การปรากฏตัวของติงเหยาหลงทำให้หานลู่ไม่กล้าผลีผลามลงมืออีกต่อไป
แม้ติงเหยาหลงจะเป็นนิรันดร์สี่นิพพานของตระกูลอ่อนแอและทักษะระดับนิรันดร์ของอีกฝ่ายก็เทียบกับทักษะจากขุมอำนาจสามดาวอย่างตระกูลหานไม่ได้ แต่การที่อีกฝ่ายสามารถบรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพานได้ทั้งๆที่อยู่ในขุมอำนาจอ่อนแอนั้น แสดงให้เห็นว่าติงเหยาหลงมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเพียงใด ซึ่งอาจจะทดแทนความต่างของทักษะนิรันดร์ได้
อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม
หานลู่จ้องมองติงเหยาหลงอย่างเย็นชาโดยไม่คิดจะพล่ามอะไร หากเขารับมืออีกฝ่ายไม่ไหวจริงๆเขาก็จะกลับตระกูลหานเพื่อรายงานให้ผู้อาวุโสระดับแบ่งแยกวิญญาณเคลื่อนไหว
“พี่ชายหาน มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า?”ติงเหยาหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ด้วยการที่พวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ ตราบใดที่ตระกูลติงไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวตระกูลหาน
หากตระกูลติงและตระกูลหานมีความบาดหมางต่อกันก็ว่าไปอย่าง แต่หากตระกูลหานคิดจะรังแกพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียว ตระกูลฟู่ย่อมไม่มีวันนิ่งเฉย
“เข้าใจผิด… ฮึ่ม เข้าใจผิดงั้นรึ!” หานลู่โมโห นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนลิงหรืออย่างไร?
ติงเหยาหลงเป็นคนฉลาดที่อ่านสถานการณ์ได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดจู่ๆหานลู่ถึงได้เกรี้ยวกราดขึ้นมา?
อีกฝ่ายโกรธถึงขนาดลงมือทำลายแผ่นจารึกดวงวิญญาณของตระกูลติง
“พี่ชายหานโปรดสงบสติอารมณ์ก่อน ข้าจะเป็นคนพาท่านออกจากเมืองธุลีจันทราให้เอง!”
ต่อให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดของตระกูลหาน ติงเหยาหลงก็ไม่กล้าล่วงเกินหานลู่ เขาทำได้เพียงขอให้อีกฝ่ายออกจากเมืองนี้ไปอย่างสันติเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้
“ฮ่าๆๆๆ!” หานลู่หัวเราะ “ตระกูลติงของเจ้าช่างหาญกล้านัก เป็นเพียงขุมอำนาจอ่อนด้อยระดับโลกียนิพพานแท้ๆ แต่กลับกล้าท้าทายตระกูลหานของข้า! ข้าขอนับถือพวกเจ้าเลยจริงๆ”
เขากล่าวชื่นชมในขณะที่เผยสีหน้าอันเกรี้ยวกราดและเหยียดหยาม
สีหน้าของติงเหยาหลงเปลี่ยนเป็นมืดมน เจ้าทำลายวิหารบรรพบุรุษตระกูลติงของข้าแล้วยังสบถเหยียดหยามพวกข้าอีก? ต่อให้เจ้ามาจากขุมอำนาจสามดาวก็ไม่มีสิทธิ์มารังแกคนอื่นเช่นนี้!
“ข้าคงต้องขอเสียมารยาท!” ติงเหยาหลงลงมือเพื่อบังคับให้หานลู่ออกจากเมืองนี้ไป
แต่ก็แน่นอนว่าหานลู่ย่อมไม่ยินยอม เขาลงมือต่อต้านและปะทะกับติงเหยาหลงอย่างดุเดือด
ทั้งสองคนคือปรมาจารย์ระดับสี่นิพพานเหมือนกัน แต่ในแง่ของพลังต่อสู้ติงเหยาหลงเป็นฝ่ายเหนือกว่าหนึ่งขั้น เนื่องจากด้วยพรสวรรค์ของเขานั้นหากได้อยู่ในขุมอำนาจระดับสามดาว ต่อให้จะบรรลุระดับขอบเขตตำหนักอมตะไม่ได้ แต่ก็ต้องบรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณเป็นอย่างน้อย
แต่ปัญหาก็คือที่นี่คือวิหารบรรพบุรุษของตระกูลติง ถึงแม้หลายๆส่วนจะถูกทำลายไปแล้วก็ยังมีสมาชิกตระกูลติงมากมายที่อยู่ที่นี่ ติงเหยาหลงจึงไม่กล้าโจมตีด้วยพลังทั้งหมด
แต่ในด้านของหานลู่นั้นเขาไม่ออมมือแม้แต่น้อยและปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
ยิ่งการต่อสู้เริ่มลุกลาม ตัวตนระดับสี่นิพพานของอีกสองตระกูลอย่างตระกูลล้งและตระกูลต้วนก็ต้องปรากฏตัวเพื่อเกลี้ยกล่อม
ไม่ว่าจะอย่างไรที่นี่ถือว่าเป็นอาณาเขตของเมืองธุลีจันทรา หากมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ทั้งสามตระกูลย่อมต้องรับผิดชอบร่วมกัน
เมื่อมีนิรันดร์ระดับสี่นิพพานอีกสองคนเข้ามาแทรกแซง หานลู่จึงรับไม่ไหวและต้องยอมหยุดมือ เขากวาดสายตาเย็นชามองไปยังนิรันดร์สี่นิพพานทั้งสามคนก่อนจะกล่าว “ดี… ดีมาก พวกเจ้าทั้งหมดคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลหานสินะ?”
“พี่ชายหาน ระหว่างพวกท่านกับตระกูลติงมีความบาดหมางอะไรกันแน่?” ประมุขตระกูลล้งเอ่ยถามอย่างสุภาพ
หานลู่เอ่ยตอบ “เจ้าถามเขาเองสิ!” เขาชี้ไปยังติงเหยาหลง
ถามข้า?
ติงเหยาหลงมึนงง ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มทำลายวิหารบรรพบุรุษของตระกูลข้าก่อนหรอกรึ? ต่อให้ถามข้าแล้วข้าจะรู้รึไงว่าเจ้าโมโหเรื่องอะไร? เขาสะบัดแขนเสื้อพร้อมกับกล่าว “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ที่ข้ารู้มีเพียงท่านเกือบจะทำลายตระกูลติงของข้า!”
หานลู่อยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆร่างของเขาก็หยุดชะงักและชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเกรี้ยวกราดจนมือสั่น “ดี! ดีมาก! พวกเจ้าวางแผนกันเอาไว้เป็นอย่างดีเลยสินะ!”
หมายความว่าอย่างไร?
ติงเหยาหลงและประมุขสองตระกูนหันไปมองยังทิศทางที่นิ้วของหานลู่ชี้ไป แต่นอกจากร่างของสุนัขตัวดำที่ยืนอยู่กับใครบางคนแล้ว พวกเขาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด
ความโกรธของหานลู่ทะยานสูงขึ้นกว่าเดิม
หลิงฮันคือคนร้ายที่สังหารหานฉี แถมตอนนี้เขายังยืนอยู่ข้างสุนัขตัวดำที่กัดก้นของเขาอีกด้วย! นี่หมายความว่าอะไรน่ะรึ? มันหมายถึงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นแผนการของตระกูลติง!
“ข้าจะสู้กับเจ้าจนตัวตาย!” หานลู่คำรามและกระหน่ำโจมตีใส่ติงเหยาหลงด้วยแววตาแดงฉาน
ถึงแม้ติงเหยาหลงจะสับสนและไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะยั้งมือเขาก็ต้องทำการตอบโต้กลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งมีประมุขตระกูลล้งและตระกูลต้วนเข้ามาแทรกแซงด้วยแล้ว เรื่องราวปั่นป่วนขึ้นไปใหญ่
ในระยะที่ห่างออกไป เม่าไต้กำลังยืนมองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เขามั่นใจเกินแปดส่วนว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องเป็นแผนการของหลิงฮันแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหลิงฮันทำให้หานลู่เกิดความเกลียดชังต่อตระกูลติงได้อย่างไร เดี๋ยวก่อน… จะว่าไปทำไมหลิงฮันถึงได้เข้าร่วมตระกูลติงกันล่ะ?
จู่ๆเม่าไต้ก็นึกถึงเหตุผลที่ว่าทำไมตระกูลหานถึงมาตระกูลติงหลายต่อหลายครั้ง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับใดๆ ตระกูลหานเคยกล่าวเอาไว้ว่าสมาชิกตระกูลหานของพวกเขาคนหนึ่งถูกสังหารในโลกบรรพกาล ซึ่งคนร้ายก็คือคนของตระกูลติง
ถ้าหากว่าหลิงฮันคือคนร้ายที่ว่าล่ะ? หากเป็นเช่นนี้เรื่องทั้งหมดก็จะลงตัวทันที
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอยู่ดีว่าหลิงฮันไปอยู่ที่โลกบรรพกาลได้อย่างไร เพราะอย่างที่รู้ว่าการจะไปที่นั่นได้จำเป็นต้องมีการช่วยเหลือจากตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณที่แข็งแกร่ง
หานลู่โจมตีอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถต่อกรกับประมุขทั้งสามได้ การต่อสู้จึงกลับมาหยุดนิ่งอีกครั้ง
“ท่านประมุข!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆติงซานและติงซงก็ลอยเข้ามา ที่พวกเขาไม่มาให้เร็วกว่านี้ก็เพราะการต่อสู้เมื่อครู่รุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าใกล้ได้
“มีอะไร?” ติงเหยาหลงกล่าวอย่างเย็นชา
“เรื่องราวทุกอย่างต้องเป็นเพราะเจ้าหนูนั่นแน่!” ทั้งสองคนชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน ก่อนหน้าพวกเขาเองก็สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้พอได้เห็นหลิงฮันยืนอยู่กับสุนัขตัวดำแล้ว พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ขึ้นมากว่าครึ่ง
หากสุนัขตัวดำไม่นำพาติงหู่ผ่านมาที่นี่ มีรึที่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น? ยิ่งพอได้นึกถึงการที่หลิงฮันไม่เข้าร่วมตระกูลอื่นแต่เลือกเข้าร่วมตระกูลติงของพวกเขาด้วยแล้ว ทุกอย่างยิ่งกระจ่างชัด
“ว่าไงนะ!” ติงเหยาหลงอุทานออกมา ที่วิหารบรรพบุรุษของตระกูลต้องเละเทะเป็นเศษซากเช่นนี้ มีต้นเหตุมาจากจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อย?
หานลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา เนื่องจากท่าทางตกตะลึงของติงเหยาหลงดูไม่เหมือนการเสแสร้งแม้แต่น้อย
นิรันดร์ทั้งสี่คนหันไปมองหลิงฮันพร้อมกันทันที
หลิงฮันเผยรอยยิ้มและกล่าว “หานลู่ ติงเหยาหลง ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าสองคนด้วยที่ได้เป็นตัวโง่งมแสนหลอกง่ายที่สุดในประวัติศาสตร์”