ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 205 ทดสอบกระบี่ (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สถานที่ที่ราชามารยืนอยู่นั้น เคยมีต้นไม้อยู่หนึ่งต้น

ต้นไม้ต้นนั้นตอนนี้ถูกเสียงพิณของนักเล่นพิณตาบอดและเจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงทำลายเสียจนสูญสิ้น

เมื่อเสียงพิณและเจตจำนงกระบี่ลงมือ ใบไม้สีเขียวบนปลายกิ่งที่บอบบางที่สุดของต้นนั้นก็ถูกลมพัดปลิวตกไป

ใบไม้สีเขียวร่วงหล่นลงบนดวงตาที่ปิดอยู่ของรูปปั้นศิลาด้านข้างประตูหลังนั้น

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงหรือนักเล่นพิณตาบอด ล้วนไม่ค้นพบถึงการมีอยู่ของรูปปั้นศิลานี้ หากว่ากันตามหลักการแล้ว คงไม่สามารถพบได้ว่ารูปปั้นศิลานี้ลืมตาขึ้น

แต่ยามเมื่อรูปปั้นศิลาลืมตาขึ้นมา ใบไม้สีเขียวต่างก็กระเด้งกระดอนออกไป พวกมันล่องลอยออกไปในสายลม

ใบหูของนักเล่นพิณตาบอดขยับเล็กน้อย มือทั้งสองข้างก็ขยับจับพิณโบราณนั้นให้ขวางกับลำตัว ปราณแท้พลันฮึกเหิมขึ้นมา และกระแทกเฉินฉางเซิงออกไป

ไม่มีเสียงใดดังขึ้น มีเพียงในรัตติกาลจู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างขึ้นมา

แสงสว่างนั้นเป็นจุดแสงเล็กทอดยาว ดูราวกับเข็มเงินเล่มหนึ่ง

ความเร็วของเส้นแสงสว่างนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเป็นแสงจริงๆ เมื่อครู่ยังอยู่ในส่วนลึกของรัตติกาล ต่อมาก็เคลื่อนตัวมาอยู่เบื้องหน้าของคนทั้งสองนี้แล้ว

เกิดเสียงดังฉึก

แสงที่ราวกับเข็มนั้นแทงทะลุพิณโบราณที่นักเล่นพิณตาบอดกอดเอาไว้อยู่ แทงทะลุไหล่ด้านซ้ายของเขา หลังจากนั้นก็หายไปในรัตติกาลอีกครั้ง

สีหน้าของนักเล่นพิณตาบอดกลายเป็นสีซีดขาวอย่างรวดเร็ว โลหิตสดๆ ทะลักไหลออกมาราวกับศิลาหลอมเหลว มือทั้งสองข้างที่โอบพิณโบราณไว้นั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับอีกไม่นานก็จะตกลงไปแล้ว

แสงที่ราวกับเข็มนั้นทิ้งร่องรอยที่เล็กมากไว้บนไหล่ซ้ายของเขา แต่ราวกับมันทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มบินกลับมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน พวกมันปกป้องเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดเอาไว้

กระบี่นับไม่ถ้วนหันเอาด้านแหลมคมไปทางรอบนอก มองดูแล้วเหมือนกับผลไม้ที่เต็มไปด้วยหนาม

นี่เป็นค่ายกลเคลื่อนกระบี่ที่มั่นคงที่สุดในค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั่นเอง

นักเล่นพิณตาบอดโล่งใจเล็กน้อย เขาทนรับความเจ็บปวดไม่ได้อีกต่อไป จึงครางออกมาก่อนวางพิณโบราณในมือลง

แสงที่ราวกับเข็มเรียวยาวทะลุไหล่ซ้ายของเขา ด้านบนมีลมปราณที่ศักดิ์สิทธิ์ทว่าแปลกประหลาดเคลือบอยู่ กลับกัดกินเส้นเลือดของเขาไม่หยุด

หากอาศัยระดับขั้นอันสูงส่งที่อีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของนักเล่นพิณตาบอดแล้ว ต่อให้ใช้ลมปราณแท้จนหมด ก็ไม่มีทางใช้ดวงจิตขับเอาลมปราณนั้นออกไปได้

นี่คือลมปราณอะไรกัน แสงที่ราวกับเข็มนั้นคือสิ่งใดกันเล่า

สายตาของเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอด มองทะลุผ่านมรสุมกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าออกไป ทอดตกลงบนรูปปั้นศิลานั้น

รูปปั้นศิลานั้นเปิดดวงตาขึ้นแล้ว อีกทั้งยังลุกขึ้นยืนด้วย

แววตาของมันเฉยเมยยิ่งนัก ไม่ได้แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ไม่มีความรักและไม่มีความเกลียดชัง มีเพียงสายตาเย็นชาราวกับไม่มีชีวิต

แต่ลมปราณแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากสายตาเขานั้น กลับดูสมจริงและมีชีวิต

หากมองลึกเข้าไปในดวงตาเขา อาจจะมองเห็นถึงสติปัญญาที่บริสุทธิ์ นั่นก็คือหลักการระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์

ไม่ต้องสงสัยเลย รูปปั้นศิลานี้คือสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริงๆ

เพียงแต่เขาไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่เคยปรากฏขึ้นบนดินแดนนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดำรงอยู่หรือว่าที่มา

นักเล่นพิณตาบอดมองไม่เห็นถึงร่างกายที่สมบูรณ์แบบและเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย รวมไปถึงปีกศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นด้วย

แต่เขารับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนมาก

สีหน้าของเขากลับกลายเป็นสีเผือด

รูปปั้นศิลาค่อยๆ ยกมือขวาของตนขึ้นมาอย่างช้าๆ

รัตติกาลปกคลุมไปทั่วทั้งตัวบ้าน มันมืดสลัวหาใดเปรียบ แม้แต่เฉินฉางเซิงยังทำได้เพียงอาศัยดวงจิตในการสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ

แต่ขณะที่รูปปั้นศิลายกมือขวาขึ้น แสงบางส่วนที่ซ่อนอยู่ในรอยแตกของพื้นที่ยังคงถูกสกัดออกมาจากส่วนลึกที่สุดในรัตติกาลนั้นอยู่

เส้นแสงเหล่านั้นมารวมตัวบรรจบกันอยู่ในมือของเขา ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นช่อ หลังจากนั้นก็บังเกิดรูปร่างขึ้นมา

นั่นคือหอกที่รวมตัวกันขึ้นจากเส้นแสงหนึ่งช่อ

นักเล่นพิณตาบอดเอียงหูฟังทางด้านนั้น ฟังเสียงช่องว่างเล็กละเอียดที่ถูกเส้นแสงเหล่านั้นทะลุทะลวงผ่านแล้วดับสูญไป สีหน้าไม่ได้ซีดขาวอีกต่อไป

เขาไม่ได้มีความคิดอื่นใดอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ตื่นตัวและมิได้ไม่สบายใจอีก

เขาใช้มืออันสั่นเทาของตนกอดพิณโบราณเอาไว้แน่น พลางกระซิบกับเฉินฉางเซิงว่า “ไปเสีย”

แสงที่ราวกับเข็มแหลมเล็กนั่นทำให้เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตอบโต้ ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยคือหอกแสง!

เฉินฉางเซิงเข้าใจในเจตนาของนักเล่นพิณตาบอดดี

นักเล่นพิณตาบอดเตรียมใช้ชีวิตของเขาในการแลกเปลี่ยน เขาเตรียมต้านปะทะหอกแสงนี้และการไล่ล่าของราชามารเอาไว้

ขอเพียงเฉินฉางเซิงสามารถถอยออกไปจากตัวบ้านนี้ได้ ก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในค่ายกลพระราชวังหลีได้

ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองท่านที่มาจากต่างดินแดนผู้แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสมีชีวิตรอดหลายส่วน หรืออาจจะพูดได้ว่ามีเวลามากขึ้นอีกหน่อย

เฉินฉางเซิงมิได้ตอบรับคำขอของนักเล่นพิณตาบอด

ในตอนนี้ ต่อให้มีเวลามากอีกสักหน่อย ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสรอดมากขึ้นหลายส่วน

และเขาก็จะไม่ให้นักเล่นพิณตาบอดอยู่ที่นี่ตามลำพังแน่นอน

ก่อนหน้านี้เขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

เขารู้ว่าในตอนที่ตนจะสังหารราชามาร ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะพบเจอเข้ากับทูตสวรรค์เซิ่งกวงตนที่สอง

ซึ่งก็คือรูปปั้นศิลาที่ฟื้นชีวิตขึ้นมานี้เอง

หากอ้างอิงตามคำกล่าวของเปี๋ยยั่งหง ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้สังกัดกรมพิจารณาคดี มีนามศักดิ์สิทธิ์ว่าอิ่นเหลย น่ากลัวยิ่งเสียกว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นที่กำลังต่อกรกับค่ายกลพระราชวังหลีเสียอีก

เฉินฉางเซิงชักเอากระบี่ไร้ราคีเชื่อมเข้าด้วยกันกับฝักกระบี่ หลังจากนั้นใช้มือทั้งสองข้างกุมด้ามกระบี่เอาไว้แน่น

พร้อมกับสวมสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่อยู่ในมือเอาไว้ที่ด้ามกระบี่ด้วย

……

……

เมื่อมองเห็นภาพฉากนี้ ราชามารที่อยู่ไกลออกไปพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

แน่นอนว่าเขาทราบดีว่านี่หมายความถึงอะไร

ในเวลานี้ทั้งดินแดนล้วนทราบดี ยามที่กระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงเชื่อมโยงเข้ากับฝักกระบี่ มันจะกลายเป็นกระบี่ยาวทันที

นั่นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเฉินฉางเซิงกำลังใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ

คำถามก็คือ เฉินฉางเซิงน่าจะทราบดีว่าคู่ต่อสู้ของตนนั้นคือใคร

ราชามารรู้ดีว่าเฉินฉางเซิงรู้ เขาจึงไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินฉางเซิงถึงยังต้องการสังหารตนอีก ทั้งยังยืนหยัดยืนอยู่กับที่ไม่ล่าถอย

เขาคิดจริงๆ หรือว่าตนเองสามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งซึ่งมาจากดินแดนอื่นได้

เขาคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังที่ไม่สามารถเอาชนะได้ การสู้จนตัวตายจะมีประโยชน์

เฉินฉางเซิงสงบนิ่งอย่างมาก ไม่ได้แสดงอารมณ์เลือดร้อนหรือหุนหันพลันแล่นใดๆ ออกมาเลย

ทั้งบ้านที่ถูกรัตติกาลปกคลุมอยู่ไม่มีบรรยากาศเศร้าสลดเลย

เขารู้ดีว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด ทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองท่านในวันนี้ถึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่ายามเผชิญหน้ากับเปี๋ยยั่งหงเสียอีก

แต่เขาก็ยังอยากจะลองดู

ก็เหมือนกับในพายุฝนที่เมืองสวินหยางปีนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบี่นั้นของจูลั่ว รวมไปถึงกระบี่แสงจันทร์ที่อยู่เต็มท้องฟ้า เขาทำอย่างที่หวังผ้อได้ทำอย่างนั้น

……

……

แววตาของทูตสวรรค์เซิ่งกวงช่างเฉยเมยยิ่งนัก

เขามองกระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มที่ตกลงมาราวกับพายุฝนในรัตติกาลอย่างเฉยเมย

สายตาของเขาทอดตกลงบนร่างของเฉินฉางเซิง

แววตาของเขาค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง

มันดูเย็นชาขึ้นทุกที ดูโหดร้ายขึ้นทุกที และก็ดูน่ากลัวขึ้นทุกที

แต่ที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวก็คือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงอารมณ์

นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนี้มองเห็นอะไรในกายของเฉินฉางเซิงกันเล่า

หรือว่า เขารับรู้ถึงอะไรในร่างกายของเฉินฉางเซิงได้กันเล่า

คำพูดหนึ่งพยางค์ที่แปลกประหลาดยิ่งนักหลุดออกมาจากริมฝีปากของทูตสวรรค์

ราวกับเกิดเสียงฟ้าร้องนับไม่ถ้วนดังก้องไปทั้งสวรรค์ อเวจี และแดนมนุษย์

เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของราชามารก็ดูประหลาดขึ้นมาทันที

เฉินฉางเซิงก็เช่นเดียวกัน

ไม่ต้องรอให้กฎของสวรรค์และโลกมนุษย์เปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง

เขาก็ราวกับเข้าใจได้ถึงเจตนาของอีกฝ่าย