ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 203 แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องมหาสมุทรสีดำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ต่อให้เป็นราชันแห่งหลิงไห่ดวงตาก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย กว่าครู่ใหญ่จึงจะค่อยๆ รู้สึกคุ้นชินขึ้นมา จึงเพ่งมองไปยังรัตติกาลผืนนั้นที่อยู่ด้านในตัวบ้านอีกครั้ง

จุดของแสงสว่างนั้นที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของรัตติกาลค่อยๆ ใหญ่โตขึ้นมาก สามารถเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มแสงเลย แต่ยังคงดูไม่เสมือนจริง ราวกับถูกรัตติกาลคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมบางๆ ผืนหนึ่ง

ปรากฏเงาร่างขึ้นในกลุ่มแสงนั้น ราวกับสามารถมองเห็นได้ว่ามันคือมนุษย์ ด้านหลังของร่างนั้นมีปีกสีขาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้น

แสงสว่างที่บาดตานั้นมาจากร่างคนผู้นี้ เปล่งประกายออกไปรอบด้านทุกทิศทาง

แสงสว่างและความมืดมิดเดิมทีก็คือพลังสองสิ่งที่ต้านทานกันและกัน แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ แสงสว่างเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำร้ายรัตติกาลผืนนี้เลย

ตรงกันข้ามรัตติกาลผืนนี้ราวกับได้รับพลังมากมายจากแสงสว่างเหล่านี้ มันค่อยๆ หนาแน่นขึ้น จนกระทั่งเกือบจะกลายเป็นวัตถุจริงๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมาเลย

สายลมแข็งแกร่งที่ตกลงมาจากท้องฟ้าทำให้รัตติกาลพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง ดูราวกับมหาสมุทรสีดำก่อนจะเกิดพายุขึ้น

พลังที่ยิ่งใหญ่แต่ศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างจากพลังของสำนักฝึกหลวงปรากฏขึ้นในที่นั้น

ผู้คนในที่นั้นรู้สึกได้ถึงอันตรายถึงขีดสุด อาวุธล้ำค่าทั้งสี่ชิ้นของพระราชวังหลีก็รับรู้ได้ถึงความเป็นศัตรูที่แอบซ่อนอยู่ด้านในของพลังนี้ ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกมันถาโถมเข้าสู่ส่วนที่อยู่ลึกที่สุดในบ้าน แต่กลับบดขยี้กลุ่มแสงที่ราวกับเมฆหมอกนั้นไม่ได้ หรือแม้แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความเร็วในการเพิ่มขยายตัวของอีกฝ่ายได้เลย

เหล่านักพรตต่างเพ่งมองไปยังกลุ่มแสงที่ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ นี้ เงาร่างที่อยู่ด้านในนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้รู้สึกหวาดผวา

เงาร่างนั้นคือสิ่งใดกันแน่ แม้แต่ค่ายกลพระราชวังหลีก็เอาชนะมันไม่ได้หรือ

……

……

ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักพรตที่อยู่นอกตัวบ้าน หรือคนห้าเหล่าของตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ย ล้วนไม่ทราบว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในรัตติกาลคือสิ่งใด

มีบางคนที่ทราบล่วงหน้าถึงสถานการณ์ในสงครามเทพศักดิ์สิทธิ์ฉากนั้นเมื่อหลายวันก่อน

นี่ก็คือทูตสวรรค์จากแดนเซิ่งกวงหรือ

เฉินฉางเซิงมองไปยังเงานั้นที่อยู่ด้านในรัตติกาล เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

รัตติกาลที่ไม่จางหายไปก็ราวกับมีเมฆหมอกทับชั้นกันขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นเขาเองก็อยากมองให้ชัดถึงภาพที่อยู่ด้านใน

แต่เขาสามารถมองเห็นปีกสีขาวที่อยู่ด้านหลังเงานั้นได้ สามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณที่เย็นชาและน่าเกรงขามที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาได้

ในเวลานี้ราชามารได้ถอยกลับเข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดแห่งรัตติกาลแล้ว ไม่มีทางตามหาร่องรอยของเขาได้อีกต่อไป

มีบางเรื่องที่เฉินฉางเซิงคิดไม่ตก

บ้านหลังนี้ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดที่สุดหลายวันนี้แทบจะไม่มีลมปราณของผู้แข็งแกร่งผู้ใดปรากฏออกมาเลย

ยามนี้ค่ายกลพระราชวังหลีควบคุมบ้านหลังนี้เอาไว้อยู่ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนเซิ่งกวงจะแอบมาที่นี่อย่าเงียบๆ ได้

ราชามารเรียกหาทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนี้ได้อย่างไรกัน และท่านทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนี้เร้นกายอยู่ ณ ที่แห่งใดเล่า

ในตอนนี้เอง เกิดเสียงคำรามขึ้น ณ ที่แห่งนี้

นั่นคือราชันแห่งหลิงไห่

ก้อนศิลาที่ดูราวกับอัคคีที่กำลังบ้าคลั่งนั้นลอยออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดในดวงตาเขา มันลอยเคว้งอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขา

มุขนายกอานหลิงหลับตาลง เริ่มสวดมนต์คัมภีร์เต๋า เสียงที่นุ่มนวลและมั่นคงนั้น หมุนวนรอบด้านตัวบ้าน เหล่านักพรตที่จิตใจไม่นิ่งที่ถูกทำให้ตกใจเหล่านั้น ต่างก็เริ่มทำจิตใจฮึกเหิม แล้วเริ่มสวดมนต์คัมภีร์เต๋าไปพร้อมกับนางต่างก็เริ่มค่อยๆ สงบใจลงได้แล้ว บรรยากาศที่ควรค่าต่อการเคารพศรัทธาและเคร่งขรึม ได้ทำลายความวุ่นวายก่อนหน้านี้ไปเสียหมดสิ้น

เมื่อเสียงสวดมนต์ดังขึ้นเรื่อยๆ แผนที่นทีบรรพตที่อยู่ในอากาศก็เริ่มโบกไหวไปตามสายลม ลมปราณค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หู้ซานสือเอ้อร์เอื้อมมือเข้าไปในอากาศและจับปลายด้านหนึ่งของกิ่งหลิวเอาไว้ แล้วค่อยๆ เคลื่อนย้ายดวงจิตของตน ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังรัตติกาล

นักพรตซือหยวนผินหน้าไปทางท้องฟ้า เอื้อมมือข้างเดียวขึ้นไปคว้าเอาตราประทับสวรรค์เอาไว้ ในขณะเดียวกันมือซ้ายของเขาก็รับเอาศิลาดาวตกที่เฉินฉางเซิงใช้ดวงจิตยื่นให้ตนไว้ เขาลองพยายามควบคุมค่ายกลนี้เอาไว้

ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ท่านแห่งสำนักฝึกหลวงล้วนทราบดีถึงสถานการณ์ในสงครามเทพศักดิ์สิทธิ์ในวันนั้น ต่างก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว

หากเพียงต้องการสังหารราชามาร ค่ายกลพระราชวังหลีรวมเข้ากับความสามารถของเฉินฉางเซิง และรวมเข้าด้วยความสามารถของคนห้าเหล่าจากตระกูลถังเมืองเวิ่นสุ่ย อย่างไรก็เพียงพอมากแล้ว

แต่สาเหตุที่พวกเขายังคงระวังตัวเช่นนี้ จิตใจเคร่งขรึมเช่นนี้ ก็เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าในวันนี้อาจจะประสบพบเจอเข้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเกินขอบเขตที่มนุษย์จะจินตนาการได้

แต่พวกเขาจะไม่ยอมแพ้ เนื่องจากก็เหมือนกับที่เฉินฉางเซิงได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ พวกเขาก็ยังคงต้องสังหารราชามารให้สิ้น

เพียงแต่ก่อนหน้าสังหารราชามาร พวกเขาคงต้องสังหารการมีอยู่ที่ราวกับจะสมบูรณ์แบบเช่นนั้นที่อยู่ในรัตติกาลในเวลานี้เสียก่อน

เนื่องจากเฉินฉางเซิงได้กล่าวเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้

‘ผู้ที่มาจากแดนไกลล้วนเป็นแขกทั้งสิ้น ตายเร็วหน่อยจะได้กลับบ้านเร็วหน่อย’

คำว่าแขกในประโยคนี้แน่นอนก็ต้องหมายถึงทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่ยังคงไม่ยอมปรากฏใบหน้าที่แท้จริงออกมาเป็นแน่

ดินแดนเซิ่งกวงช่างห่างไกลเสียจริง คนผู้นี้ต้องสิ้นเสียก่อน

……

……

ศิลาดวงดาว

กิ่งหลิวหมิง

แผนที่นทีบรรพต

ตราประทับเทียนวั่ย

ศิลาดาวตก

อาวุธล้ำค่าห้าอย่างของพระราชวังหลีนี้แผ่ลมปราณที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

ค่ายกลพระราชวังหลีกลับมามีเสถียรภาพขึ้นมาอีกครั้ง แสงสว่างอันนุ่มนวลพุ่งตัวเข้าไปทางด้านในของรัตติกาล พวกมันทำให้รัตติกาลที่คลุ้มคลั่งถูกกดดันจนหยุดนิ่งอีกครั้ง

เมื่อรัตติกาลหยุดนิ่ง กลุ่มแสงที่หนาแน่นราวกับหมอกควันนั้นก็เบาบางลงไปหลายส่วน เงาร่างทูตสวรรค์ที่อยู่ด้านในก็เลือนรางไปหลายส่วนเช่นกัน

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นรับรู้ได้ถึงพลังกดดันอันแข็งแกร่งที่มาจากรอบด้าน จึงเผยเสียงคำรามต่ำอย่างโกรธเคืองออกมา

เสียงคำรามต่ำที่ราวกับฟ้าผ่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเจตนาที่เป็นศัตรู ทั้งยังมีความปรารถนาสังหารอยู่ในนั้นด้วย

ความโกรธแค้นนี้ก็เนื่องด้วยเขาพบว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเหล่านี้บังอาจกล้าท้าทายความเกรียงไกรของตน

เจตนาที่เป็นศัตรูก็เนื่องด้วยเขาพบว่าค่ายกลนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก อีกทั้งพบว่าเดิมทีมันจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้แน่นอน

ความปรารถนาสังหารกลับมาจากนิสัยเดิมของเขาเอง

เขาที่เป็นผู้ควบคุมดูแลศึกสงคราม เปี๋ยยั่งหงเรียกคนผู้นี้ว่านู่หั่ว

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ยอมรับในนามนี้ว่าเป็นนามศักดิ์สิทธิ์ของตน ณ ดินแดนนี้

เสียงคำรามต่ำราวกับฟ้าผ่านั้น ก็ดังขึ้นในโสตประสาทและในใจของทุกคนในที่นั้น ในขณะเดียวกันก็ระเบิดดังขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงเช่นกัน

รัตติกาลถูกฉีกออกเป็นรู กำแพงที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกของลานบ้านถูกสั่นสะเทือนเสียจนกลายเป็นฝุ่นผง

บนร่างกายของทูตสวรรค์ผู้นี้เปล่งประกายแสงแห่งความร้อนออกมา พวกมันกลายเป็นไฟขึ้นมาจริงๆ และเกิดการเผาไหม้โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งขึ้นบนพื้นทรายสีเหลืองของลานบ้าน

ทุกเปลวไฟนั้นสามารถมองเห็นได้ อุณหภูมินั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความร้อน มีการบ่มเพาะพลังกดดันที่น่ากลัวอย่างลึกซึ้งอยู่ด้านใน

เหล่าทหารที่มาจากบ้านตระกูลเซี่ยงเพื่อมาช่วยเหลือเซี่ยงชิว โชคไม่ดีประสบเข้ากับความความกดดันนี้เข้าอย่างจัง

บัดนี้ได้ยินเพียงเสียงครวญครางหลายสิบเสียง นักรบเผ่าปีศาจที่ร่างกายแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าสิบคนกลายเป็นก้อนเนื้อหลายสิบก้อนทันที

นักบวชพระราชวังหลีไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะว่าเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพลังกดดันเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คืออยู่ภายใต้ความคุ้มครองของค่ายกลพระราชวังหลี

เสียงร้องคำรามต่ำราวกับฟ้าผ่าไม่ได้หยุดยั้งลงเพราะสิ่งนี้ พวกมันยังคงปะทะเข้าหาค่ายกลพระราชวังหลีอยู่ ราวกับคลื่นทะเลปะทะหินโสโครกอยู่อย่างนั้น ราวกับจะไม่หยุดพักไปตลอดกาล

การสั่นสะเทือนของพื้นดินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มองไปยังดินโคลนที่อยู่บนถนนเหล่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดแรง พื้นดินที่สั่นสะเทือน นักบวชเหล่านั้นตัวสั่นไม่พูดจา สีหน้าซีดขาว

เฉินฉางเซิงมองไปยังเงาร่างของทูตสวรรค์ที่อยู่ในหมอกนั้น รับรู้ได้ถึงความกดดันที่มีอยู่ในแสงและมีเสียงนั้น เขามีสีหน้าเคร่งขรึม

ทูตสวรรค์ท่านนี้ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าที่คิดและที่เปี๋ยยั่งหงเคยบรรยายเอาไว้เป็นอย่างมาก

หากใช้การแบ่งแยกระดับขั้นของแผ่นดินใหญ่เป็นเกณฑ์ ทูตสวรรค์ผู้นี้อาจจะอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของขั้นนักปราชญ์เป็นแน่

หากเป็นอย่างนั้นค่ายกลพระราชวังหลีจะสามารถปราบปรามอีกฝ่ายได้หรือ