เหลยเจี้ยนเชิง ฮวาเยว่และบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมื่นกระบี่ได้จัดเตรียมที่พักอาศัยให้กับทุกคนจากดินแดนเทพมายาภายในพื้นที่ของสำนักหมื่นกระบี่ได้อย่างไร้ปัญหา
ก่อนการผนวกรวมกันของนิกายกระบี่สายฟ้าและนิกายหมื่นบุปผา เหลยเจี้ยนเชิงและฮวาเยว่ก็เสนอให้ฉินอวี้โม่ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสำนักใหม่ ทว่านางก็ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
สำหรับฉินอวี้โม่ ดินแดนมหาเทพเป็นเพียงทางผ่านของนางเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไปจากที่นี่และไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นตำแหน่งจ้าวสำนัก แม้แต่ตำแหน่งรองจ้าวสำนักและผู้อาวุโสของสำนัก นางก็ปฏิเสธมันเช่นกัน นั่นหมายความว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่เป็นเพียงศิษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งของสำนักหมื่นกระบี่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นศิษย์ธรรมดาแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าชื่อเสียงและเกียรติยศของฉินอวี้โม่อาจจะเหนือกว่าเหลยเจี้ยนเชิงและฮวาเย่วด้วยซ้ำ
วาจาของนางมีอิทธิพลต่อทุกคนมากยิ่งกว่าคนทั้งสองซึ่งเป็นจ้าวสำนักและรองจ้าวสำนักหมื่นกระบี่เสียอีก
บรรดาจอมยุทธ์ที่มาจากดินแดนเทพมายาล้วนเป็นสหายของฉินอวี้โม่ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะได้รับการต้อนรับจากสำนักหมื่นกระบี่เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์ของพวกเขาก็ล้วนยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ตราบใดที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ พวกเขาจะกลายเป็นกำลังสำคัญของสำนักหมื่นกระบี่อย่างแน่นอน การต้อนรับพวกเขาเข้ามาในสำนักถือเป็นการพัฒนาความแข็งแกร่งของสำนักหมื่นกระบี่ไปในเวลาเดียวกัน
“ท่านลุงเหลย ข้าขอฝากคนของดินแดนเทพมายาเหล่านี้ไว้กับท่านนะเจ้าคะ”
ณ เรือนที่พักของเหลยเจี้ยนเชิง ในเวลานี้ฉินอวี้โม่ เหลยเจี้ยนเชิง ฮวาเยว่และบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมื่นกระบี่กำลังรวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องบางอย่าง
ฉินอวี้โม่เริ่มจากการฝากฝังพวกเขาอย่างสุภาพ ทว่าต่อให้ไม่กล่าวสิ่งใด นางก็เชื่อว่าเหลยเจี้ยนเชิงและคนอื่น ๆ จะให้การต้อนรับและดูแลความเรียบร้อยให้กับทุกคนจากดินแดนเทพมายาเป็นอย่างดีและไม่มีความลำเอียงหรือปฏิปักษ์ใด ๆ ต่อพวกเขา
“อวี้โม่ เจ้าวางแผนที่จะกลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันทีหรือไม่ ?”
เหลยเจี้ยนเชิงพยักศีรษะตอบรับฉินอวี้โม่ก่อนสบตากับฮวาเยว่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้รีบร้อนเจ้าค่ะ การรวบรวมวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถนิพพานคงจะต้องใช้เวลาอีกประมาณครึ่งปี ข้าและพี่ใหญ่เพียงต้องกลับไปก่อนถึงเวลานั้น”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และบ่งบอกว่าตนไม่ได้รีบร้อนกลับไปนัก หากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางก็จะได้รับข่าวในทันที ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนเดินทางกลับมาที่ดินแดนมหาเทพครานี้ นางก็ได้สั่งการให้มารยาประจำอยู่ที่นั่นแล้ว หากเกิดเรื่องใด อสูรสาวจะส่งข่าวมาแจ้งนางในทันที ฉินอวี้โม่จึงไม่กังวลนัก
“ถ้าเช่นนั้น มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้า”
ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้งและสีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
“มีเรื่องอะไรรึเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของทั้งสอง สมองของฉินอวี้โม่ก็แล่นอย่างรวดเร็ว ทว่านางก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเป็นเรื่องใด
“ในช่วงนี้ที่ผ่านมา เจ้าได้ยินข่าวลืออะไรบ้างรึไม่ ?”
เหลยเจี้ยนเชิงขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามออกไป มีเพียงน้อยคนในดินแดนมหาเทพที่ทราบเกี่ยวกับ ‘ข่าวลือ’ นี้ นอกเหนือจากคนในเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลาง ทั้งดินแดนก็มีผู้คนไม่ถึงสิบคนเท่านั้นที่ทราบถึงเรื่องนี้
เขาก็คาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่คงจะยังไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิฉะนั้น นางไม่มีทางอยู่เฉยโดยไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ
“ข่าวลืออะไรหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือใด อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าของเหลยเจี้ยนเชิง นางก็ทราบได้ทันทีว่าจะต้องมิใช่เรื่องดีแน่
“ในดินแดนมหาเทพของเรามีข่าวลือมาเสมอว่าเมื่อสภาวะพลังของดินแดนเริ่มอ่อนแอลง มันจะเป็นสัญญาณของการที่ดินแดนมหาเทพจะล่มสลายไป เมื่อถึงวันนั้น สภาวะพลังในดินแดนจะแห้งเหือดไปทั้งหมดและกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า จอมยุทธ์ในดินแดนมหาเทพก็จะหายสาบสูญไปเช่นกัน พวกเขาจะล้มตายไปทีละคน ๆ และดินแดนของเราจะเปลี่ยนกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย”
สีหน้าของเหลยเจี้ยนเชิงแสดงให้เห็นถึงความเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ฉินอวี้โม่ตกตะลึงเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน
นางไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ทว่าในเมื่อเหลยเจี้ยนเชิงกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังเช่นนี้ ข่าวลือดังกล่าวก็ต้องมีมูลเหตุอย่างแน่นอน
“ข่าวลือนี้มีมาตั้งแต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว ทว่าเราก็ไม่เคยปักใจเชื่อหรือนำมาคิดให้เสียเวลา อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่นานมานี้ ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะพลังของดินแดนเราเริ่มเบาบางกว่าก่อนมาก เจ้าอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เจ้าจึงอาจจะรับรู้ถึงมันไม่ได้ ทว่าพวกเราที่อยู่ที่นี่มานานนับหมื่นนับแสนปีย่อมรับรู้ได้อย่างชัดเจน เพราะเหตุนั้น ข้าจึงกังวลว่าข่าวลือนั้นอาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมา”
พวกเขาไม่ทราบเลยว่าข่าวลือดังกล่าวมาจากที่ใดโดยทราบเพียงว่ามันคงอยู่มานานนับหมื่นปีและความแข็งแกร่งของผู้ที่เปิดเผยข่าวลือนี้ก็คงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน บางทีมันอาจเป็นคำทำนายจากนักปราชญ์ที่แกร่งกล้าในอดีตซึ่งใช้วิธีการพิเศษบางอย่างในการมองอนาคตก็เป็นได้
“อวี้โม่ เดิมทีเราไม่คิดที่จะบอกกับเจ้า ถึงอย่างไรเราก็ยังไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของข่าวลือนี้นัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานี้ สภาวะพลังในดินแดนของเราก็ลดน้อยลงกว่าก่อนมาก บนภูเขากระบี่สายฟ้าในปัจจุบันก็มีสมุนไพรระดับสูงหลายชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์เต็มที เราจึงตัดสินใจบอกให้เจ้าทราบเพื่อให้เจ้าเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แม้ว่ากระบวนการเสื่อมสลายของสภาวะพลังจะยาวนานมาก ทว่าสำหรับจอมยุทธ์ผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับของเรา เวลานับแสนปีก็เป็นเพียงเวลาเพียงชั่วขณะเท่านั้น”
ฮวาเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไปถึงเหตุผลที่ตัดสินใจบอกเรื่องนี้ให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ
“ในดินแดนของเรามีใครอื่นที่ทราบเรื่องนี้อีกบ้างเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่แสดงสีหน้ากังวลมากจนเกินไป ในเมื่อทราบถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มันก็ย่อมมีหนทางแก้ไขปัญหาอยู่ เหลยเจี้ยนเชิงและฮวาเยว่อาจจะไม่ทราบรายละเอียดมากนัก หากต้องการทราบความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้อย่างชัดเจน นางจะต้องสืบถามข้อมูลจากผู้อื่นเพิ่มเติม
“จ้าวสำนักฟู่จะต้องทราบถึงเรื่องนี้แน่ จ้าวสำนักเบิกภูผาและคนของตระกูลราชวงศ์ก็ควรจะทราบถึงเรื่องนี้เช่นกัน หากเจ้าต้องการจะสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม เจ้าไปถามจากพวกเขาดูเถิด”
เหลยเจี้ยนเชิงไม่มั่นใจนักว่าคนเหล่านั้นทราบรายละเอียดของข่าวลือดังกล่าวหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้นำของขุมกำลังเก่าแก่ที่มีรากฐานล้ำลึกกว่าพวกเขามากนักและฟู่ชางก็ถือเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของดินแดนมาตลอด ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะทราบถึงเรื่องนี้
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปที่สำนักเมฆาครามในอีกสองวันเพื่อถามจากท่านลุงฟู่”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจเพื่อมิให้เหลยเจี้ยนเชิงและฮวาเยว่กังวลจนเกินไป ตอนนี้นางได้ทราบเรื่องราวแล้ว แน่นอนว่านางไม่มีทางเพิกเฉยอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไร นางจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเตรียมการได้อย่างเหมาะสม
“เป็นความคิดที่ดี”
เหลยเจี้ยนเชิงพยักศีรษะและเลือกที่จะปล่อยวางเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว
หลังจากหารือกัน ทุกคนก็มุ่งหน้าไปที่ลานจัตุรัสด้วยกันและพบกับบรรดาจอมยุทธ์จากดินแดนเทพมายาที่มารวมตัวกันอยู่แล้ว ในเวลานี้ พวกเขากำลังรับประทานอาหารและพูดคุยกับศิษย์สำนักหมื่นกระบี่ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง คนเหล่านั้นก็ลุกขึ้นและกล่าวทักทายทันที
“ทุกคนไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก ต่อไปพวกเจ้าทั้งหมดก็จะเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นกระบี่เหมือน ๆ กัน พวกเจ้าทุกคนจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันและปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นมิตร”
เหลยเจี้ยนเชิงโบกมือเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง
จากนั้นเขาและคนอื่น ๆ ก็เดินตรงไปนั่งลงที่บัลลังก์หลักก่อนกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการและทำให้บรรยากาศค่อย ๆ มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“พี่ใหญ่ อีกไม่กี่วัน ท่านและเสี่ยวโร่วไปที่สำนักเมฆาครามกับข้านะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่นั่งลงข้าง ๆ ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วก่อนกล่าวบอกทั้งสองเป็นการล่วงหน้า
“ตกลง”
ทั้งสองไม่เอ่ยถามให้มากความและพยักศีรษะอย่างว่าง่าย
……..
ณ เมืองว่านฮว๋าในโลกแห่งเทพ เช้าตรู่ของวันนี้ เฟิงชิงหลิงมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่พักของเสี่ยวอ้ายโม่เพื่อเชิญนางไปที่จวนเจ้าเมืองในฐานะแขกของตน
.