ทุกคนเข้าไปในห้องโถงหลักของตระกูลราชวงศ์เพื่อนั่งลงและหารือกันอย่างจริงจัง
“ท่านลุงหลง ข้าจะไม่เสียเวลาอ้อมค้อม ท่านคงจะคาดเดาจุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้ได้ ไม่ทราบว่ารอยแยกนั่นอยู่ที่ใดรึเจ้าคะ ? สะดวกหรือไม่ที่จะพาเราเข้าไปดู ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวแสดงความต้องการของตนอย่างตรงไปตรงมา
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา มากับข้าได้เลย”
ครืดดด !
หลงอวี้เทียนตอบกลับพร้อมรอยยิ้มก่อนนำทางฉินอวี้โม่และทุกคนไปยังห้องบรรทมของเขา หลังจากแตะผนังเล็กน้อย เสียงครืดก็ดังขึ้นและทางเดินทอดยาวลงไปใต้ดินก็ปรากฏขึ้นมา
ทุกคนก้าวเข้าไปในทางเดินนั้นด้วยกันและประตูทางเข้าของมันก็ปิดลงอีกครั้งราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ตลอดเส้นทางลาดลงไปใต้ดิน อุณหภูมิของบรรยากาศรอบตัวก็ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น พลังประหลาดบางอย่างก็ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังมายาในร่างของพวกนางไปอย่างช้า ๆ ซึ่งฉินอวี้โม่สัมผัสได้อย่างชัดเจน
“บรรพบุรุษของตระกูลราชวงศ์ก่อตั้งพระราชวังขึ้นในจุดนี้เพื่อให้เราคุ้มกันรอยแยกนี้ไว้ มันเป็นรอยแยกที่อันตรายจนเกินไป หากใครอื่นค้นพบมันและทำลายผนึกที่ปิดกั้นไว้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงเกินจินตนาการ”
นักปราชญ์ผู้พยากรณ์อนาคตของดินแดนมหาเทพคือบรรพบุรุษของตระกูลราชวงศ์และจุดประสงค์เดิมของการก่อตั้งพระราชวังขึ้นที่นี่ก็เพื่อคุ้มกันรอยแยกนี้และป้องกันมิให้ผู้อื่นค้นพบหรือทำลายผนึกได้
หลังจากเดินลงไปตามทางเดินทอดยาวนานประมาณสองก้านธูป ทุกคนก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของมัน
ใต้ดินแห่งนี้มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตนเองด้วยซ้ำ หลงอวี้เทียนจึงหยิบไข่มุกราตรีจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติของตนเพื่อนำพาแสงสว่างมาสู่สภาพแวดล้อมรอบตัว
ในเวลานี้ พวกเขาเหมือนจะอยู่ในพื้นที่คับแคบแห่งหนึ่งซึ่งเพดานเบื้องบนอยู่ไม่สูงมากนักและพื้นดินที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่ก็เป็นก้อนหินสีเหลือง ไม่ไกลจากตรงหน้าทุกคนก็มีคลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างแผ่ออกมาซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
“บรรพบุรุษของเราสร้างผนึกไว้ที่นี่และสร้างพระราชวังของตระกูลราชวงศ์ไว้เหนือพื้นดิน ซึ่งนั่นก็คือศูนย์กลางของผนึกที่ว่า”
หลงอวี้เทียนกล่าวขณะชี้ไปยังจุดหนึ่งซึ่งล้อมรอบไปด้วยแสงสว่าง ซึ่งหากมองจากระยะไกล ๆ ก็จะมองเห็นเพียงหลุมสีดำบางอย่างที่ไม่ชัดเจนนัก
ทุกคนเดินตรงเข้าไปทันทีและแรงกดดันอันทรงพลังก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ชัดเจนมากขึ้น
บนพื้นดินตรงหน้า มีรอยแยกสีดำที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ในตอนนี้รอยแยกดังกล่าวมีความยาวประมาณความสูงของผู้ใหญ่หนึ่งคนและมีความกว้างเท่ากับฝ่ามือ สภาวะพลังรอบตัวล้วนถูกดึงดูดเข้าไปในรอยแยกดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่ารอยแยกนี้คือรอยแยกตัวปัญหาที่ดูดกลืนสภาวะพลังของดินแดนเข้าไป
“คิดไว้ไม่มีผิด ผนึกนี้มีอิทธิพลต่อมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในอดีตเมื่อบรรพบุรุษของเราปิดผนึกมันไว้ รอยแยกควรจะมีความยาวเพียงประมาณฝ่ามือเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันกลับขยายใหญ่ขึ้นมากแล้ว หากปล่อยให้มันดูดกลืนสภาวะพลังต่อไป ไม่อาจทราบได้เลยว่าท้ายที่สุดแล้วรอยแยกจะมีขนาดใหญ่มากขึ้นเพียงใด…”
หลงอวี้เทียนมองไปยังรอยแยกตรงหน้าและตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“มันคือหลุมดำมิติอย่างที่คิดไว้จริง ๆ”
ซิวยืนยันได้แล้วเช่นกันว่ารอยแยกนี้คือหลุมดำมิติอันน่าสะพรึงกลัวตามที่คาดเดาไว้ ไม่คาดคิดเลยว่าหลุมดำมิติที่เป็นปรากฏการณ์หายากซึ่งแทบจะไม่เกิดขึ้นเป็นเวลานับหมื่นปีจะปรากฏขึ้นมาในดินแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้และต้องการกลืนกินทั้งดินแดนมหาเทพไป จากมุมมองนี้ มันก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่าดินแดนมหาเทพอาจจะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก
“ข้าจะปิดผนึกมันได้อย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามโดยไม่คิดที่จะทดสอบพลังของมันแม้แต่น้อย นางตระหนักดีว่าพลังของตนในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะปิดผนึกหลุมดำมิติอย่างแน่นอน
ในเมื่อซิวทราบว่ามันคือหลุมดำมิติ มันก็อาจจะทราบถึงวิธีการปิดผนึกหลุมดำมิตินี้เช่นกัน
“การปิดผนึกมันอย่างเดียวไม่มีประโยชน์หรอก ทางที่ดีที่สุดคือการกำจัดหลุมดำมิตินี้ไป ตอนนี้มันยังไม่ทรงพลังมากนัก หากความแข็งแกร่งของท่านบรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ ท่านอาจจะมีโอกาสกำจัดมันไปได้”
ซิวเองก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าควรทำอย่างไร เพียงแต่มันเข้าใจดีว่าสิ่งที่ควรทำคือการกำจัดหลุมดำมิติให้สิ้นซาก มิใช่เพียงปิดผนึกมันเท่านั้น เพราะหากปิดผนึกมันอย่างเดียว มันก็จะสามารถฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้หลังจากผ่านเวลาไปเพียงไม่กี่ร้อยปี และเมื่อถึงเวลานั้น ดินแดนมหาเทพก็จะตกอยู่ในวิกฤตและสิ่งที่เกิดขึ้นจะเลวร้ายเกินแก้ไข มีเพียงการทำลายมันให้สิ้นซากเท่านั้นที่จะช่วยให้ดินแดนมหาเทพรอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้และไม่ได้รับผลกระทบจากหลุมดำมิตินี้อีกต่อไป
“หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ผนึกของบรรพบุรุษก็คงจะไม่สูญสลายไปในช่วงสองสามร้อยปีข้างหน้านี้ อย่างไรก็ตาม พลังของรอยแยกจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาวะพลังที่มันดูดกลืนเข้าไป หากมันแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่ง เราก็อาจจะรับมือกับมันไม่ได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด”
หลงอวี้เทียนกล่าวบอกทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้
ทุกคนก็พยักศีรษะเบา ๆ และเข้าใจดีว่าควรทำอย่างไร
“ไปเถอะ เราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
หลังจากได้เห็นหลุมดำมิติแล้ว ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นทุกคนจึงกลับขึ้นไปยังพระราชวังบนพื้นดิน
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาที่นี่ หลงเพ่ยเอ๋อร์และหลงเฟยเอ๋อร์ก็มาเฝ้ารออยู่ด้านนอกแล้ว และทันทีที่ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมา พวกนางก็ตื่นเต้นกันทันที
“พี่อวี้โม่ ไม่ได้พบกันเสียนานเลย”
หลงเฟยเอ๋อร์ก้าวเข้ามาเกาะแขนฉินอวี้โม่อย่างไวและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ไม่ได้พบกันเสียนาน เฟยเอ๋อร์ ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลย”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มนิ่ม ๆ ของหลงเฟยเอ๋อร์และหยุดคิดเรื่องหลุมดำมิติเป็นการชั่วคราว
หลังจากที่ไม่ได้พบกันเป็นพักใหญ่ ความแข็งแกร่งของสี่พี่น้องตระกูลราชวงศ์ก็พัฒนาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
ในบรรดาคนเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงเป็นหลงเพ่ยเอ๋อร์ผู้ซึ่งบรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์แล้ว แม้จะบรรลุเพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา ทว่านางก็ถือเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของทั้งดินแดนมหาเทพแล้ว ในขณะเดียวกัน พลังของหลงซินเอ๋อร์และหลงเฟยเอ๋อร์ก็บรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงพลังต่อไปได้
หลงยวี่เอ๋อร์ที่รากฐานพลังเสียหายไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมามากพอสมควรแล้วเช่นกัน และในปัจจุบันนี้นางก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตราชาเซียนซึ่งไม่ด้อยกว่าหลงซินเอ๋อร์มากนัก
“มีเรื่องอะไรกันรึเจ้าคะ ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึไม่ ?”
หลงเพ่ยเอ๋อร์นั้นมีไหวพริบที่ดีมาเสมอและคาดเดาได้ทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างเป็นแน่ นางจึงเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มิใช่เรื่องใหญ่หรอก ข้าจะบอกพวกเจ้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
หลงอวี้เทียนก็โบกมือปัดเพื่อมิให้หลงเพ่ยเอ๋อร์เอ่ยถามไปมากกว่านี้
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะเหตุนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการไม่ปล่อยให้คนทราบเกี่ยวกับหลุมดำมิติมากจนเกินไป
“พี่อวี้โม่ ตอนนี้พลังของท่านอยู่ในระดับใดหรือเจ้าคะ?”
หลงเฟยเอ๋อร์ไม่สามารถมองทะลุถึงระดับพลังของฉินอวี้โม่ได้เลย นางจึงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพี่สาวผู้นี้เป็นอย่างมาก
“ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุด”
ฉินอวี้โม่ไม่คิดปิดบังจากคนเหล่านี้และกล่าวตอบตามความเป็นจริง
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางเหนือกว่าทั้งหลงอวี้เทียนและฟู่ชางเสียอีก
ก่อนหน้านี้แม้ว่าหลงเพ่ยเอ๋อร์จะสามารถประชันฝีมือกับนางได้อย่างเท่าเทียม ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายมิใช่คู่ต่อสู้ของฉินอวี้โม่อีกต่อไป
“ว้าวว สุดยอดไปเลย !”
หลงเฟยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกตกใจกันไม่น้อยแต่ก็ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าจะเข้าใจได้ หากความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่อยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป นั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากกว่า อย่างไรก็ตาม ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดก็ยังเหนือกว่าจินตนาการของพวกนางพอสมควร เดิมทีพวกนางคาดการณ์ไว้ว่าฉินอวี้โม่คงจะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สามดาราหรือสี่ดาราเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้ข้าเพียงโชคดีและได้พบกับโอกาสบางอย่าง มิเช่นนั้นก็คงจะไม่มีทางทะลวงพลังได้เร็วเช่นนี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนดึงมือเสี่ยวโร่วออกไปข้างหน้าและกล่าวแนะนำ “ทุกคนคงจะได้พบกับพี่ใหญ่ของข้าแล้ว นี่คือพี่สะใภ้ของข้านามว่าเสี่ยวโร่ว”
.