ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 940 เส้นทางแห่งสะพานเซียน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สือจวินที่อยู่ในโลกผืนสมุทรค่อนข้างนาน และขยันฝึกฝนไม่เคยเกียจคร้าน วันนี้ก็มีพลังฝึกปรือไม่น้อยแล้วเช่นกัน

ในหมู่คนหนุ่มสาวของเขากว่างเฉิง สือจวินถูกจัดอยู่ในแถวหน้า

โดยเฉพาะสิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ เขายังเป็นลูกศิษย์ของสวีเฟย ซึ่งความจริงแล้วตอนนี้เขาถือเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สี่ของเขากว่างเฉิง

ปัจจุบันเขาไม่เพียงแต่ยึดครองอันดับหนึ่งในหมู่ลูกศิษย์รุ่นที่สี่เท่านั้น แต่ยังถึงขั้นเหนือกว่าผู้อาวุโสจำนวนมาก

ในกลุ่มลูกศิษย์รุ่นที่สามของเขากว่างเฉิง นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง สวีเฟยที่นำหน้าไปไกลแล้ว ก็มีแต่ซือคงจิงที่เหนือกว่าเขา

อิงหลงถูมีพรสวรรค์มากกว่า แต่เวลาในการฝึกฝนค่อนข้างน้อย ระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันจึงเท่ากับสือจวิน

หลังจากมาถึงโลกซ้อนโลก สือจวินก็ไม่ได้ผ่อนคลาย กลับพยายามมากขึ้น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ หยวนเจิ้งเฟิง และสวีเฟยต่างชื่นชม

ยามนี้ แส้ปัดเก่าโทรมที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอก็คือสิ่งที่สือจวินได้มาโดยบังเอิญ ตอนที่เดินทางอยู่ด้านนอกเมื่อหลายวันก่อน

‘อืม พวกอาจารย์ปู่แยกแยะได้ถูกต้อง มีการสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์แฝงอยู่ด้านในหลายส่วนจริงๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอศึกษาแส้ปัดอันนั้น พบว่าปราณวิญญาณที่อยู่ด้านในเบาบางยิ่ง ยากจะแสดงประโยชน์ออกมา

กระนั้นลวดลายบนผิวของแส้ปัดเชื่อมต่อกันเป็นตราอาคมสายหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะได้รับความเสียหากมาก แต่ก็ยังพอมองเบื้องหลังออกอยู่หลายส่วน

แส้ปัดนี้เคยเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง

แต่ว่านั่นกลายเป็นอดีตไปแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้ววาดบนแส้ปัดที่เสียหาย ‘ในเมื่อตอนนี้โอกาสยังไม่สุกงอม เช่นนั้นได้แต่อดทนคอย รอให้ที่อยู่นั้นปรากฏขึ้น ค่อยคิดหาแผนการ’

หลังจากเข้าที่พักแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มขบคิดปัญหาในการฝึกฝนของตัวเอง

การชมดูการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิแพรงามและทวนพระอังคารในครั้งนี้ แม้จะได้ดูแค่ครึ่งเดียว แต่ว่าสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอนับเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ายิ่ง

เทียบกับจอมยุทธ์ที่ชมดูการต่อสู้ส่วนใหญ่ เยี่ยนจ้าวเกอได้ประโยชน์มากกว่า

การปะทะกันระหว่างคัมภีร์เบิกนภา การสืบทอดสายหยกพิสุทธิ์ และวรยุทธ์ก่อนกำเนิด การสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ ทั้งก่อเกิดทั้งกดข่ม

นอกจากฝ่ามือหยินหยางขั้วกำเนิดแล้ว วรยุทธ์อื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอไม่เคยมีมาก่อน

ทว่าเขาที่ฝึกฝนสามพิสุทธิ์ร่วมกัน แค่ได้ชมดูการต่อสู้ที่มีมาตรฐานสูงครั้งนี้ ก็ยังคงได้รับประโยชน์เหลือล้น

ในด้านการศึกษาวรยุทธ์ของตัวเอง ยังเกิดการบรรลุใหม่ๆ มากมาย

จอมยุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย เริ่มหลอมเปลี่ยนจุดลมปราณซ่อนเร้นจุดลมปราณลับมากมายให้กลายเป็นเทวะ ประสานเสียงกับดวงดาวที่แท้จริงในจักรวาล

สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอที่มีการสั่งสมเปี่ยมล้นแล้ว กระบวนการนี้ไม่ยาก

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร

วันคืนเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปี

การฝึกฝนเป็นเวลาสองปีของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นไปอย่างราบรื่น

ขอแค่หลอมจุดลมปราณลับจุดแรกเป็นเทวะ มีจุดเริ่มต้นที่ดี อยู่บนลู่ทางที่ถูกต้อง ต่อจากนี้ทุกอย่างก็จะไหลมารวมกัน

ดังนั้นสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เรื่องนี้จึงไม่เปลืองแรงของเขานัก ขอแค่อดทนเดินไปด้านหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคงก็เพียงพอแล้ว

แต่ว่าต่อจากนั้น เขาก็ต้องเจอกับอุปสรรคหนึ่ง

อุปสรรคในการเลื่อนจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ไปถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด คือการก้าวขึ้นสะพานเซียน เลื่อนจากขั้นเทวะสำแดงเป็นขั้นสะพานเซียนระยะต้น

หลังจากขึ้นสะพานเซียน จอมยุทธ์จึงค่อยนับว่าได้เริ่มเดินเข้าหาประตูเซียนอย่างแท้จริง

ต้องผ่านความเพียรที่ต้องลำบากสาหัส ใช้พรสวรรค์ ความแน่วแน่ และวาสนาอันยิ่งใหญ่ บรรลุถึงเบื้องหน้าประตูเซียนในตอนท้าย แล้วลองผลักเปิดมันดู

ก่อนขั้นสะพานเซียน จอมยุทธ์ในขั้นเทวะสำแดงล้วนพยายามหลอมจุดลมปราณให้กลายเป็นเทวะ ทำให้จุดลมปราณทั่วร่างของตนเหมือนกับดวงดาวที่แท้จริง บุกเบิกจักรวาลอันเก่าแก่ในร่างของตัวเอง

แต่ว่าแค่การหลอมจุดลมปราณเป็นเทวะ และการประสานเสียงกับดวงดาวที่แท้จริง ยังต่างชั้นกับการบุกเบิกจักรวาลในร่างมาก

มันเป็นแค่การวางรากฐาน เตรียมตัวสำหรับวันที่จะมาถึงเท่านั้น

หลักการที่ง่ายดายที่สุด คือการขึ้นลงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และการก่อเกิดของกลุ่มดาวในจักรวาลที่แท้จริงบนฟากฟ้า ซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนไปมาไม่หยุดพัก

ด้านในนี้มีกลไกลี้ลับ มีแบบแผน มีวงโคจร มีดาราจักร มีการเกิดดับ ไหนเลยจะเป็นเช่นเดิมตลอดกาล หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ไม่เปลี่ยน คืออัคคีไฟที่ผู้คนจุดขึ้น ไม่ใช่ดวงดาวบนท้องฟ้า

ดังนั้น สัญลักษณ์ของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้น ก็คือจอมยุทธ์ต้องทำให้ดวงดาวในร่างของตัวเองโคจรขึ้นมาให้ได้

ไม่ใช่การโคจรญาณจริงแท้ แต่จุดลมปราณที่เห็นเทวะสำแดงก็ต้องโคจรขึ้นมาเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ จักรวาลในร่างจึงค่อยมีลักษณะเหมือนจักรวาลที่แท้จริง

จอมยุทธ์เมื่อหลุดจากโลกมนุษย์ ไต่ขึ้นสู่ระดับเซียน จึงค่อยนับว่าได้ก้าวเท้าก้าวแรกอย่างแท้จริง

เป็นเพราะเหตุนี้ จุดเริ่มต้นของระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด จึงถูกเรียกเป็นสะพานเซียน สะพานที่ไว้ปีนขึ้นเป็นเซียน

ด่านนี้ไม่ได้ง่ายเลย

บนทะเลหวงเจียในอดีต เจ้าสำนักแสงสว่างหลัวจื้อเทา เจ้าสำนักความมืดโจวฮ่าวเซิง มู่เสวียนอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ผู้ปกครองเกาะมนุษย์สำริดกงซุนอู่ ล้วนติดอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นสุดท้ายอยู่หลายปี

พวกเขาขาดแค่อีกก้าวเดียวก็จะปีนขึ้นสะพานเซียนได้ แต่ก้าวเดียวที่ว่านี้ กลับห่างกันเหมือนฟ้าและเหว คล้ายกับร่องน้ำทางธรรมชาติ

เมื่อมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนคอยเฝ้าอยู่ ตำแหน่งบนโลกซ้อนโลกก็จะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

เพราะวรยุทธ์ของสำนักมากมาย ไม่สามารถทำให้คนฝึกฝนจนถึงขั้นสะพานเซียนได้

คิดจะเลื่อนระดับ ถ้าไม่มียอดฝีมือคอยชี้แนะก็ต้องมีวาสนาอันยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็ต้องเป็นบุคคลอัจฉริยะในสำนักที่พันปียากพบพาน ช่วยพัฒนาคัมภีร์วรยุทธ์ของตัวเองขึ้นอีกขึ้น

กระนั้นไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ต่างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายทั้งสิ้น

บนโลกซ้อนโลกในปัจจุบัน เขากว่างเฉิงนับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย ถึงขั้นที่คว่ำขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องและฆราวาสเด็ดดาวกวนลี่เต๋อได้

แต่ว่าคนจำนวนมากที่ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง เพียงแต่ได้ยินมา พอพูดถึงเขากว่างเฉิง ก็ยังเกิดความรู้สึกดูแคลนโดยสัญชาตญาณ

สิ่งที่พวกเขาสนใจและพูดถึงมากกว่า สุดท้ายก็คืออาวุธเซียนที่จักรพรรดิประกายกาฬเหลือไว้ ตราประทับตะวันและมงกุฎจันทรา

นี่เกี่ยวข้องกับการไร้ซึ่งจอมยุทธ์ขั้นสะพานเซียนของเขากว่างเฉิง

แต่เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อว่า เมื่อผ่านไปอีกสักพัก สถานการณ์จะไม่เหมือนเดิมแล้ว

เยี่ยนตี๋ผู้เป็นบิดาคราก่อนพอกลับถึงสำนัก ก็เข้าฌานทันที

แม้ว่าจะไม่ได้บอกกล่าวอย่างละเอียด แต่เยี่ยนจ้าวเกอมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง

ครั้งก่อนเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า บิดาของตนจะพบเจอวาสนาสุดพิเศษที่ด้านนอก ทำให้เขามีโอกาสเลื่อนเป็นขั้นสะพานเซียน

เหมือนกับเยี่ยนจ้าวเกอ หลังจากหลอมจุดลมปราณซ่อนเร้นจุดแรกเป็นเทวะ ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกสำเร็จ การเปิดจุดลมปราณซ่อนเร้นและจุดลมปราณลับที่เหลือต่อจากนั้น ไม่ถือว่ามีอะไรยากสำหรับเยี่ยนตี๋แล้ว

ครั้นก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก เยี่ยนตี๋ก็ยังคงรุดหน้าอย่างรวดเร็วเฉกเช่นวันวาน

สิ่งที่ขาดคือ โอกาสในการปีนขึ้นสะพานเซียน

เยี่ยนจ้าวเกอคาดเดาว่า ครั้งนี้เยี่ยนตี๋อาจจะทำลายคอขวดนี้ได้

อีกด้านหนึ่ง ถ้าหากเพียงฝึกฝนคัมภีร์นภาแรกเริ่มสายหยกพิสุทธิ์ เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ก็มีความมั่นใจว่าต่อจากนี้อย่างเร็วหนึ่งปี อย่างช้าสามปี ตนจะต้องก้าวสู่ขั้นสะพานเซียน

กระนั้นหากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น

นั่นเท่ากับละทิ้งรากฐานการฝึกสามพิสุทธิ์ร่วมกัน ที่ตนปักไว้อย่างยากลำบากเมื่อก่อนหน้า

แต่ถ้าคิดจะรวมสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่ง ปีนขึ้นสะพานเซียน เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้จำเป็นต้องมีกระบวนท่าระดับสุดยอดของแต่ละการสืบทอดจากสามพิสุทธิ์

คัมภีร์นภาแรกเริ่มสิบม้วนอันเป็นการสืบทอดสายหยกพิสุทธิ์ เยี่ยนจ้าวเกอครอบครองอยู่หกม้วน ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง

ตอนที่เลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ กระบวนท่าสายเหนือพิสุทธิ์มีกระบี่สังหารเซียน ขณะเดียวกันก็ใช้หลักกลับคืนสู่ความจริง วิชาที่เทวกษัตริย์เต๋าเผยแผ่ แทนวรยุทธ์สายเอกพิสุทธิ์

ตอนที่ทำลายนภาเห็นเทวะสำแดง วรยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์ก็มีกระบี่ลวงเซียน วรยุทธ์สายเอกพิสุทธิ์ก็มีฝ่ามือหยินหยางขั้วกำเนิด

แต่ว่าในตอนนี้คิดจะปีนขึ้นสู่สะพานเซียน ก็ยังคงขาดแคลนวรยุทธ์สายเอกพิสุทธิ์และสายเหนือพิสุทธิ์

ถ้าหากไม่อาจแก้ไขปัญหานี้ การฝึกสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่ง ก็เท่ากับขาดเส้นทางไปต่อ

‘มีเค้าลางว่าถ้ำกำลังจะเปิดแล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอมองแส้ปัดชำรุดในมือ

แส้ปัดที่สองปีมานี้ไม่มีการเคลื่อนไหว ตอนนี้ถึงกับเปล่งแสงรางๆ

‘หวังว่าจะเป็นที่อยู่ของผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ ถ้าหากด้านในมีวรยุทธ์ที่สืบทอดต่อกันมาเหลืออยู่ เช่นนั้นก็จะช่วยเราได้มาก’

………………..