ดินแดนมหาเทพคงอยู่มาเนิ่นนานนับล้านปีจนเกินกว่าที่ผู้ใดจะรับรู้ได้ว่ามันถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
ทว่าเมื่อนับหมื่นปีก่อน นักปราชญ์ผู้เก่งกาจคนหนึ่งก็ได้พยากรณ์ไว้ว่าสักวันสภาวะพลังของดินแดนมหาเทพแห่งนี้จะแห้งเหือดไปและดินแดนมหาเทพก็จะเปลี่ยนกลายเป็นความว่างเปล่าโดยที่สลายหายไปท่ามกลางห้วงมิติที่ไร้ที่สิ้นสุด นักปราชญ์ผู้นั้นก็เคยเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนนี้ วาจาของเขาจึงดึงดูดความสนใจของคนมากมายก่อนสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ ปีแล้วปีเล่า
ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้นำของขุมกำลังเก่าแก่ทั้งหลายในดินแดนมหาเทพก็ล้วนตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่บางคนทราบข้อมูลเพียงเล็กน้อยในขณะที่บางคนทราบรายละเอียดที่ครอบคลุมมากกว่า
“นักปราชญ์ผู้นั้นกล่าวอะไรอีกบ้างเจ้าคะ ?”
ในเมื่อเป็นคำทำนายของนักปราชญ์ในดินแดน มันก็มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง เขาจะต้องค้นพบอะไรบางอย่างตั้งแต่ต้นซึ่งนำไปสู่คำพยากรณ์ดังกล่าว
หากได้ทราบรายละเอียดทั้งหมดจากคำพูดของนักปราชญ์ผู้นั้น บางทีนางก็อาจจะหาทางแก้ไขวิกฤตนี้ได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการหาคำตอบว่าเหตุใดสภาวะพลังของดินแดนมหาเทพจึงเริ่มสูญสลายไปอย่างกะทันหัน เมื่อได้คำตอบนั้น นางก็จะได้ทราบความเป็นมาตั้งแต่ต้นและคิดหาทางแก้ไขได้
“นักปราชญ์ผู้นั้นก็ทำนายไว้ว่าจะมีอัจฉริยะมากพรสวรรค์ปรากฏตัวในดินแดนมหาเทพเพื่อช่วยให้ดินแดนเราข้ามผ่านวิกฤตครานี้ไป ข้าก็ไม่มั่นใจว่าอัจฉริยะในคำทำนายผู้นั้นจะหมายถึงเจ้าหรือไม่”
นับตั้งแต่ที่ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ ฟู่ชางก็มีข้อสันนิษฐานนี้อยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นพวกเขาทุกคนยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจจึงยังไม่มีโอกาสกล่าวถึงเรื่องนี้
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็เดินทางไปยังโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และฟู่ชางเองก็คิดว่าเรื่องนี้จะยังไม่เป็นปัญหาในอนาคตอันใกล้นี้ เขาจึงตั้งใจที่จะรอจนกว่าฉินอวี้โม่จะจัดการเรื่องราวที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นเสียก่อน ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีเวลาอีกหลายร้อยปีซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นฝ่ายที่ริเริ่มถามเรื่องนี้จากเขาเอง และแน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่ฟู่ชางจะต้องปิดบังสิ่งใด เขาจึงเปิดเผยทุกอย่างที่ทราบออกไป
สาเหตุที่นักปราชญ์ผู้นั้นทำนายไว้ว่าดินแดนมหาเทพจะล่มสลายไปก็เป็นเพราะเขาค้นพบรอยแยกประหลาดในจุดหนึ่งของดินแดนมหาเทพ รอยแยกดังกล่าวก็เหมือนจะสามารถดูดกลืนสภาวะพลังในดินแดนได้และไม่มีทางที่จะอุดรอยแยกดังกล่าวได้เลย
แรกเริ่มเดิมที นักปราชญ์ผู้นั้นก็ใช้พลังมายาของตนเพื่อปิดผนึกรอยแยกดังกล่าวไว้ ทว่าเขาอนุมานได้ว่าผนึกของตนจะถูกทำลายในไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อถึงตอนนั้น ดินแดนมหาเทพก็จะไม่สามารถหลีกหนีไปจากชะตากรรมของการล่มสลายได้
นอกจากนี้ เขาก็ยังทำนายไว้ว่าจะมีอัจฉริยะปรากฏตัวในดินแดนแห่งนี้และจะแก้ไขสถานการณ์เกี่ยวกับรอยแยกนั้นได้โดยสมบูรณ์ จากนั้นดินแดนมหาเทพก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายของการล่มสลายอีกต่อไป
การปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งมากด้วยพรสวรรค์และมีความแข็งแกร่งอันน่าทึ่ง กอปรกับสภาวะพลังในดินแดนที่เริ่มสูญสลายไปอย่างกะทันหันล้วนพิสูจน์คำพยากรณ์ของนักปราชญ์ในอดีต และมีความเป็นไปได้สูงว่าฉินอวี้โม่คืออัจฉริยะในคำทำนายนั้น
“นายหญิง บางทีมันอาจจะเป็นหลุมดำมิติ”
เสียงของซิวดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และมีข้อสันนิษฐานเกิดขึ้นในใจ ข้อมูลเกี่ยวกับหลุมดำมิติคือสิ่งที่มันเรียนรู้มาจากมรดกตกทอดก่อนหน้านี้
หลุมดำมิติสามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งไม่เพียงแต่สภาวะพลังเท่านั้น แม้แต่ทั้งดินแดนก็อาจจะถูกดูดกลืนเข้าไปโดยหลุมดำดังกล่าว และวาจาของฟู่ชางเมื่อครู่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นหลุมดำมิติอย่างแท้จริง
“มันคงจะเป็นหลุมดำมิติที่ยังไม่ก่อตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เมื่อมันปรากฏขึ้น นักปราชญ์ผู้นั้นค้นพบมันโดยบังเอิญและปิดผนึกไว้ได้เสียก่อน ทว่าตลอดเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา ผนึกบนหลุมดำมิตินั้นคงจะอ่อนแอลงไปมาก ส่งผลให้หลุมดำมิติเริ่มดูดกลืนสภาวะพลังของดินแดนมหาเทพได้ทีละน้อย ทว่าในสักวันมันจะทำลายผนึกได้โดยสมบูรณ์และนั่นคือวันที่ดินแดนมหาเทพจะถูกทำลายไป”
มันกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างยิ่ง
หลุมดำมิติคือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดซึ่งสามารถกำหนดทิศทางของดวงดาวก็ต้องหวาดหวั่นต่อมันไม่น้อย
หลุมดำดังกล่าวมิใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หากแต่เกิดจากการผันผวนของพลังงานพิเศษท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ หลุมดำมิติเหล่านี้จะปรากฏขึ้นในดินแดนต่าง ๆ อย่างไร้แบบแผนและไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามันจะปรากฏขึ้นในดินแดนใด ทว่าตราบใดที่มันปรากฏขึ้น พวกมันจะนำพาภยันตรายที่ร้ายแรงมาสู่ดินแดนนั้นอย่างแน่นอน
เคราะห์ร้ายที่ครานี้ดินแดนมหาเทพตกกลายเป็นเป้าหมายของหลุมดำมิติที่อันตรายนี้
เมื่อฉินอวี้โม่ฟังคำอธิบายจากซิว นางก็เริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมดำมิติเพิ่มมากขึ้น นางคาดการณ์ไว้ว่าหลุมดำมิติคงจะเป็นเหมือนกับหลุมดำลึกลับในยุคศตวรรษที่ 21 ที่นางจากมา เมื่อก้าวเข้าไปในนั้น ไม่มีผู้ใดทราบได้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เห็นได้ชัดว่าหลุมดำมิติในดินแดนนี้ลึกลับยิ่งกว่านั้นเสียอีก มันเป็นรอยแยกในห้วงมิติที่ไม่เพียงแต่สามารถดูดกลืนสภาวะพลังเท่านั้น ทว่าแม้แต่ทั้งดินแดนก็ไม่สามารถหนีรอดไปได้ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกพิศวงอย่างที่สุด
“รอยแยกนั้นอยู่ที่ใดรึเจ้าคะ ?”
ไม่ว่ารอยแยกดังกล่าวจะเป็นหลุมดำมิติจริงหรือไม่ พวกนางจะได้ทราบอย่างแน่ชัดก็ต่อเมื่อเห็นมันด้วยตาตัวเอง สถานการณ์ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่เข้าสู่ช่วงวิกฤตและฉินอวี้โม่สามารถใช้เวลาว่างในช่วงนี้เพื่อไปสำรวจมันได้
“อยู่ในเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลาง”
ฟู่ชางไม่ปิดบังความจริงจากฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย ทว่าคำตอบของเขาก็ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางก็เคยใช้เวลาอยู่ในเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลางเป็นเวลานานพอสมควร ทว่าไม่เคยสัมผัสถึงความผิดปกติใด ๆ มาก่อน
“อันที่จริง สาเหตุที่เมืองราชวงศ์ถูกก่อตั้งขึ้นที่นั่นก็เพื่อยับยั้งอิทธิพลของรอยแยกดังกล่าว”
ฟู่ชางถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวถึงสาเหตุที่เมืองราชวงศ์ตั้งอยู่ในพิกัดที่พิเศษอย่างยิ่งและแทบไม่เคยเข้าร่วมในสงครามของดินแดน
เมื่อนักปราชญ์ในอดีตพยากรณ์ได้ว่าจุดจบของดินแดนมหาเทพจะมาถึง เขาก็ตัดสินใจที่จะก่อตั้งตระกูลราชวงศ์ขึ้นมาและกำหนดทิศทางของตระกูลราชวงศ์ว่าจะต้องประจำอยู่ที่นั่นตลอดไปและคอยจัดการดูแลรอยแยกดังกล่าวซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของตระกูลราชวงศ์ที่สืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งใดในดินแดนมหาเทพ มันไม่เคยกระจายไปถึงเมืองราชวงศ์เลย เว้นแต่ว่าจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นก็ไม่เคยมีผู้ใดที่กล้าโจมตีเมืองราชวงศ์มาก่อน เรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน”
แน่นอนว่าขุมกำลังอันดับต้น ๆ อย่างพวกเขาก็ตระหนักเป็นอย่างดีถึงสาเหตุที่พิเศษซึ่งตระกูลราชวงศ์ดำรงอยู่
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ฉินอวี้โม่ก็มีความเข้าใจขึ้นมาและตัดสินใจทันทีว่าจะเดินทางไปยังเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลาง
“พี่ใหญ่และพี่สะใภ้อยากจะเดินทางไปที่เมืองราชวงศ์กับข้าหรืออยากจะกลับไปที่สำนักหมื่นกระบี่เจ้าคะ ?”
นางไม่ลังเลและวางแผนที่จะออกเดินทางโดยเร็วที่สุดเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์นี้ให้แน่ชัด
“ถึงอย่างไรเราก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำ พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย”
ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนกล่าวออกไป ตอนนี้ความแข็งแกร่งของทั้งสองติดอยู่ในสภาวะคอขวดเป็นการชั่วคราวและไม่รีบร้อนที่จะพัฒนาตนเองจึงสามารถเดินทางท่องดินแดนได้
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย”
ฟู่ชางก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน และหลังจากที่เขามอบหมายการดูแลความเรียบร้อยของสำนักเมฆาครามให้กับผู้อาวุโสใหญ่ เขาก็มุ่งหน้าไปที่เมืองราชวงศ์พร้อมกันกับฉินอวี้โม่
เมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลางก็กลับสู่ความเงียบสงบเช่นเดิมนับตั้งแต่สงครามชี้ชะตาสิ้นสุดลง
ณ เมืองราชวงศ์ ในเวลานี้ทุกคนก็หมั่นฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง เนื่องจากมิตรภาพที่ดีระหว่างตระกูลใหญ่ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันคราก่อน พวกเขาจึงไม่มีความขัดแย้งกันอีกต่อไปและอยู่ร่วมกันท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลายอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่และคณะก็มุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวังทันทีเนื่องจากมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดทราบรายละเอียดของเรื่องนี้ไปมากกว่าจักรพรรดิหลงอวี้เทียนซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของตระกูลราชวงศ์อีกแล้ว การเข้าไปพบกับเขาโดยตรงจะประหยัดเวลาได้มาก
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลงอวี้เทียนเองก็กังวลกับเรื่องนี้เช่นกัน รอยแยกนั้นอยู่ใต้เท้าของพวกเขาและหากเกิดสิ่งใดขึ้นมา เมืองราชวงศ์ก็จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ในเวลานี้ก็ไม่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้น ทว่าจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ในเมืองก็เริ่มสัมผัสได้ถึงบางอย่างแล้วเช่นกันและแวะเวียนเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา
หลงอวี้เทียนก็เพียงเล่าเรื่องคำพยากรณ์ของนักปราชญ์ให้กับคนเหล่านั้นได้ทราบ ทว่าในตอนนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำได้อีก
เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่ ฟู่ชางและคนอื่น ๆ เดินทางมาที่เมืองราชวงศ์ เขาก็ออกไปต้อนรับพร้อมรอยยิ้มกว้างทันที เขาและฟู่ชางมีความคิดที่ตรงกัน นั่นคือมีความเป็นไปได้สูงที่ฉินอวี้โม่จะเป็นอัจฉริยะในคำทำนายที่จะคลี่คลายวิกฤตครานี้…