สถานที่ที่ราชามารยืนอยู่นั้น เคยมีต้นไม้อยู่หนึ่งต้น
ต้นไม้ต้นนั้นตอนนี้ถูกเสียงพิณของนักเล่นพิณตาบอดและเจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงทำลายเสียจนสูญสิ้น
เมื่อเสียงพิณและเจตจำนงกระบี่ลงมือ ใบไม้สีเขียวบนปลายกิ่งที่บอบบางที่สุดของต้นนั้นก็ถูกลมพัดปลิวตกไป
ใบไม้สีเขียวร่วงหล่นลงบนดวงตาที่ปิดอยู่ของรูปปั้นศิลาด้านข้างประตูหลังนั้น
ไม่ว่าเฉินฉางเซิงหรือนักเล่นพิณตาบอด ล้วนไม่ค้นพบถึงการมีอยู่ของรูปปั้นศิลานี้ หากว่ากันตามหลักการแล้ว คงไม่สามารถพบได้ว่ารูปปั้นศิลานี้ลืมตาขึ้น
แต่ยามเมื่อรูปปั้นศิลาลืมตาขึ้นมา ใบไม้สีเขียวต่างก็กระเด้งกระดอนออกไป พวกมันล่องลอยออกไปในสายลม
ใบหูของนักเล่นพิณตาบอดขยับเล็กน้อย มือทั้งสองข้างก็ขยับจับพิณโบราณนั้นให้ขวางกับลำตัว ปราณแท้พลันฮึกเหิมขึ้นมา และกระแทกเฉินฉางเซิงออกไป
ไม่มีเสียงใดดังขึ้น มีเพียงในรัตติกาลจู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างขึ้นมา
แสงสว่างนั้นเป็นจุดแสงเล็กทอดยาว ดูราวกับเข็มเงินเล่มหนึ่ง
ความเร็วของเส้นแสงสว่างนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเป็นแสงจริงๆ เมื่อครู่ยังอยู่ในส่วนลึกของรัตติกาล ต่อมาก็เคลื่อนตัวมาอยู่เบื้องหน้าของคนทั้งสองนี้แล้ว
เกิดเสียงดังฉึก
แสงที่ราวกับเข็มนั้นแทงทะลุพิณโบราณที่นักเล่นพิณตาบอดกอดเอาไว้อยู่ แทงทะลุไหล่ด้านซ้ายของเขา หลังจากนั้นก็หายไปในรัตติกาลอีกครั้ง
สีหน้าของนักเล่นพิณตาบอดกลายเป็นสีซีดขาวอย่างรวดเร็ว โลหิตสดๆ ทะลักไหลออกมาราวกับศิลาหลอมเหลว มือทั้งสองข้างที่โอบพิณโบราณไว้นั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับอีกไม่นานก็จะตกลงไปแล้ว
แสงที่ราวกับเข็มนั้นทิ้งร่องรอยที่เล็กมากไว้บนไหล่ซ้ายของเขา แต่ราวกับมันทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มบินกลับมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน พวกมันปกป้องเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอดเอาไว้
กระบี่นับไม่ถ้วนหันเอาด้านแหลมคมไปทางรอบนอก มองดูแล้วเหมือนกับผลไม้ที่เต็มไปด้วยหนาม
นี่เป็นค่ายกลเคลื่อนกระบี่ที่มั่นคงที่สุดในค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั่นเอง
นักเล่นพิณตาบอดโล่งใจเล็กน้อย เขาทนรับความเจ็บปวดไม่ได้อีกต่อไป จึงครางออกมาก่อนวางพิณโบราณในมือลง
แสงที่ราวกับเข็มเรียวยาวทะลุไหล่ซ้ายของเขา ด้านบนมีลมปราณที่ศักดิ์สิทธิ์ทว่าแปลกประหลาดเคลือบอยู่ กลับกัดกินเส้นเลือดของเขาไม่หยุด
หากอาศัยระดับขั้นอันสูงส่งที่อีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของนักเล่นพิณตาบอดแล้ว ต่อให้ใช้ลมปราณแท้จนหมด ก็ไม่มีทางใช้ดวงจิตขับเอาลมปราณนั้นออกไปได้
นี่คือลมปราณอะไรกัน แสงที่ราวกับเข็มนั้นคือสิ่งใดกันเล่า
สายตาของเฉินฉางเซิงและนักเล่นพิณตาบอด มองทะลุผ่านมรสุมกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าออกไป ทอดตกลงบนรูปปั้นศิลานั้น
รูปปั้นศิลานั้นเปิดดวงตาขึ้นแล้ว อีกทั้งยังลุกขึ้นยืนด้วย
แววตาของมันเฉยเมยยิ่งนัก ไม่ได้แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ไม่มีความรักและไม่มีความเกลียดชัง มีเพียงสายตาเย็นชาราวกับไม่มีชีวิต
แต่ลมปราณแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากสายตาเขานั้น กลับดูสมจริงและมีชีวิต
หากมองลึกเข้าไปในดวงตาเขา อาจจะมองเห็นถึงสติปัญญาที่บริสุทธิ์ นั่นก็คือหลักการระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์
ไม่ต้องสงสัยเลย รูปปั้นศิลานี้คือสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริงๆ
เพียงแต่เขาไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่เคยปรากฏขึ้นบนดินแดนนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดำรงอยู่หรือว่าที่มา
นักเล่นพิณตาบอดมองไม่เห็นถึงร่างกายที่สมบูรณ์แบบและเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย รวมไปถึงปีกศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นด้วย
แต่เขารับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนมาก
สีหน้าของเขากลับกลายเป็นสีเผือด
รูปปั้นศิลาค่อยๆ ยกมือขวาของตนขึ้นมาอย่างช้าๆ
รัตติกาลปกคลุมไปทั่วทั้งตัวบ้าน มันมืดสลัวหาใดเปรียบ แม้แต่เฉินฉางเซิงยังทำได้เพียงอาศัยดวงจิตในการสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
แต่ขณะที่รูปปั้นศิลายกมือขวาขึ้น แสงบางส่วนที่ซ่อนอยู่ในรอยแตกของพื้นที่ยังคงถูกสกัดออกมาจากส่วนลึกที่สุดในรัตติกาลนั้นอยู่
เส้นแสงเหล่านั้นมารวมตัวบรรจบกันอยู่ในมือของเขา ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นช่อ หลังจากนั้นก็บังเกิดรูปร่างขึ้นมา
นั่นคือหอกที่รวมตัวกันขึ้นจากเส้นแสงหนึ่งช่อ
นักเล่นพิณตาบอดเอียงหูฟังทางด้านนั้น ฟังเสียงช่องว่างเล็กละเอียดที่ถูกเส้นแสงเหล่านั้นทะลุทะลวงผ่านแล้วดับสูญไป สีหน้าไม่ได้ซีดขาวอีกต่อไป
เขาไม่ได้มีความคิดอื่นใดอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ตื่นตัวและมิได้ไม่สบายใจอีก
เขาใช้มืออันสั่นเทาของตนกอดพิณโบราณเอาไว้แน่น พลางกระซิบกับเฉินฉางเซิงว่า “ไปเสีย”
แสงที่ราวกับเข็มแหลมเล็กนั่นทำให้เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตอบโต้ ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยคือหอกแสง!
เฉินฉางเซิงเข้าใจในเจตนาของนักเล่นพิณตาบอดดี
นักเล่นพิณตาบอดเตรียมใช้ชีวิตของเขาในการแลกเปลี่ยน เขาเตรียมต้านปะทะหอกแสงนี้และการไล่ล่าของราชามารเอาไว้
ขอเพียงเฉินฉางเซิงสามารถถอยออกไปจากตัวบ้านนี้ได้ ก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในค่ายกลพระราชวังหลีได้
ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองท่านที่มาจากต่างดินแดนผู้แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสมีชีวิตรอดหลายส่วน หรืออาจจะพูดได้ว่ามีเวลามากขึ้นอีกหน่อย
เฉินฉางเซิงมิได้ตอบรับคำขอของนักเล่นพิณตาบอด
ในตอนนี้ ต่อให้มีเวลามากอีกสักหน่อย ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสรอดมากขึ้นหลายส่วน
และเขาก็จะไม่ให้นักเล่นพิณตาบอดอยู่ที่นี่ตามลำพังแน่นอน
ก่อนหน้านี้เขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขารู้ว่าในตอนที่ตนจะสังหารราชามาร ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะพบเจอเข้ากับทูตสวรรค์เซิ่งกวงตนที่สอง
ซึ่งก็คือรูปปั้นศิลาที่ฟื้นชีวิตขึ้นมานี้เอง
หากอ้างอิงตามคำกล่าวของเปี๋ยยั่งหง ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้สังกัดกรมพิจารณาคดี มีนามศักดิ์สิทธิ์ว่าอิ่นเหลย น่ากลัวยิ่งเสียกว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นที่กำลังต่อกรกับค่ายกลพระราชวังหลีเสียอีก
เฉินฉางเซิงชักเอากระบี่ไร้ราคีเชื่อมเข้าด้วยกันกับฝักกระบี่ หลังจากนั้นใช้มือทั้งสองข้างกุมด้ามกระบี่เอาไว้แน่น
พร้อมกับสวมสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่อยู่ในมือเอาไว้ที่ด้ามกระบี่ด้วย
……
……
เมื่อมองเห็นภาพฉากนี้ ราชามารที่อยู่ไกลออกไปพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขาทราบดีว่านี่หมายความถึงอะไร
ในเวลานี้ทั้งดินแดนล้วนทราบดี ยามที่กระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงเชื่อมโยงเข้ากับฝักกระบี่ มันจะกลายเป็นกระบี่ยาวทันที
นั่นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเฉินฉางเซิงกำลังใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ
คำถามก็คือ เฉินฉางเซิงน่าจะทราบดีว่าคู่ต่อสู้ของตนนั้นคือใคร
ราชามารรู้ดีว่าเฉินฉางเซิงรู้ เขาจึงไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินฉางเซิงถึงยังต้องการสังหารตนอีก ทั้งยังยืนหยัดยืนอยู่กับที่ไม่ล่าถอย
เขาคิดจริงๆ หรือว่าตนเองสามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งซึ่งมาจากดินแดนอื่นได้
เขาคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังที่ไม่สามารถเอาชนะได้ การสู้จนตัวตายจะมีประโยชน์
เฉินฉางเซิงสงบนิ่งอย่างมาก ไม่ได้แสดงอารมณ์เลือดร้อนหรือหุนหันพลันแล่นใดๆ ออกมาเลย
ทั้งบ้านที่ถูกรัตติกาลปกคลุมอยู่ไม่มีบรรยากาศเศร้าสลดเลย
เขารู้ดีว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด ทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองท่านในวันนี้ถึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่ายามเผชิญหน้ากับเปี๋ยยั่งหงเสียอีก
แต่เขาก็ยังอยากจะลองดู
ก็เหมือนกับในพายุฝนที่เมืองสวินหยางปีนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบี่นั้นของจูลั่ว รวมไปถึงกระบี่แสงจันทร์ที่อยู่เต็มท้องฟ้า เขาทำอย่างที่หวังผ้อได้ทำอย่างนั้น
……
……
แววตาของทูตสวรรค์เซิ่งกวงช่างเฉยเมยยิ่งนัก
เขามองกระบี่เจ็ดร้อยกว่าเล่มที่ตกลงมาราวกับพายุฝนในรัตติกาลอย่างเฉยเมย
สายตาของเขาทอดตกลงบนร่างของเฉินฉางเซิง
แววตาของเขาค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง
มันดูเย็นชาขึ้นทุกที ดูโหดร้ายขึ้นทุกที และก็ดูน่ากลัวขึ้นทุกที
แต่ที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวก็คือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงอารมณ์
นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนี้มองเห็นอะไรในกายของเฉินฉางเซิงกันเล่า
หรือว่า เขารับรู้ถึงอะไรในร่างกายของเฉินฉางเซิงได้กันเล่า
คำพูดหนึ่งพยางค์ที่แปลกประหลาดยิ่งนักหลุดออกมาจากริมฝีปากของทูตสวรรค์
ราวกับเกิดเสียงฟ้าร้องนับไม่ถ้วนดังก้องไปทั้งสวรรค์ อเวจี และแดนมนุษย์
เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของราชามารก็ดูประหลาดขึ้นมาทันที
เฉินฉางเซิงก็เช่นเดียวกัน
ไม่ต้องรอให้กฎของสวรรค์และโลกมนุษย์เปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง
เขาก็ราวกับเข้าใจได้ถึงเจตนาของอีกฝ่าย