ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของเมืองว่านฮว๋า เฟิงชิงหลิงเดินเข้าไปในห้องพักของเสี่ยวอ้ายโม่และจับมือนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “น้องอ้ายโม่ เจ้าไปกับข้าเถอะ จวนเจ้าเมืองของเรามีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำเยอะเลยล่ะ ข้าบอกให้ท่านพ่อเตรียมของอร่อย ๆ ไว้แล้ว ทุกคนจะต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี”
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา เฟิงชิงหลิงแวะเวียนมาหาเสี่ยวอ้ายโม่ที่โรงเตี๊ยมทุกคราที่มีเวลาว่าง ทั้งสองจึงสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านี้นางเคยชวนเสี่ยวอ้ายโม่ไปเป็นแขกของจวนเจ้าเมืองหลายครั้งหลายครา ทว่าถูกปฏิเสธมาเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ต้องการทราบว่าคนที่เสี่ยวอ้ายโม่กำลังตามหาคือผู้ใด ทว่านางก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ เพราะรู้สึกว่ามันเสียมารยาท
“ท่านลุงฉิน ไปที่จวนเจ้าเมืองกับข้าและเสี่ยวอ้ายโม่เถอะนะเจ้าคะ ท่านพ่ออยากจะพบท่านมานานแล้ว อีกอย่าง…ท่านก็สามารถบอกท่านพ่อได้เลยว่ากำลังตามหาผู้ใดอยู่ ตราบใดที่คนผู้นั้นอยู่ในเมืองว่านฮว๋าแห่งนี้ ท่านพ่อจะช่วยตามหาจนพบอย่างแน่นอน”
เฟิงชิงหลิงมองไปยังฉินเทียนผู้ซึ่งมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าและกล่าวด้วยแววตาวิงวอน
“เสี่ยวอ้ายโม่ เสี่ยวชิงหลิงเข้ามาชวนเจ้าหลายครั้งหลายคราแล้ว ไปกันเถอะ ถึงอย่างไรเราก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำในช่วงนี้ เราไม่จำเป็นต้องขลุกอยู่ในโรงเตี๊ยมตลอดเวลาหรอก การออกไปเดินข้างนอกบ้างก็คงจะดีไม่น้อย”
ฉินเทียนพยักศีรษะเบา ๆ เฟิงชิงหลิงกระตือรือร้นอย่างมากและพยายามชวนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากไม่ไปเป็นแขกของจวนเจ้าเมืองสักคราก็คงจะไม่เหมาะสมนัก
“ตกลงเจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่พยักศีรษะตอบตกลงทันที จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองของเมืองว่านฮว๋าด้วยกัน
ณ จวนเจ้าเมือง ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่า รวมถึงเจ้าเมืองเฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านผู้เป็นภรรยาของเขาก็กำลังนั่งอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าและหารือบางอย่างกันอยู่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า ท่านปู่ ดูสิว่าข้าพาใครมา”
เฟิงชิงหลิงจับมือเสี่ยวอ้ายโม่เดินเข้าไปในห้องโถงด้วยกันในขณะที่ฉินเทียนเดินตามหลังมาไม่ไกลนัก
“นี่คือเด็กสาวที่เจ้าพูดถึงบ่อย ๆ สินะ”
สายตาของหลินหว่านหว่านเลื่อนไปหยุดที่เสี่ยวอ้ายโม่ข้างกายเฟิงชิงหลิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คิดไว้ไม่มีผิด ช่างน่ารักน่าชังและดูชาญฉลาดมากทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่เด็กดื้อของข้าจะพูดถึงเจ้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น”
นางไม่รักษาท่าทีและกล่าวถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปโดยตรง เฟิงชิงหลิงได้รับการดูแลจากพวกนางเป็นอย่างดี ไม่ว่าด้านรูปลักษณ์หรือความแข็งแกร่ง นางก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย แม้ว่าจะหัวแข็งหรือเอาแต่ใจไปบ้าง มันก็อยู่ในระดับปกติทั่วไปซึ่งมิใช่นิสัยที่เลวร้ายเกินรับได้
เดิมทีพวกนางเคยมั่นใจว่าในทั้งเมืองว่านฮว๋าแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่เทียบกับบุตรสาวของตนได้ ทว่าเพียงรูปลักษณ์ของเสี่ยวอ้ายโม่ก็ทำให้พวกนางต้องเปลี่ยนความคิดไปในทันที
เดิมทีนางและเจ้าเมืองว่านฮว๋าก็สงสัยใคร่รู้มาตลอดว่าเด็กสาวที่บุตรของตนพร่ำกล่าวถึงอย่างไม่หยุดหย่อนจะมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร ทว่าเมื่อได้มาเห็นในตอนนี้ ทั้งสองก็ต้องประหลาดใจกันอย่างมาก
รูปลักษณ์ของนางงดงามชวนมอง ความสูงของนางก็อยู่ในระดับไล่เลี่ยกับเฟิงชิงหลิง ดวงตากลมโตเป็นประกายแวววับและกลิ่นอายของความร่าเริงขี้เล่นที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจนจนรู้สึกได้ก็ทำให้ทุกคนอยากจะเข้าไปใกล้ตั้งแต่แรกเห็น เมื่อยืนข้างกายเฟิงชิงหลิง นางก็ไม่ได้ดูด้อยกว่าแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในอดีต เฟิงชิงหลิงเคยเป็นเด็กสาวที่โดดเด่นที่สุดในสายตาของพวกนาง ทว่าเพียงยืนเทียบกับเสี่ยวอ้ายโม่ในตอนนี้ ความโดดเด่นเหล่านั้นก็หม่นหมองไปโดยปริยาย
“ไม่อาจทราบได้เลยว่าบิดามารดาใดกันที่จะให้กำเนิดบุตรที่น่ารักน่าชังและโดดเด่นได้ถึงเพียงนี้”
คนทั้งสี่ต่างก็มีความคิดแบบเดียวกันและนั่นคือความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพื้นเพภูมิหลังของเสี่ยวอ้ายโม่
“เสี่ยวอ้ายโม่ขอคารวะท่านลุง ท่านป้า ท่านปู่และท่านย่าเจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่ก็สัมผัสได้ถึงความเอ็นดูและความเป็นมิตรจากครอบครัวของเฟิงชิงหลิง ในเวลานี้นางก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มและเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ เช่นกัน
ฉินเทียนก็กล่าวทักทายทุกคนอย่างมีมารยาทเช่นกัน แม้อยู่ตรงหน้าผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและสถานะที่สูงกว่ามาก เขาก็ไม่มีท่าทีประหม่าหรือกังวลใด ๆ ทัศนคติท่าทางที่ไม่อ่อนน้อมหรือโอหังจนเกินไปทำให้ฉินหลิงเซียวและคนอื่น ๆ รู้สึกประทับใจในตัวเขาตั้งแต่แรกเห็น
“มาเถอะ นั่งก่อนเถอะ”
เฟิงหว่านหลี่ทักทายทั้งสองและเชิญให้นั่งลงโดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าแสดงความประหลาดใจเล็ก ๆ เมื่อได้พบเสี่ยวอ้ายโม่
ในตอนนี้เสี่ยวอ้ายโม่กลับคืนรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตนแล้ว ถึงอย่างไรนางและเสี่ยวอ้ายฉือก็เป็นพี่น้องฝาแฝดกันและย่อมมีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันมากถึงเจ็ดส่วน
เป็นธรรมดาที่เฟิงหย่าและฉินหลิงเซียวจะตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นใบหน้าของนาง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองยังไม่รีบร้อนเอ่ยถามสิ่งใด ทว่าเพียงนั่งลงกับคนเหล่านี้และพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ
“เสี่ยวอ้ายโม่ ข้าได้ยินว่าเจ้ามาที่เมืองว่านฮว๋าแห่งนี้เพื่อตามหาใครบางคนรึ ? บอกพวกเรามาสิ บางทีเราอาจจะช่วยตามหาคนผู้นั้นให้ได้”
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันพักใหญ่ หลินหว่านหว่านก็เอ่ยถามออกไป
หานอ้ายโม่ผู้นี้เป็นสหายที่บุตรสาวของนางชื่นชอบอย่างมากและดูเป็นเด็กดีไร้พิษสงใด ๆ แน่นอนว่าพวกนางย่อมรู้สึกเอ็นดูไปด้วย ก่อนหน้านี้นางได้ทราบจากเฟิงชิงหลิงว่าเสี่ยวอ้ายโม่และฉินเทียนกำลังตามหาใครบางคนในเมืองว่านฮว๋า ซึ่งในฐานะผู้ปกครองเมือง การตามหาคนที่อยู่ในเมืองมิใช่เรื่องยากสำหรับพวกนาง
เมื่อเห็นว่าฉินเทียนพยักศีรษะเบา ๆ ให้กับตน เสี่ยวอ้ายโม่ก็ไม่ปิดบังและกล่าวออกไป “ท่านลุงเฟิง เรามาที่เมืองว่านฮว๋าเพื่อตามหาน้องชายของข้าเจ้าค่ะ น้องชายของข้าพลัดพรากจากเราไปโดยบังเอิญและข้าสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ในอาณาเขตของเมืองนี้ ทว่าเมื่อมาถึง ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ กลิ่นอายของเขาก็หายไปเจ้าค่ะ”
เฟิงหว่านหลี่และหลินหว่านหว่านยังไม่ตอบสิ่งใด ทว่าเฟิงหย่าเอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “เจ้าทั้งสองไม่ได้เป็นคนของโลกแห่งเทพใช่รึไม่ ?”
“ท่านย่าทราบได้อย่างไรรึเจ้าคะ ?”
เสี่ยวอ้ายโม่ไม่ปฏิเสธทว่าเนื่องจากยังเด็กมากจึงไม่ทันคาดเดาสิ่งใดได้มากนัก
ในทางกลับกัน ฉินเทียนคาดเดาบางอย่างได้ทันทีและสีหน้าแสดงความตื่นเต้นขึ้นมา
“เจ้าคงจะมาจากดินแดนมหาเทพสินะ และคนที่เจ้ากำลังตามหา เจ้าคงจะหมายถึงพี่ชายฝาแฝดของเจ้าใช่รึไม่ ?”
เฟิงหย่ากล่าวต่อทันที ไม่แปลกใจเลยที่นางจะรู้สึกคุ้นเคยกับเสี่ยวอ้ายโม่อย่างประหลาด ที่แท้นางก็เป็นน้องสาวที่ฉินอ้ายฉือเคยกล่าวถึงนี่เอง ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นอย่างที่เคยจินตนาการไว้ นางเป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าชังยิ่งนัก
“มิใช่เจ้าค่ะ ข้าเป็นพี่สาว”
เสี่ยวอ้ายโม่ส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง เรื่องที่ว่าผู้ใดเป็นพี่หรือน้องเป็นประเด็นที่นางให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเป็นพี่สาวเท่านั้น
“ท่านทั้งสองเคยพบกับเสี่ยวอ้ายฉือใช่หรือไม่ ?”
ฉินเทียนอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ เมื่อนึกถึงจดหมายที่เสี่ยวอ้ายฉือเคยส่งให้กับพวกเขา เขาก็รู้สึกมั่นใจในข้อสงสัยของตนเองขึ้นมาแปดถึงเก้าส่วน
“เสี่ยวอ้ายฉือพลัดหลงเข้ามาในมิติพิเศษของข้าโดยบังเอิญ ข้าจึงพาเขากลับมาด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็ฝึกฝนอยู่ในเรือนของเราตลอดมา เมื่อไม่นานมานี้ เราก็พาเขาผ่านเมืองว่านฮว๋าพอดิบพอดีและเป็นช่วงที่เขาต้องการจะทะลวงพลัง เราจึงมาพักที่จวนเจ้าเมืองเป็นการชั่วคราว ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะเขากำลังเก็บตัวเพื่อทะลวงพลังอยู่ กลิ่นอายของเขาจึงได้ถูกปิดกั้นไว้และทำให้ขาดการเชื่อมโยงกับเสี่ยวอ้ายโม่ไป นางจึงไม่สามารถระบุพิกัดของเขาได้”
ฉินหลิงเซียวกล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
“เห็นรึไม่ ข้าบอกแล้วว่าเสี่ยวอ้ายฉืออยู่ในเมืองว่านฮว๋า ข้าพูดถูกจริง ๆ!”
สีหน้าที่ภาคภูมิใจในตนเองของเสี่ยวอ้ายโม่ก็ทำให้ทุกคนอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
“ข้าต้องขอขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยดูแลเสี่ยวอ้ายฉือ”
ฉินเทียนลุกขึ้นและโค้งคำนับฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าทันที แม้ในตอนแรกมันจะเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าทั้งสองก็ให้การดูแลเสี่ยวอ้ายฉือเป็นอย่างดีและนี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ด้วยความยินดี พวกเราก็รู้สึกถูกชะตากับเขามากเช่นกัน”
ทั้งสองโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนักและแสดงความรู้สึกของตนออกมาเช่นกัน