เฉินฉางเซิงมองเห็นชัดเจน พลังกดดันที่ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นที่อยู่ในส่วนลึกของรัตติกาลแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อให้เป็นแปดมรสุมในปีนั้นก็ตาม คงมีเพียงผู้เฒ่าความลับสวรรค์หรือไม่ก็เปี๋ยยั่งหงในช่วงสองปีมานี้จึงจะสามารถต่อกรได้ทัดเทียม
ไม่มีผู้ใดกล้าตัดสินว่าค่ายกลพระราชวังหลีจะสามารถเอาชนะคนพูดนี้ได้หรือไม่ หรือไม่มีใครสามารถพูดได้เลยว่าจะยื้อเวลาไปได้นานเพียงใด
ค่ายกลพระราชวังหลีในตอนนี้ไม่ได้สมบูรณ์มากนัก เหมาชิวอวี่เองก็ยังคงอยู่ในเมืองหลวง
และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ อ้างอิงตามคำพูดของเปี๋ยยั่งหง ในวันนั้นทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองท่านปรากฏตัวออกมาพร้อมชายชุดดำ
ในเมื่อทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านหนึ่งปรากฏตัวแล้ว อย่างนั้นอีกท่านหนึ่งก็ต้องปรากฏตัวออกมาเป็นแน่ ยามนี้อยู่ที่ไหนกันเล่า
นี่คือเรื่องที่เฉินฉางเซิงกังวลใจมากที่สุด
เห็นได้ชัดมากว่า การปรากฏตัวของทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองท่านนี้เกี่ยวข้องกับราชามาร
ภายในระยะเวลาอันสั้น เขาได้ตัดสินใจทำเรื่องหนึ่ง
ต้องรีบอาศัยช่วงเวลาที่ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ยังเอาชนะค่ายกลพระราชวังหลีไม่ได้ แล้วรีบอาศัยจังหวะที่ทูตสวรรค์อีกท่านหนึ่งยังไม่ปรากฏตัว สังหารราชามารให้สิ้นเสีย
นี่หมายความว่าเขามีความจำเป็นต้องเข้าไปในรัตติกาลที่อยู่ในตัวบ้านนั้น หรือแม้แต่ต้องเสี่ยงเข้าไปในส่วนลึกของรัตติกาลนั้น
แต่ในขณะเดียวกันเขายังต้องควบคุมค่ายกลพระราชวังหลีเอาไว้ จึงจะสามารถปราบปรามทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องแน่ใจว่าราชามารจะไม่มีทางหนีไปไหนได้
นี่ควรจะทำอย่างไรดีเล่า
“อย่าให้เขาออกมาได้”
เฉินฉางเซิงรีบยื่นเอาไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ใส่ในมือของถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “ข้าอีกแล้ว”
คำถามนี้ไม่ได้มีความหมายอื่นใด นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมค่ายกลได้ชั่วคราว
หรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำนักฝึกหลวง นอกเสียจากเฉินฉางเซิงแล้ว ก็ยินยอมอยู่ในกำมือของเขาเท่านั้น
ผู้ใดใช้ให้ในปีนั้นยามที่ใต้เท้าสังฆราชพระราชทานไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ในตอนแรกก็ตกอยู่ในมือของเขาเล่า
ถึงแม้ว่าสีหน้าและอารมณ์ของถังซานสือลิ่วจะดูไม่ยินดีนัก และคำพูดสามคำนี้ก็ดูราวกับเป็นเสียงโอดครวญที่เจ็บปวดยิ่งนัก แต่เขากลับไม่ได้ปฏิเสธ
เนื่องจากเขาทราบดีว่าตนนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้
เขาเดินขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางยกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือขึ้น
รองเท้าหนังราคาแพงที่ทำขึ้นจากเมืองเทียนเหลียงนั้นย่ำลงไปบนพื้นศิลาเขียวที่แข็งแกร่ง มันปรากฏร่องรอยอย่างลึกในทุกย่างก้าว ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือเขาส่งประกายแสงสว่าง พร้อมกันนั้นยังทำให้ศิลาดาวตกรวมไปถึงอาวุธล้ำค่าทั้งห้าชิ้นต่างก็เปล่งประกายความกดดันอันน่ากลัวออกมา พวกมันถาโถมพุ่งตัวเข้าไปหาทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นที่อยู่ในเงาลึกของรัตติกาล
สีหน้าของถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็ซีดเผือด แต่แววตาของเขากลับดูแล้วมุ่งมั่นยิ่งนัก
เฉินฉางเซิงไม่ได้มองเห็นภาพฉากนี้ ก่อนหน้าที่ถังซานสือลิ่วจะก้าวเท้านั้นออกไป เขาเองก็หายตัวเข้าไปในรัตติกาลแล้ว
พลังศักดิ์สิทธิ์ของค่ายกลพระราชวังแบ่งแยกตัวบ้านกับฟ้าดินออกจากกัน ปราบปรามรัตติกาลและโลกอื่นๆ ไว้ แต่สำหรับเขาไม่ได้เกิดอิทธิพลใดๆ
รัตติกาลลึกลับออกอย่างนั้น บดบังทุกการมองเห็น แต่กลับไม่ได้ทำให้ความเร็วของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย
ดวงจิตของเขาดั่งสายน้ำ สามารถจุดประกายแสงดาวที่อยู่ห่างไกลที่สุดในรัตติกาลนั้นได้ แน่นอนว่าต้องสามารถมองทะลุรัตติกาลทั้งหมดได้
เพียงแต่ราชามารได้ถอยเข้าไปอยู่ในจุดที่ลึกมากๆ และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาลแล้ว หากประสงค์จะหาให้พบ คงต้องใช้เวลาสักหน่อย
ยามนี้สิ่งที่เขาขาดไปที่สุดก็คือเวลา
ยังดีที่เขาไม่ได้ตัวคนเดียว
ในตอนที่เขามอบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ถังซานสือลิ่วนั้น คนผู้นั้นก็ได้เข้าไปสู่รัตติกาลนี้แล้ว
หรือจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ คนผู้นั้นยังไม่ได้ถอยออกมาจากในรัตติกาลเลย
เสียงพิณนั้นดังขึ้นมาอย่างหนาวเหน็บเข้ากระดูกดำ มันเดินเข้าสู่รัตติกาลอย่างไร้ความรู้สึกอ่อนโยน
ระดับขั้นของนักเล่นพิณตาบอดลึกล้ำมิอาจคาดเดา จิตใจเข้มแข็งอย่างถึงที่สุด ต่อให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงมาปรากฏตัวแล้วจริงๆ ก็ไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้แม้เพียงนิด
เมื่อเฉินฉางเซิงได้ยินเสียงพิณนั้น สายตาเขาก็หันเหเล็กน้อย มรสุมกระบี่พุ่งตัวตามไปทันที
รัตติกาลถูกเจตจำนงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวและเสียงพิณแสนหนาวเหน็บทำลายย่อยยับ เกิดเป็นเส้นทางหนึ่งสายขึ้นมา
ปลายทางของทางสายนั้นมีต้นไม้หนึ่งต้น
ราชามารลอยไปอยู่ทางด้านหลังและถอยร่นไปเรื่อยๆ สองมือของเขาเพียรพยายามสร้างฉากกำบังขึ้นมาตรงหน้า
เจตจำนงกระบี่และเสียงพิณติดตามไปอย่างไม่ลดละ ฉากกำบังนั้นดูราวกับกระจกใสก็มีปาน พวกมันทยอยแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เกิดเสียงดังกังวานนับไม่ถ้วน ราชามารล้มลงบนพื้น เสื้อคลุมสีดำที่มืดมิดราวกับรัตติกาลของเขาถูกเฉือนออกเป็นรูนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางรอยแผลที่ฉีกออกเหล่านั้น ปรากฏโลหิตสีทองค่อยๆ หลั่งไหลเอ่อล้นออกมา
เสียงลมยังคงกรีดร้องหวีดหวิว จู่ๆ พวกมันก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดปรากฏตัวขึ้นในที่นั้น
เสียงของพิณยังคงโอบล้อมอยู่โดยรอบ กระบี่ราวกับมรสุมก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล
ต้นไม้ต้นนั้นจู่ๆ ก็หายไป
พวกมันไม่ได้กลายเป็นความว่างเปล่าจริงๆ แต่เพราะถูกเสียงพิณและเจตจำนงกระบี่ฟาดฟันเสียจนกลายเป็นผุยผงที่เล็กละเอียดที่สุด
เศษอณูผุยผงเหล่านั้นเล็กละเอียดเสียจนแม้แต่ลมก็ไม่สามารถหอบเอาพวกมันขึ้นมาได้ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยซ้ำ
เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดไม่ได้ลงมือโจมตีต่อ เนื่องจากพวกเขารับรู้ได้ถึงความระมัดระวัง
ราชามารหยุดย่างก้าว ไม่ได้ถอยรถต่อไปอีก
เขายืนอยู่ตรงจุดที่เคยมีต้นไม้อยู่ ยืนอยู่ภายใต้รัตติกาลของตน มองมายังเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
…เหมือนกับกำลังจ้องมองวัตถุสองชิ้นที่ควรค่าแก่การชื่นชม หรือแม้แต่มองว่าเป็นผลงานศิลปะอันสมบูรณ์แบบที่ทำให้ผู้คนต่างล้วนชื่นชม
รูปแบบศิลปะที่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่าแต่ไหนแต่ไรก็ยังคงไว้ซึ่งศิลปะอันงดงามซับซ้อน แต่เมื่อเพ่งมองเข้าไปด้านในอย่างจริงจัง มันกลับเต็มไปด้วยความหมายที่เต็มไปด้วยความตายแสนเย็นยะเยือก
งานศิลปะที่ดีที่สุดก็คือความตายนั้นเอง
ในสายตาของราชามาร เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดได้กลายเป็นคนตายแล้วทั้งสองคน
……
……
ความรู้สึกระแวดระวังภัยที่อยู่ในใจของเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ความมั่นใจของราชามารมาจากไหนกันเล่า โอกาสสังหารอันลึกลับนั้นแอบซ่อนอยู่ในที่แห่งใด
กลุ่มแสงที่ราวกับเมฆหมอกซึ่งอยู่ในรัตติกาลนั่นหรือ
ไม่ใช่ ทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่อยู่ในกลุ่มแสงท่านนั้นไม่มีทางเอาชนะข้อจำกัดของค่ายกลพระราชวังหลีได้ชั่วขณะ
ยังมีฑูตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งท่าน
เฉินฉางเซิงมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว
สร้อยข้อมือไข่มุกศิลาเส้นนั้นไม่รู้ว่าหลุดออกจากข้อมือเขาไปตกอยู่ในกำมือเมื่อใดกัน
เขาถือเอาสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่เย็นเฉียบนั้นไว้ พลางจ้องมองไปรอบด้านของรัตติกาลอย่างเงียบเชียบ
ขอเพียงแน่ชัดในตำแหน่งที่อยู่ของฝ่ายตรงข้าม เขาก็จะทำการโจมตีที่รุนแรงที่สุดไปยังผู้แข็งแกร่งที่มาจากต่างแดนท่านนั้น
เขามีความเชื่อมั่นว่าต่อให้ไม่สามารถสังหารหรือทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ แต่ก็คงสร้างความยากลำบากให้กับอีกฝ่ายได้มากพอดู
เนื่องจากในดวงจิตของเขามีประสบการณ์การรบและความรู้ที่ถูกถ่ายทอดมาโดยผู้อาวุโสเปี๋ยยั่งหง
เนื่องจากเขามีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
ถึงในตอนนั้น เขาเชื่อว่านักเล่นพิณตาบอดจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ สังหารราชามารด้วยเสียงพิณเป็นแน่
แต่ตอนนี้เขาพบว่าการวางแผนของตนนั้นอาจจะล้มเหลว
ดังที่กล่าวไว้ในตอนแรก ดวงจิตของเขาเงียบสงบดั่งสายน้ำ สามารถมองเห็นดวงดาวที่อยู่ไกลที่สุดในรัตติกาลได้ ยังสามารถมองข้ามรัตติกาลที่ลึกลับที่สุดได้
แต่เขาไม่อาจแน่ชัดในตำแหน่งที่อยู่ของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น
บ้านที่อยู่ในรัตติกาลเงียบสงัดเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการคุมเชิงของค่ายกลพระราชวังหลีและทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น หรือว่าราชามารที่อยู่ใกล้ตรงหน้า ล้วนราวกับเป็นเรื่องที่อยู่อีกโลกหนึ่ง
เฉินฉางเซิงมองไปยังราชามาร สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ตอนนี้อุ้งมือนั้นเริ่มเปียกชื้นแล้ว
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งห้าแผ่นได้กลายเป็นสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาแล้ว เมื่อสัมผัสเข้ากับเหงื่อจึงมีความเปียกลื่น ความรู้สึกนั้นไม่ค่อยดีนัก มันยิ่งทำให้ในใจของเขาวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
สถานการณ์ก่อนหน้าเปรียบได้กับทรายที่ไหลอยู่ใต้ท้องแม่น้ำตามกระแสน้ำ ไม่สามารถจับต้องได้
การตอบสนองของดวงจิตที่ส่งออกไปรอบทิศทางรวมไปถึงเสียงพิณที่อยู่ในรัตติกาลกำลังบอกเขา
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นไม่ได้อยู่ในรัตติกาล ไม่ได้อยู่ในตัวบ้าน หรืออาจจะพูดได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในดินแดนนี้ด้วยซ้ำ
เช่นนั้นเหตุใดลางสังหรณ์นั้นยังคงอยู่เล่า ทั้งยังมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้าที่ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นจะปะทะกับค่ายกลพระราชวังหลีบนท้องฟ้าก็ไร้ซึ่งสัญญาณใดๆ เช่นกัน
หรือนี่มันจะกลับไปสู่สถานการณ์เดิมอีกครั้ง
……
……
ตั้งแต่ที่ต้นไม้ต้นนั้นหายตัวไป อันที่จริงแล้วมันผ่านไปเพียงระยะเวลาไม่นานเท่านั้น
เจตจำนงกระบี่และเสียงพิณของเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดได้วนเวียนไปมาอยู่ในรัตติกาลแห่งนี้หลายรอบมากแล้ว
พวกเขายังคงไม่สังเกตเห็นว่า ในประตูหลังของบ้านที่อยู่ไม่ไกลทางด้านข้างนั้น มีรูปปั้นศิลาตั้งอยู่
แม้อยู่ในความมืด รูปปั้นศิลานั้นก็สะดุดตายิ่งนัก หากพวกเขาหันหลังกลับไป จะต้องเห็นเป็นแน่
นั่นคือรูปปั้นศิลาบุรุษที่กำลังนั่งยองๆ เบื้องหลังของเขามีปีกอยู่คู่หนึ่ง
ดูคล้ายกับทูตสวรรค์ผู้นั้นที่อยู่ในกลุ่มแสงบนท้องฟ้า
อันที่จริงแล้ว รูปปั้นศิลานี้เดิมทีก็คือทูตสวรรค์
เฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดไม่ได้ค้นพบรูปปั้นศิลานี้ เนื่องจากรูปปั้นศิลานี้เป็นรูปปั้นศิลาจริงๆ
รูปปั้นศิลานี้ไม่มีลมปราณ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีชีวิต ไม่มีอุณหภูมิ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ รูปปั้นศิลานี้เป็นวัตถุที่ตายแล้ว
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ไม่ว่าจะใช้ดวงจิตหรือเจตจำนงกระบี่หรือเสียงพิณเข้าไปสัมผัส ล้วนได้ข้อสรุปเดียวกัน
ทันใดนั้น รูปปั้นศิลาก็ลืมตาขึ้น
เขามีชีวิตขึ้นมาแล้ว