… ทดลองใช้ฟรี… ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ… ความคิดจัสมินเริ่มสับสนอลหม่าน เธอบรรจงหมุนตัวกลับอย่างเชื่องช้าประหนึ่งได้ยินเสียงกระซิบจากปีศาจ
“เป็นความจริงหรือ…” หญิงสาวถามเสียงสั่น
ไคลน์ชี้ไปทางเครื่องจักร
“ผมจะถอยหลังไปประมาณสิบเมตร สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงโยกคันโยกที่เครื่องจักร… ไม่จำเป็นต้องถอดหมวกและผ้าพันคอ”
ประโยคทิ้งท้ายทำให้จัสมินตัดสินใจได้รวดเร็ว:
“ตกลง”
หลังจากเมอร์ลิน·เฮอร์มิสถอยห่างออกไป จัสมินเดินเข้าใกล้คันโยกตรง ‘บานประตู’ ด้วยความระมัดระวัง
เธอแอบกังวลว่าตนจะโดนกลั่นแกล้งหลังจากโยกคันโยก เช่นการถูกน้ำสาดใส่หน้า – นี่คือเหตุการณ์ปรกติในงานเทศกาล เธอและเพื่อนๆ มักหยอกล้อกับผู้อื่นเช่นนี้เสมอ แต่เพื่อแลกกับการเติมเต็มความปรารถนา หญิงสาวยอมเสี่ยง
ต่อให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย ความปรารถนาไม่ถูกเติมเต็ม แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ได้เข้าร่วมงานเทศกาล
“อย่าลืมขอพรก่อนโยกมัน” ไคลน์เตือนจากตำแหน่งไม่ไกล
จัสมินสงบจิตใจ เปล่งความปรารถนาเสียงแผ่ว
“ฉันอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมก่อนที่จะถูกไฟคลอก”
กล่าวจบ หญิงสาวโยกคันโยกด้วยความประหม่าเจือคาดหวัง
วินาทีถัดมา ประตูของเครื่องแจกพรอัตโนมัติได้เปิดออก ไม้เท้าสีไม้ซึ่งดูธรรมดายื่นออกมาสัมผัสกับหน้าผากหญิงสาว
สิ่งที่จัสมินไม่ทันสังเกตเห็นก็คือ บนนิ้วมือของเธอกำลังสวมแหวนทองคำเลี่ยมทับทิม
เมื่อไม้เท้าสีไส้หดกลับเข้าไปในเครื่องแจกพรอัตโนมัติ แหวนทองคำเลี่ยมทับทิมก็หายไปด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงฟันเฟืองหมุน จัสมินเห็น ‘ประตู’ ของเครื่องจักรบรรจงปิดตัว
เสร็จแล้ว? หญิงสาวครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย
เธอไม่ได้รู้สึกว่าการขอพรสมหวัง แต่ก็ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้ง มีเพียงบรรยากาศที่ดูแปลกไปจากปรกติ
“ขอแสดงความยินดี ความปรารถนาของคุณถูกเติมเต็มแล้ว” ไคลน์เดินกลับพลางปรบมือแผ่วเบา ทำตัวประหนึ่งเป็นผู้ชมมายากล
ความปรารถนาของเราถูกเติมเต็ม… จะเป็นไปได้ยังไง… ขณะจัสมินผุดความคิด เธอสัมผัสถึงบางสิ่งใต้ผ้าพันคอ
ในตำแหน่งซึ่งเคยมีเพียงหลุมดำสองรู มีบางสิ่งงอกขึ้นมา!
จัสมินลังเลสักพักก่อนจะบรรจงเลื่อนมือขึ้น ลูบไล้ใบหน้าของตนแผ่วเบาและสัมผัสถึงการมีอยู่ของจมูก
ลักษณะการหายใจที่เปลี่ยนไปคือเครื่องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้
หญิงสาวรีบหันหลังกลับ เป็นการหันหน้าเข้าหาเครื่องแจกพรอัตโนมัติ จากนั้นก็รีบเดินไปยังร้านค้าริมถนน สายตาจดจ่ออยู่กับภาพสะท้อนบนกระจกโดยอาศัยความช่วยเหลือจากแสงโคมไฟแก๊ส
ถัดมา เธอคอยๆ ปลดผ้าพันคอออกจากใบหน้า
ดวงตาซึ่งไม่ใหญ่นัก จมูกที่ไม่ได้เป็นทรงสวย ริมฝีปากไม่อวบอิ่ม และใบหน้าแต้มกระเล็กน้อย กำลังสะท้อนลงบนผิวกระจกหน้าต่าง
จัสมินเลื่อนมือขึ้นมาปิดปากโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเริ่มชุ่มชื้น
ไม่กี่วินาทีถัดมา หญิงสาวยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดใบหน้า จากนั้นก็หันกลับไปมองเมอร์ลิน·เฮอร์มิสและกล่าว
“คุณเป็นเทพหรือ”
“ก็แค่นักมายากลพเนจรผู้ชอบสร้างปาฏิหาริย์” ไคลน์ยิ้มพลางชี้ไปทางเครื่องจักรด้านข้าง “สิ่งที่คุณควรขอบคุณมากที่สุดคือเจ้านี่ เครื่องแจกพรอัตโนมัติ”
“อัตโนมัติ…” จัสมินพึมพำซ้ำไปมาโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์พยักหน้า
“ใช่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก มันสามารถเดินเครื่องและแจกพรได้ด้วยตัวเอง… ให้จินตนาการว่าเป็นมิเตอร์แก๊ส เพียงแค่หยอดเหรียญ คุณก็จะได้รับการเติมเต็มความปรารถนาเหมือนกับการได้รับแก๊ส… ขั้นตอนการใช้งานไม่ซับซ้อน แค่หยอดเหรียญหนึ่งเพนนีและขอพร จากนั้นก็โยกคันโยก… จงจำไว้ว่า ขอพรได้มากที่สุดแค่สามข้อ”
ขณะอธิบาย ไคลน์จิกกัดตัวเองในใจ:
หากวันใดเราถึงคราวต้องตายและกลายเป็นสมบัติปิดผนึก หวังว่าจะได้เป็นสิ่งที่คล้ายกับเครื่องแจกพรอัตโนมัติเครื่องนี้…
หลังออกจากเมืองคอนสแตน เมืองหลวงของแคว้นเลียบทะเล ไคลน์ได้เปลี่ยนวิธีแจกพรผู้คนเพื่อไม่ให้ตัวเองเบื่อหน่าย:
คนเราต้องเรียนรู้ที่จะสนุกไปกับงานอันน่าเบื่อ!
อัศจรรย์มาก… จัสมินแทบมิอาจหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกในปัจจุบัน
ความกังวลภายในใจหญิงสาวสงบลงอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ… แล้วเครื่องแจกพรอัตโนมัติจะตั้งอยู่ตรงนี้ตลอดไปไหมคะ?” จัสมินถามด้วยความลังเล
ไคลน์ยิ้ม:
“ไม่… อาจอยู่สักสามวัน หรืออาจไม่ถึง เช้าวันพรุ่งนี้อาจหายไปแล้วก็ได้… แต่มันจะไม่หายไปตลอดกาล ในสักวัน คุณอาจเห็นมันตั้งอยู่ที่มุมถนนสักแห่ง”
ความสับสนเริ่มก่อตัวภายในใจจัสมินจนยากจะจำแนกความคิด เธอทำได้เพียงโค้งศีรษะคำนับอย่างเคร่งขรึม:
“ขอบคุณมากค่ะ คุณเครื่องแจกพรอัตโนมัติ”
จากนั้น เธอหันมาคำนับไคลน์
“ขอบคุณค่ะ มิสเตอร์เฮอร์มิส”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง จัสมินหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเมอร์ลิน·เฮอร์มิส จึงถามด้วยความคาดหวังปนเขินอาย:
“ขอพรได้สามข้อใช่ไหมคะ?”
“ใช่ แต่ครั้งถัดไปไม่ฟรีนะ คุณต้องหยอดเหรียญ” ไคลน์ตอบด้วยท่าทีเป็นมิตร
………………………