เมื่อเห็นว่าออเดรย์เต็มใจที่จะสืบสวน เดอราลพยักหน้าแผ่วเบา
“ผมจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบในภายหลัง แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าเรื่องนี้อันตรายมาก คุณห้ามประมาท”
กล่าวจบ เดอราลหยุดชั่วขณะ
“หากคุณเผชิญปัญหาและเอาตัวรอดเองไม่ได้ ลองเอ่ยนามหนึ่ง คุณอาจมีโอกาสรอด”
“นามใด” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย
สีหน้าเดอราลเริ่มเคร่งขรึม
“มาจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้สร้างในยุคสมัยที่สาม เกี่ยวพันกับจุดสูงสุดของศาสตร์เร้นลับในขอบเขตจิตใจ และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบางสิ่งของสมาคมแปรจิต… นามนั้นคืออาดัม”
อาดัม… ออเดรย์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร แต่ภายนอกแสดงออกถึงความสับสน ราวกับไม่เคยทราบมาก่อนว่านามนั้นมีความสำคัญอย่างไร
เดอราลไม่อธิบาย เพียงกล่าวต่อไป
“ในฐานะคณะกรรมการ คุณควรรับผิดชอบสมบัติปิดผนึกระดับ 1 จำนวนหนึ่งชิ้น แต่คุณและมิสเตอร์โทสะเพิ่งเข้าร่วม ทางเราคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อตรวจสอบ นอกจากนั้น อดีตสมาชิกอย่างเฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งดูแลเขตเบ็คลันด์ได้หายตัวไปพร้อมกับสมบัติปิดผนึกที่ค่อนข้างสำคัญ เราจึงกำลังพิจารณาว่า จะเปลี่ยนวิธีการเก็บรักษาสมบัติปิดผนึก จากเดิมที่อนุญาตให้พกติดตัวตลอดเวลา เป็นการเบิกใช้ตามความจำเป็น… กล่าวคือ สมบัติปิดผนึกทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในเมืองแห่งจิตนี้ ไม่ได้พกพาติดตัวตลอดเวลา ต้องมีเหตุก่อน จึงจะได้สิทธิ์เบิกใช้งานในช่วงเวลาสั้นๆ”
มาดามละโมบผู้ดูแลเขตกรุงนักบุญมิลลอมแห่งฟุซัคส่ายหน้าทันที
“วิธีนี้มีข้อเสียใหญ่หลวง นั่นก็คือ เราจะไม่สามารถรับมือกับเหตุไม่คาดฝันได้ทันเวลา เมื่อต้องเผชิญหน้ากะทันหัน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสัตว์ประหลาด ก็คงไม่มีเวลาให้มัวเบิกและรอรับสิ่งของ… ดิฉันคิดว่าแนวทางในปัจจุบันดีพออยู่แล้ว แต่ละคนถือครองสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ไว้คนละหนึ่งชิ้น และเมื่อมีเหตุจำเป็นก็สามารถเบิกใช้งานเพิ่มได้”
เดอราลยิ้ม
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน วิธีเดิมอาจดีกว่า แต่ตอนนี้วิธีใหม่ก็ไม่ได้แย่… ขอเพียงเอาตัวรอดออกมาได้ คุณสามารถเข้าสู่เมืองแห่งจิตได้โดยตรงเพื่อหลบหนีศัตรูพร้อมกับนำสมบัติปิดผนึกติดตัวกลับไป… แต่ถ้าเผชิญเหตุการณ์วิกฤตอย่างแท้จริง ก็ควรเอ่ยนาม ‘อาดัม’ ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น”
คุณพูดว่าอาดัมสองหนแล้ว บุคคลดังกล่าวอาจกำลังเฝ้าจับตามองที่นี่อยู่… ไม่สิ อาจจับตามองมาตั้งแต่ต้น… ออเดรย์เกือบปล่อยให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น
“เช่นนั้นแล้ว พวกเราจะเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่มีคำเชิญจากคุณ” มิสเตอร์ริษยาถามพลางพยักหน้า
เดอราลชี้ใบหน้าตัวเอง
“หลังจากการประชุมวันนี้เป็นต้นไป พวกคุณสามารถนำหน้ากากบุคลิกของตัวเองออกจากเมืองได้… ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ขอเพียงมีมนุษย์อย่างน้อยสองคน… อา… ไม่นับตัวคุณเอง คุณก็จะเข้ามายังเมืองนี้ได้ทันทีด้วยการสวมหน้ากากบุคลิก… หน้ากากบุคลิกทั้งเจ็ดมีแก่นแท้เป็นภาพลวงตา มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้จิตกับการรับรู้ของคุณ ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาด้วยวิธีพิเศษ สามารถนำออกจากทะเลจิตใต้สำนึกรวมได้ทุกเวลาตราบเท่าที่ปรารถนา”
ทันใดนั้น สุภาพบุรุษผู้สวมหน้ากากตะกละซึ่งมอบบรรยากาศหลงระเริงและปล่อยตัว ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม
“การนำหน้ากากบุคลิกออกจากเมือง จะส่งอิทธิพลกับสภาพจิตใจและบุคลิกที่แท้จริงของเราหรือไม่?”
“อาจได้รับอิทธิพลบางอย่าง แต่ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านขอบเขตจิตใจ และเก่งกาจเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง” เดอราลกล่าวเถรตรง
ออเดรย์เป็นกังวลว่า หน้ากากบุคลิกทั้งเจ็ดอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาดัม แต่เธอไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายในเมืองแห่งจิต ทำได้เพียงบังคับให้ตัวเองสมองโล่งและตอบสนองต่อคำพูดเมื่อครู่ของเดอราล
“ดิฉันไม่ติดขัดวิธีเก็บรักษาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ทั้งสองแบบ และยินดีอดทนรอจนกว่าพวกคุณจะตรวจสอบเสร็จ”
“คุณหนู ไม่ทะนงตนเอาเสียเลย” มิสเกียจคร้านซึ่งดูเหมือนกำลังหลับ แสดงความคิดเห็นด้วยรอยยิ้ม
หลังจากหารือเกี่ยวกับมังกรจิตในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก คณะกรรมการทั้งห้าได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ควรเอาใจใส่ในพื้นที่ดูแลของตัวเอง
ระหว่างนั้น มิสเตอร์ตะกละซึ่งดูคล้ายกับจะกินวัวเข้าไปได้ทั้งตัว และเป็นเจ้าของแหวนสิบวงบนนิ้วมือ กล่าวกับทุกคน:
“เขตคอนสแตนไม่เงียบสงบสักเท่าไรในระยะหลัง มีสิ่งที่ใกล้เคียงปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง: ประการแรก เมืองคอนสแตนถูกสร้างขึ้นใหม่ในชั่วข้ามคืน ประการที่สอง ชาวเมืองเบลดันสูญเสียความทรงจำไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง และประการที่สาม มีนักมายากลที่แข็งแกร่งกำลังพเนจรอยู่ทางแถบฝั่งตะวันออกของแคว้นเลียบทะเล ชื่อของเขาคือเมอร์ลิน·เฮอร์มิส มีความสุขกับการเติมเต็มความปรารถนาให้ผู้อื่น และเรื่องของเขาเกี่ยวพันกับเครื่องจักรที่เรียกว่า เครื่องแจกพรอัตโนมัติ… นอกจากนั้น ผมยังตระหนักถึงบางสิ่งไม่ปรกติ นั่นก็คือ หนู แมลงสาบ และอีกาจำนวนมากในเมืองคอนสแตนได้สิ้นสติพร้อมกันภายในไม่กี่วันหลังจากเมืองคอนสแตนถูกฟื้นฟูอย่างน่าอัศจรรย์”
“สำหรับปัญหาข้อสุดท้าย อะไรดลใจให้คุณไปตรวจสอบ?” มิสเตอร์ราคะถามมิสเตอร์ตะกละด้วยสายมองล่างขึ้นบน
มิสเตอร์ตะกละกลืนน้ำลายหนึ่งอึกก่อนจะตอบ
“ในระยะหลัง ผมกำลังศึกษาปัญหาทางจิตของสิ่งมีชีวิตทั่วไปอย่างหนู แมลงสาบ และอีกาเป็นกลุ่มทดลอง”
คณะกรรมการต่างอภิปรายถึงทิศทางการวิจัยดังกล่าว การประชุมได้เข้าสู่ช่วงที่สามอย่างเป็นทางการ
ออเดรย์ได้เรียนรู้หลายสิ่งจากการประชุมเชิงวิชาการ คอยฟังอย่างตั้งใจ ระหว่างนั้นก็แบ่งปันประสบการณ์ตัวเองเป็นครั้งคราว
“เอาล่ะ การประชุมคณะกรรมการจบลงเพียงเท่านี้” ผ่านไปสักพัก เดอราลปรบมือแผ่วเบา
ออเดรย์เกือบจะลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกเพื่อนำคณะกรรมการคำนับประธานใหญ่ แต่เธอก็ได้สติอย่างรวดเร็วและยังคงนั่งต่อไป ก่อนจะยืนขึ้นเป็นคนรองสุดท้าย
ก่อนจากไป หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
“ท่านประธาน เมืองนี้ชื่อมีชื่อไหมคะ”
“มีสิ” เดอราลตอบพลางยิ้ม “สวนเอเดน”
สวนเอเดน… เมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นเดินไปถึงประตู ออเดรย์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ที่นี่มีวิหารหลายแห่ง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา เอ่อ… ดิฉันอยากทราบว่า ‘ชาวเมือง’ ที่นี่นับถือผู้ใด”
เดอราลพยักหน้า ตอบเสียงขรึม
“มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง”
…
สวนเอเดน… มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง… ถ้านี่ไม่ใช่เมืองของอาดัม เราจะยอมเขียนชื่อตัวเองกลับด้าน! เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ ไคลน์จ้องดาวแดงตัวแทนจัสติสพลางพึมพำ
ยิ่งไปกว่านั้น การให้ท่องนามเต็มของอาดัมขณะเผชิญอันตรายก็ตอบทุกสิ่งในตัวเองอยู่แล้ว
นับตั้งแต่มิสจัสติสเข้าสู่สวนเอเดน ตาทิพย์มุมสูงของปราสาทต้นกำเนิดก็ถูกระงับ ไคลน์ทำได้เพียงอาศัยมุมมองจากมิสจัสติสโดยตรงเพื่อสังเกตสถานการณ์โดยรอบ เฉกเช่นในยามจับตามองราชินีเงื่อนงำ ในแง่หนึ่ง สิ่งนี้สามารถอธิบายถึงระดับตัวตนของเมืองแห่งจิต สวนเอเดนได้เป็นอย่างดี
ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว เสกปากกาและกระดาษเพื่อเขียนความคิดตัวเอง
ไม่ใช่เพราะมันวิเคราะห์ในหัวไม่ได้ แต่เพราะอีกฝ่ายคืออาดัม จึงต้องตรวจสอบรายละเอียดทุกแง่มุมโดยห้ามตกหล่น ดังนั้น การเขียนลงบนกระดาษสามารถทำให้ย้อนคิดกลับไปกลับมาได้ เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้
“ข้อมูลเบื้องต้น: อาดัมกลายเป็นลำดับ 0 เรียบร้อยแล้วโดยอาศัยความช่วยเหลือจากสงครามโลก กลายเป็นเทพแท้จริง และในปัจจุบันควรถูกเรียกว่า ‘นักสร้างฝัน’”
“มิสจัสติสกลายเป็นลำดับ 4 ‘จอมบงการ’ ได้ไม่นานหลังจากที่เฮอร์วิน·แรมบิสเสียชีวิต เธออาจตบตาคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่กับอาดัม”
“อาดัมคิดจะทำอะไรกันแน่? การลงมาล้วงลูกนักบุญลำดับ 4 ไม่สอดคล้องกับตัวตนในฐานะ ‘นักสร้างฝัน’ เว้นเสียแต่จะมีแผนอื่น…”
“เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือมังกรจิตตัวนั้น หรือเราที่อยู่เบื้องหลังมิสจัสติส?”
“สำหรับเรื่องนี้ เราต้องเพิ่มความระวังเป็นเท่าตัว ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด”
“ในสวนเอเดน วิหารที่คณะกรรมการของสมาคมแปรจิตใช้ประชุมนั้นค่อนข้างคล้ายกับวิหารกระดูกของอาดัม แต่ก็แค่คล้าย เหมือนกันเฉพาะเสาหินที่ฝังกะโหลก แต่ด้านในยังแตกต่าง แถมยังมีสีทึบและค่อนข้างมืด สิ่งนี้หมายถึงอะไร?”
“มังกรสีเทาอ่อนที่เลื้อยพันรอบไม้กางเขนยักษ์เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด? ก้าวแรกในการคืนชีพให้พระผู้สร้างประสบความสำเร็จแล้ว?”
“อาดัมเป็นนักสร้างฝันอยู่แล้ว หากบิดาหรือพระผู้สร้างคืนชีพกลับมา คนที่โชคร้ายที่สุดก็ต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย… ยอมเสียสละตัวเอง? นี่คือที่มาของฉายา ‘ขี้ระแวง’ ?”
“กระต่ายตัวนั้นน่าจะเป็นเฮอร์มิส… แต่ในฐานะเทวทูตเส้นทางผู้ชม เขาน่าจะยกเลิกคำสาปของมิสผู้ส่งสารได้นานแล้ว โดยเฉพาะการมีนักสร้างฝันคอยหนุนหลัง… เขาตั้งใจคงร่างกระต่ายไว้?”
“จริงสิ เดอราล ประธานใหญ่แห่งสมาคมแปรจิตได้กล่าวไว้ว่า สำหรับผู้ชม ความตายเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของตัวตนหนึ่ง แต่ยังมีชีวิตอยู่ในบทละครเรื่องอื่นในฐานะตัวตนอื่น…”
“เมื่อนำทั้งสองเรื่องมารวมกัน อาจสรุปได้ว่าหลังจากผู้ชมก้าวไปถึงลำดับ 3 หรือ 2 พวกเขาสามารถแยกตัวตนที่เคยสร้างขึ้นในอดีตออกมาและทำให้เป็น ‘คนจริง’ ได้ และถึงตัวตนนั้นจะตายก็ไม่กระทบกับร่างต้น?”
“ก็ฟังดูเหมาะสมกับการเป็นตัวตนก่อนถึง ‘นักสร้างฝัน’”
“เฮอร์มิสแยกตัวตนกระต่ายที่เขาเคยถูกสาป และนำมาเข้าร่วมสมาคมแปรจิตในฐานะกรรมการ… คิดจะทำอะไรกันแน่? ย้อนกลับไปในอดีต เขาเคยนั่งข้างจักรพรรดิเมื่อครั้งสภานักสิทธิ์สนธยาจัดประชุม…”
เขียนเสร็จ ไคลน์วางปากกาลงและอ่านทวนเนื้อหาบนกระดาษอย่างตั้งใจ สมองของมันเต็มไปด้วยคำถาม
ในท้ายที่สุด ชายหนุ่มตัดสินใจคอยจับตามองไปก่อน แต่เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน จัสติสออเดรย์ขึ้นรถม้าคันเดิมกลับออกจากสวนเอเดน นั่งมาจนถึงสวนสาธารณะในเขตราชินีซึ่งมีทะเลสาบเทียม
หญิงสาวไม่รีบร้อนสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อขอวิธีผนึกหน้ากากทระนง เพียงเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
…………………………………