ราชันเร้นลับ 1319 : ‘คาถาช่วยชีวิต’

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เมื่อเห็นว่าออเดรย์เต็มใจที่จะสืบสวน เดอราลพยักหน้าแผ่วเบา

“ผมจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบในภายหลัง แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าเรื่องนี้อันตรายมาก คุณห้ามประมาท”

กล่าวจบ เดอราลหยุดชั่วขณะ

“หากคุณเผชิญปัญหาและเอาตัวรอดเองไม่ได้ ลองเอ่ยนามหนึ่ง คุณอาจมีโอกาสรอด”

“นามใด” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย

สีหน้าเดอราลเริ่มเคร่งขรึม

“มาจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้สร้างในยุคสมัยที่สาม เกี่ยวพันกับจุดสูงสุดของศาสตร์เร้นลับในขอบเขตจิตใจ และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบางสิ่งของสมาคมแปรจิต… นามนั้นคืออาดัม”

อาดัม… ออเดรย์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร แต่ภายนอกแสดงออกถึงความสับสน ราวกับไม่เคยทราบมาก่อนว่านามนั้นมีความสำคัญอย่างไร

เดอราลไม่อธิบาย เพียงกล่าวต่อไป

“ในฐานะคณะกรรมการ คุณควรรับผิดชอบสมบัติปิดผนึกระดับ 1 จำนวนหนึ่งชิ้น แต่คุณและมิสเตอร์โทสะเพิ่งเข้าร่วม ทางเราคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อตรวจสอบ นอกจากนั้น อดีตสมาชิกอย่างเฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งดูแลเขตเบ็คลันด์ได้หายตัวไปพร้อมกับสมบัติปิดผนึกที่ค่อนข้างสำคัญ เราจึงกำลังพิจารณาว่า จะเปลี่ยนวิธีการเก็บรักษาสมบัติปิดผนึก จากเดิมที่อนุญาตให้พกติดตัวตลอดเวลา เป็นการเบิกใช้ตามความจำเป็น… กล่าวคือ สมบัติปิดผนึกทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในเมืองแห่งจิตนี้ ไม่ได้พกพาติดตัวตลอดเวลา ต้องมีเหตุก่อน จึงจะได้สิทธิ์เบิกใช้งานในช่วงเวลาสั้นๆ”

มาดามละโมบผู้ดูแลเขตกรุงนักบุญมิลลอมแห่งฟุซัคส่ายหน้าทันที

“วิธีนี้มีข้อเสียใหญ่หลวง นั่นก็คือ เราจะไม่สามารถรับมือกับเหตุไม่คาดฝันได้ทันเวลา เมื่อต้องเผชิญหน้ากะทันหัน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสัตว์ประหลาด ก็คงไม่มีเวลาให้มัวเบิกและรอรับสิ่งของ… ดิฉันคิดว่าแนวทางในปัจจุบันดีพออยู่แล้ว แต่ละคนถือครองสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ไว้คนละหนึ่งชิ้น และเมื่อมีเหตุจำเป็นก็สามารถเบิกใช้งานเพิ่มได้”

เดอราลยิ้ม

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน วิธีเดิมอาจดีกว่า แต่ตอนนี้วิธีใหม่ก็ไม่ได้แย่… ขอเพียงเอาตัวรอดออกมาได้ คุณสามารถเข้าสู่เมืองแห่งจิตได้โดยตรงเพื่อหลบหนีศัตรูพร้อมกับนำสมบัติปิดผนึกติดตัวกลับไป… แต่ถ้าเผชิญเหตุการณ์วิกฤตอย่างแท้จริง ก็ควรเอ่ยนาม ‘อาดัม’ ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น”

คุณพูดว่าอาดัมสองหนแล้ว บุคคลดังกล่าวอาจกำลังเฝ้าจับตามองที่นี่อยู่… ไม่สิ อาจจับตามองมาตั้งแต่ต้น… ออเดรย์เกือบปล่อยให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น

“เช่นนั้นแล้ว พวกเราจะเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่มีคำเชิญจากคุณ” มิสเตอร์ริษยาถามพลางพยักหน้า

เดอราลชี้ใบหน้าตัวเอง

“หลังจากการประชุมวันนี้เป็นต้นไป พวกคุณสามารถนำหน้ากากบุคลิกของตัวเองออกจากเมืองได้… ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ขอเพียงมีมนุษย์อย่างน้อยสองคน… อา… ไม่นับตัวคุณเอง คุณก็จะเข้ามายังเมืองนี้ได้ทันทีด้วยการสวมหน้ากากบุคลิก… หน้ากากบุคลิกทั้งเจ็ดมีแก่นแท้เป็นภาพลวงตา มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้จิตกับการรับรู้ของคุณ ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาด้วยวิธีพิเศษ สามารถนำออกจากทะเลจิตใต้สำนึกรวมได้ทุกเวลาตราบเท่าที่ปรารถนา”

ทันใดนั้น สุภาพบุรุษผู้สวมหน้ากากตะกละซึ่งมอบบรรยากาศหลงระเริงและปล่อยตัว ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม

“การนำหน้ากากบุคลิกออกจากเมือง จะส่งอิทธิพลกับสภาพจิตใจและบุคลิกที่แท้จริงของเราหรือไม่?”

“อาจได้รับอิทธิพลบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านขอบเขตจิตใจ และเก่งกาจเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง” เดอราลกล่าวเถรตรง

ออเดรย์เป็นกังวลว่า หน้ากากบุคลิกทั้งเจ็ดอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาดัม แต่เธอไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายในเมืองแห่งจิต ทำได้เพียงบังคับให้ตัวเองสมองโล่งและตอบสนองต่อคำพูดเมื่อครู่ของเดอราล

“ดิฉันไม่ติดขัดวิธีเก็บรักษาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ทั้งสองแบบ และยินดีอดทนรอจนกว่าพวกคุณจะตรวจสอบเสร็จ”

“คุณหนู ไม่ทะนงตนเอาเสียเลย” มิสเกียจคร้านซึ่งดูเหมือนกำลังหลับ แสดงความคิดเห็นด้วยรอยยิ้ม

หลังจากหารือเกี่ยวกับมังกรจิตในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก คณะกรรมการทั้งห้าได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ควรเอาใจใส่ในพื้นที่ดูแลของตัวเอง

ระหว่างนั้น มิสเตอร์ตะกละซึ่งดูคล้ายกับจะกินวัวเข้าไปได้ทั้งตัว และเป็นเจ้าของแหวนสิบวงบนนิ้วมือ กล่าวกับทุกคน:

“เขตคอนสแตนไม่เงียบสงบสักเท่าไรในระยะหลัง มีสิ่งที่ใกล้เคียงปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง: ประการแรก เมืองคอนสแตนถูกสร้างขึ้นใหม่ในชั่วข้ามคืน ประการที่สอง ชาวเมืองเบลดันสูญเสียความทรงจำไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง และประการที่สาม มีนักมายากลที่แข็งแกร่งกำลังพเนจรอยู่ทางแถบฝั่งตะวันออกของแคว้นเลียบทะเล ชื่อของเขาคือเมอร์ลิน·เฮอร์มิส มีความสุขกับการเติมเต็มความปรารถนาให้ผู้อื่น และเรื่องของเขาเกี่ยวพันกับเครื่องจักรที่เรียกว่า เครื่องแจกพรอัตโนมัติ… นอกจากนั้น ผมยังตระหนักถึงบางสิ่งไม่ปรกติ นั่นก็คือ หนู แมลงสาบ และอีกาจำนวนมากในเมืองคอนสแตนได้สิ้นสติพร้อมกันภายในไม่กี่วันหลังจากเมืองคอนสแตนถูกฟื้นฟูอย่างน่าอัศจรรย์”

“สำหรับปัญหาข้อสุดท้าย อะไรดลใจให้คุณไปตรวจสอบ?” มิสเตอร์ราคะถามมิสเตอร์ตะกละด้วยสายมองล่างขึ้นบน

มิสเตอร์ตะกละกลืนน้ำลายหนึ่งอึกก่อนจะตอบ

“ในระยะหลัง ผมกำลังศึกษาปัญหาทางจิตของสิ่งมีชีวิตทั่วไปอย่างหนู แมลงสาบ และอีกาเป็นกลุ่มทดลอง”

คณะกรรมการต่างอภิปรายถึงทิศทางการวิจัยดังกล่าว การประชุมได้เข้าสู่ช่วงที่สามอย่างเป็นทางการ

ออเดรย์ได้เรียนรู้หลายสิ่งจากการประชุมเชิงวิชาการ คอยฟังอย่างตั้งใจ ระหว่างนั้นก็แบ่งปันประสบการณ์ตัวเองเป็นครั้งคราว

“เอาล่ะ การประชุมคณะกรรมการจบลงเพียงเท่านี้” ผ่านไปสักพัก เดอราลปรบมือแผ่วเบา

ออเดรย์เกือบจะลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกเพื่อนำคณะกรรมการคำนับประธานใหญ่ แต่เธอก็ได้สติอย่างรวดเร็วและยังคงนั่งต่อไป ก่อนจะยืนขึ้นเป็นคนรองสุดท้าย

ก่อนจากไป หญิงสาวถามด้วยความสงสัย

“ท่านประธาน เมืองนี้ชื่อมีชื่อไหมคะ”

“มีสิ” เดอราลตอบพลางยิ้ม “สวนเอเดน”

สวนเอเดน… เมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นเดินไปถึงประตู ออเดรย์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ที่นี่มีวิหารหลายแห่ง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา เอ่อ… ดิฉันอยากทราบว่า ‘ชาวเมือง’ ที่นี่นับถือผู้ใด”

เดอราลพยักหน้า ตอบเสียงขรึม

“มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง”

สวนเอเดน… มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง… ถ้านี่ไม่ใช่เมืองของอาดัม เราจะยอมเขียนชื่อตัวเองกลับด้าน! เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ ไคลน์จ้องดาวแดงตัวแทนจัสติสพลางพึมพำ

ยิ่งไปกว่านั้น การให้ท่องนามเต็มของอาดัมขณะเผชิญอันตรายก็ตอบทุกสิ่งในตัวเองอยู่แล้ว

นับตั้งแต่มิสจัสติสเข้าสู่สวนเอเดน ตาทิพย์มุมสูงของปราสาทต้นกำเนิดก็ถูกระงับ ไคลน์ทำได้เพียงอาศัยมุมมองจากมิสจัสติสโดยตรงเพื่อสังเกตสถานการณ์โดยรอบ เฉกเช่นในยามจับตามองราชินีเงื่อนงำ ในแง่หนึ่ง สิ่งนี้สามารถอธิบายถึงระดับตัวตนของเมืองแห่งจิต สวนเอเดนได้เป็นอย่างดี

ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว เสกปากกาและกระดาษเพื่อเขียนความคิดตัวเอง

ไม่ใช่เพราะมันวิเคราะห์ในหัวไม่ได้ แต่เพราะอีกฝ่ายคืออาดัม จึงต้องตรวจสอบรายละเอียดทุกแง่มุมโดยห้ามตกหล่น ดังนั้น การเขียนลงบนกระดาษสามารถทำให้ย้อนคิดกลับไปกลับมาได้ เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้

“ข้อมูลเบื้องต้น: อาดัมกลายเป็นลำดับ 0 เรียบร้อยแล้วโดยอาศัยความช่วยเหลือจากสงครามโลก กลายเป็นเทพแท้จริง และในปัจจุบันควรถูกเรียกว่า ‘นักสร้างฝัน’”

“มิสจัสติสกลายเป็นลำดับ 4 ‘จอมบงการ’ ได้ไม่นานหลังจากที่เฮอร์วิน·แรมบิสเสียชีวิต เธออาจตบตาคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่กับอาดัม”

“อาดัมคิดจะทำอะไรกันแน่? การลงมาล้วงลูกนักบุญลำดับ 4 ไม่สอดคล้องกับตัวตนในฐานะ ‘นักสร้างฝัน’ เว้นเสียแต่จะมีแผนอื่น…”

“เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือมังกรจิตตัวนั้น หรือเราที่อยู่เบื้องหลังมิสจัสติส?”

“สำหรับเรื่องนี้ เราต้องเพิ่มความระวังเป็นเท่าตัว ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด”

“ในสวนเอเดน วิหารที่คณะกรรมการของสมาคมแปรจิตใช้ประชุมนั้นค่อนข้างคล้ายกับวิหารกระดูกของอาดัม แต่ก็แค่คล้าย เหมือนกันเฉพาะเสาหินที่ฝังกะโหลก แต่ด้านในยังแตกต่าง แถมยังมีสีทึบและค่อนข้างมืด สิ่งนี้หมายถึงอะไร?”

“มังกรสีเทาอ่อนที่เลื้อยพันรอบไม้กางเขนยักษ์เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด? ก้าวแรกในการคืนชีพให้พระผู้สร้างประสบความสำเร็จแล้ว?”

“อาดัมเป็นนักสร้างฝันอยู่แล้ว หากบิดาหรือพระผู้สร้างคืนชีพกลับมา คนที่โชคร้ายที่สุดก็ต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย… ยอมเสียสละตัวเอง? นี่คือที่มาของฉายา ‘ขี้ระแวง’ ?”

“กระต่ายตัวนั้นน่าจะเป็นเฮอร์มิส… แต่ในฐานะเทวทูตเส้นทางผู้ชม เขาน่าจะยกเลิกคำสาปของมิสผู้ส่งสารได้นานแล้ว โดยเฉพาะการมีนักสร้างฝันคอยหนุนหลัง… เขาตั้งใจคงร่างกระต่ายไว้?”

“จริงสิ เดอราล ประธานใหญ่แห่งสมาคมแปรจิตได้กล่าวไว้ว่า สำหรับผู้ชม ความตายเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของตัวตนหนึ่ง แต่ยังมีชีวิตอยู่ในบทละครเรื่องอื่นในฐานะตัวตนอื่น…”

“เมื่อนำทั้งสองเรื่องมารวมกัน อาจสรุปได้ว่าหลังจากผู้ชมก้าวไปถึงลำดับ 3 หรือ 2 พวกเขาสามารถแยกตัวตนที่เคยสร้างขึ้นในอดีตออกมาและทำให้เป็น ‘คนจริง’ ได้ และถึงตัวตนนั้นจะตายก็ไม่กระทบกับร่างต้น?”

“ก็ฟังดูเหมาะสมกับการเป็นตัวตนก่อนถึง ‘นักสร้างฝัน’”

“เฮอร์มิสแยกตัวตนกระต่ายที่เขาเคยถูกสาป และนำมาเข้าร่วมสมาคมแปรจิตในฐานะกรรมการ… คิดจะทำอะไรกันแน่? ย้อนกลับไปในอดีต เขาเคยนั่งข้างจักรพรรดิเมื่อครั้งสภานักสิทธิ์สนธยาจัดประชุม…”

เขียนเสร็จ ไคลน์วางปากกาลงและอ่านทวนเนื้อหาบนกระดาษอย่างตั้งใจ สมองของมันเต็มไปด้วยคำถาม

ในท้ายที่สุด ชายหนุ่มตัดสินใจคอยจับตามองไปก่อน แต่เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน จัสติสออเดรย์ขึ้นรถม้าคันเดิมกลับออกจากสวนเอเดน นั่งมาจนถึงสวนสาธารณะในเขตราชินีซึ่งมีทะเลสาบเทียม

หญิงสาวไม่รีบร้อนสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อขอวิธีผนึกหน้ากากทระนง เพียงเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

…………………………………