บทที่ 592.2 หนิงเหยาออกกระบี่จะเป็นอย่างไร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เหยียนลวี่หิ้วเหล้าภูเขาชิงเสินกานั้นไว้ในมือ ยิ้มกล่าวว่า “ก็เพราะข้าอยากรู้ว่าเหล้าหมักตระกูลเซียนของที่นี่เกี่ยวข้องกับภูเขาชิงเสินจริงๆ หรือไม่ ไม่ใช่หรือไร ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ บรรพบุรุษบ้านข้าล้วนต้องเข้าร่วมตลอด”

จูเหมยกลอกตามองบน “ก็มีแต่เจ้าเหยียนลวี่นี่แหละที่ชอบพลิกผังวงศ์ตระกูลและปฏิทินเหลืองมากที่สุด กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของเจ้าร่ำรวยกว้างขวางแค่ไหน ตระกูลและการสืบทอดทางสำนักของตระกูลเจี่ยงกวนเฉิงก็ไม่ได้แย่กว่าเจ้าสักหน่อย เจ้าเคยเห็นเขาคุยโวว่าอาจารย์ลุงของตัวเองคือใครไหม? แต่ว่าสมองเขาไม่ค่อยดีเท่าไร ได้ยินลมก็คิดว่าเป็นฝน ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนไม่ใช้สมอง ถูกคนยุแยงแค่ไม่กี่คำก็โมโหขนตั้งแล้ว คิดว่าที่นี่เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางบ้านเกิดของพวกเราจริงๆ หรือไร เดินทางมากำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ บรรพบุรุษบ้านข้ากำชับข้ามาหลายเรื่อง ห้ามไม่ให้ข้ามาวางมาดอยู่ที่นี่ ทำตัวเป็นคนใบ้คนหูหนวกแต่โดยดีก็พอแล้ว เฮ้อ ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์จะมาพูดเรื่องพวกนี้ เมื่อครู่นี้ข้าเองก็พูดไปไม่น้อย ตกลงกันไว้ก่อนว่า เจ้าห้ามเล่าให้จวินปี้ฟังทุกเรื่อง บอกไปว่าข้าไม่ได้เอ่ยอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ จวินปี้น่ะเพิ่งจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร แต่ยามที่เขาโกรธขึ้นมากลับน่ากลัวมาก ข้ายังพอได้ เพราะถึงอย่างไรขอบเขตก็ไม่สูง แต่พวกเจ้าน่ะสิ ถึงเวลาแต่ละคนก็ยังต้องเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาวเลียนแบบข้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”

สีหน้าของเหยียนลวี่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไร

หากไม่เป็นเพราะตอนนี้บรรพจารย์อาคนหนึ่งในตระกูลของนางเป็นเจ้าสำนักศึกษาของหลิวเสียทวีป อีกทั้งว่ากันว่านับตั้งแต่เด็กมาจูเหมยก็มีโชควาสนาอย่างลึกล้ำ เคยลงนามทำสัญญาภูเขาที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งกับสตรีผู้เป็นซานจวินของขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่งในราชวงศ์พวกเขา หากไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นหนาสองชั้นนี้ เหยียนลวี่ก็นึกอยากจะตบบ้องหูนางจริงๆ ให้นางได้จดจำเสียบ้างว่าควรพูดจาภาษาคน และคำพูดคำจาแต่ละคำก็ไม่ควรทิ่มแทงใจคนทุกคำทุกประโยคเช่นนี้

……

ทางฝั่งของร้านเหล้า

เตี๋ยจ้างเองก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องที่ทางร้านจะแถมบะหมี่หยางชุนให้หนึ่งชาม รอจนเฉินผิงอันนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ทั้งต้องทำบะหมี่หยางชุน ทั้งต้องดูแลกิจการ ข้ากลัวว่าคนเดียวจะทำไม่ทัน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าพ่อของเจ้าเด็กน้อยเล่อคังผู้นั้นมีฝีมือทำอาหารไม่เลว แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์ หลายปีมานี้ไม่มีงานที่มั่นคงให้ทำ วันหน้าเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดเคล็ดลับในการทำบะหมี่หยางชุนแก่เขา ให้เขามาเป็นลูกจ้างระยะยาวที่ร้านเรา ยามที่จางเจียเจินมีเวลาว่างก็สามารถมาทำงานระยะสั้นที่ร้านของพวกเราได้ ให้เขาช่วยทำงานจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เถ้าแก่ใหญ่เองก็จะได้มีเวลาหยุดพักบ้าง ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายพวกนี้ ปีๆ หนึ่งรวมกันแล้วก็ไม่ถึงค่าเหล้าชามหนึ่งด้วยซ้ำ”

เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ ไม่น้อยไปกว่ายามที่หาเงินมาได้เลย

พวกเฉินซานชิวเจ้าอ้วนเยี่ยนชินกันเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันย่อมนึกจะทำ

แต่ฟ่านต้าเช่อกลับไม่เข้าใจเท่าไร เขาพูดหยอกล้อว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รำคาญว่าจะยุ่งยากจริงๆ หรือ? เจ้ามีตบะอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไรกันแน่? หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร?”

เฉินผิงอันตะโกนเรียก “ต้าเช่อ”

ฟ่านต้าเช่อตื่นตระหนกเล็กน้อย “ทำไม?”

เฉินผิงอันพูดล่อลวงไปทีละลำดับ “เจ้าดูสิมีผู้อาวุโสโอสถทองมากมายขนาดนี้ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกัน โต๊ะเล็กๆ แค่นี้ก็มีทั้งซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยน ถ่านดำและเตี๋ยจ้างแล้ว ช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก แต่กลับดื่มเหล้าราคาถูกที่สุด ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยนะ”

ฟ่านต้าเช่อไม่ค่อยเต็มใจจะเป็นคนที่ถูกหลอกให้เสียเงิน เพราะบนโต๊ะยังมีผู้ฝึกลมปราณอยู่อีกตั้งสี่คน

เฉินผิงอันพูดเสียงเบาว่า “เด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าคนนั้น หากข้ามองไม่ผิดและเดาไม่ผิดก็น่าจะรับผิดชอบเป็นคนลงสนามประลองที่สอง เป็นขอบเขตประตูมังกรเหมือนกับเจ้า คนเขาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง หากเจ้าแพ้ให้เขาต้องเสียหน้ามากแน่ๆ”

ฟ่านต้าเช่อจึงสั่งเหล้าดีกาหนึ่งมาจากเตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ เพียงแต่อดไม่ไหวถามว่า “เจ้ามั่นใจขนาดนี้เลยหรือว่าต้องมีการประลองครั้งที่สองแน่ๆ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็อธิบายว่า “หากลวี่ตวนไม่ถูกเซียนกระบี่กวอกักตัวอยู่ในบ้านก็คงบอกได้ยาก แต่ว่าตอนนี้ ต้องมีการประลองครั้งที่สองแน่นอน”

“เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ผู้ฝึกตนแผ่นดินกลางรักหน้าตาเป็นที่สุด หากไม่ผิดไปจากที่คาด คนเฝ้าด่านขอบเขตชมมหาสมุทรของฝั่งพวกเราก็คือน้องสาวของเกาเหย่โหว เกาโย่วชิง ถูกไหม? นางเคยขึ้นหัวกำแพงเมืองแค่ครั้งเดียว ยังไม่เคยไปเยือนสนามรบทางทิศใต้มาก่อน แน่นอนว่าคุณสมบัติของเกาโย่วชิงย่อมดีมาก แต่ในด้านประสบการณ์การสังหารและพลังพิฆาตของกระบี่บิน เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกันของใต้หล้าไพศาลแล้ว ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของกำแพงเมืองปราณกระบี่สามารถทิ้งระยะห่างจากฝ่ายตรงข้ามไปได้หลายถนน แต่หากต่ำกว่าโอสถทองลงมา แน่นอนว่าข้อได้เปรียบก็มีไม่น้อย แต่กลับไม่ได้มากอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการเอาไว้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางยังมากไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ เจี่ยงกวนเฉิงผู้นั้นคือศิษย์หลานของหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง อาจารย์ก็คือขู่เซี่ยซึ่งคือเซียนกระบี่เหมือนกัน ทว่าอยู่ในกลุ่มนี้กลับไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจในการพูดอะไร นี่แสดงให้เห็นว่าเกาโย่วชิงต้องแพ้อย่างแน่นอน ส่วนเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าคนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนตัดสินใจของภูเขาลูกนี้ ก่อนหน้านี้พอข้าลงมือไปแล้วก็เห็นแค่ว่าสหายคนอื่นๆ ของเขามีท่าทางตึงเครียด คิดจะลงมือช่วยเหลือตามจิตใต้สำนึก แต่กลับไม่มีใครหันไปมองเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าคนนั้น นี่จึงวิเคราะห์ได้ว่าเด็กหนุ่มถือกาเหล้ายังไม่อาจสยบผู้คนได้ ไม่ใช่หัวใจหลักของกลุ่มอะไร ในเมื่อไม่ใช่หัวใจหลักของกลุ่ม ไหนเลยจะกล้าดึงเอาผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยทั้งหมดมาเดิมพันหน้าตาศักดิ์ศรีของผู้ฝึกกระบี่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยการลงสนามต่อสู้สามครั้งนั้น? ในจวนของเซียนกระบี่ซุนจะต้องยังมีคนอื่น คนที่ทำให้พวกเขายอมรับว่าเป็นหัวหน้าได้อย่างแน่นอน ข้าคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่อายุน้อยขอบเขตต่ำ แต่กลับมีพลังการต่อสู้โดดเด่นอย่างถึงที่สุด ร้ายกาจแค่ไหน? ก็ร้ายกาจจนสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตเหนือกว่าเขาหนึ่งถึงสองขอบเขตล้วนยินดีเชื่อฟังคำสั่งจากเขา ดังนั้นกฎเกณฑ์ของสามด่านครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นฝีมือของคนผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็เคยมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน เขาไม่น่าจะว่างงานขนาดนี้ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็ยิ่งไม่กล้าทำเช่นนี้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย คุณชายและคุณหนูกลุ่มนี้ แค่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนเดียวก็สามารถคุ้มครองได้แล้ว นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ในทางอ้อม ถึงขั้นสามารถทำให้เซียนกระบี่ท่านหนึ่งและผู้อาวุโสก่อกำเนิดฟังคำสั่งจากเขาได้”

ฟ่านต้าเช่อฟังด้วยความตกตะลึง “เฉินผิงอัน เจ้ารู้ประวัติความเป็นมาของคนกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? หรือจะบอกว่าทางภูเขาห้อยหัวส่งข่าวมาที่จวนหนิง?”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ย “เจ้าเดาดูสิ”

เตี๋ยจ้างเหลือกตามองบน อยากจะเตือนฟ่านต้าเช่ออย่างมากว่าอย่าได้เดาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยใจมาก

เยี่ยนจั๋วถาม “ตอนนี้มีคนไม่น้อยเป็นตั้งตัวเจ้ามือเดิมพันเรื่องนี้ แล้วพวกเรา?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดิมพันว่าคนของตัวเองจะต้องแพ้ ได้เงินเทพเซียนมาก็ไม่สบายใจอยู่ดี”

ฟ่านต้าเช่อส่งชามเหล้าไปให้ “อาศัยประโยคนี้ เหล้ากานี้ของข้า ซื้อมาก็ไม่ขาดทุนแล้ว”

เฉินซานชิวเอ่ยเสริมหนึ่งประโยค “ถึงอย่างไรก็เป็นเงินที่ยืมไปจากข้าอยู่ดี”

เยี่ยนจั๋วเอ่ยชื่นชมว่า “ฟ่านต้าเช่อ ใช้ได้เลยๆ มีความคล้ายคลึงกับต่งถ่านดำอยู่มาก”

ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “ยังด้อยกว่าข้ามากนัก”

เฉินซานชิวถาม “ก่อนหน้านี้ทำไมไม่จัดการให้จบเรื่องไปเลย?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าลูกกระต่ายที่หิ้วกาเหล้าผู้นั้นเจ้าเล่ห์นัก ไม่ให้โอกาสข้าเลย”

ต่งฮว่าฝูเอ่ย “ก็หาเหตุผลอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ถนัดอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่งถ่านดำเจ้าพูดให้น้อย ดื่มเหล้าให้มากหน่อย”

ฟ่านต้าเช่อยกชามเหล้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็หมดชาม?”

ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะต่างก็ยกชามเหล้ากระดกดื่ม

บนเส้นทางกลับจวนหนิงที่เฉินผิงอันเดินกลับไปเพียงลำพัง เขาได้เจอกับบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง วิญญูชนหวังไจ่

หวังไจ่สอบถามเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่หวงโจว แล้วก็บอกถึงขั้นตอนการตรวจสอบของกำแพงเมืองปราณกระบี่กับเฉินผิงอันด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่าย

จากนั้นก็พูดสั้นๆ ถึงเรื่องการตายของหวงโจว สายของอิ่นกวานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ เซียนกระบี่ทั้งสองท่านต่างก็ไม่ค่อยยินดีจะสืบเสาะเรื่องนี้ แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วหวงโจวจะใช่สายลับของเผ่าปีศาจหรือไม่ กลับไม่มีข้อสรุป อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เป็นเหตุให้การที่เจ้าเฉินผิงอันสังหารหวงโจวสามารถไม่ต้องรับโทษ แต่สายของอิ่นกวาน และยังมีเขาหวังไจ่ จะไม่มีทางช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้า วันหน้าไม่ว่าจะมีคำซุบซิบนินทาใดๆ ก็ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันเป็นผู้แบกรับด้วยตัวเอง กล่าวมาถึงสุดท้าย หวังไจ่ก็พูดถึงเรื่องของตรอกที่หวงโจวอยู่อาศัย บอกว่าเขาจะรับผิดชอบเก็บกวาดให้เอง จะดูแลเรื่องเงินปลอบขวัญให้แก่เด็กและคนชรา แค่ลงแรงกายแรงใจเล็กน้อยเท่านั้น

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ไม่ถือหางใคร ไม่เข้าข้างฝ่ายไหน เหตุใดถึงทำเช่นนี้”

หวังไจ่ใช้เสียงในใจเอ่ย “อาจารย์ของข้าเป็นเพื่อนสนิทกับอาจารย์เหมา เคยเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อด้วยกัน มองการที่อาจารย์เหมาไม่อาจไปขัดเกลาความรู้ที่สถานศึกษาหลี่จี้ได้เป็นเรื่องน่าเสียดายในชีวิต”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ จึงกุมหมัดคารวะ

หวังไจ่ได้แต่คารวะกลับคืน อันที่จริงการกระทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพียงแต่ว่าอุบายเล็กน้อยของตนก่อนหน้านี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลบสายตาของใต้เท้าอิ่นกวานและเซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อาน ลั่วซานได้พ้น เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมากแล้ว

หวังไจ่พลันยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินว่าอาจารย์เฉินเรียบเรียงและรวมเล่มตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ด้วยตัวเองเล่มหนึ่ง ตราประทับหนึ่งในนั้นสลักคำว่า ‘ดวงตะวันส่องสว่างยามทิวา ดวงจันทราส่องสว่างยามราตรี’ ข้ามีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งที่ในชื่อมีอักษรอวี้ (ส่องสว่าง) สามารถเอาไปมอบให้เขาได้พอดี”

เรียกคนหนุ่มว่าอาจารย์ วิญญูชนหวังไจ่กลับไม่รู้สึกอึดอัดขัดเขินแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าจะบอกเยี่ยนจั๋วไว้ก่อน หากอาจารย์หวังไม่รังเกียจว่าที่ร้านผ้าแพรต่วนมีกลิ่นอายความเป็นสตรีมากเกินไป ก็สามารถไปรับตราประทับที่นั่นได้เลย แต่หากรู้สึกว่ายุ่งยาก ข้าจะให้คนนำไปส่งที่ห้องหนังสือของอาจารย์หวังเอง แค่ต้องลงแรงกายเล็กน้อย ไม่ต้องใช้แรงใจใดๆ”

หวังไจ่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนแล้ว หากบนตราประทับมีอักษรริมขอบและชื่อคนแกะสลักด้วยก็ยิ่งดี”

เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องง่ายๆ ไม่ต่างจากการยกมือ”

หวังไจ่ถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยินดีทำเช่นนี้? อันที่จริงข้าแค่อยู่เงียบๆ ก็ถือว่าไม่ผิดต่อมิตรภาพของอาจารย์และอาจารย์เหมาแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”

หวังไจ่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไม่รู้ถึงจะดี ประเสริฐยิ่ง”

หวังไจ่ขอตัวลาจากไป ชุดเขียวพลิ้วสะบัดไปตามสายลม

เฉินผิงอันกลับมาถึงจวนหนิงก็ไปยืนอยู่ที่ลานประลองยุทธครู่หนึ่งเพื่อมองหนิงเหยาที่ฝึกตนอยู่ในศาลา ต่อให้จะแค่มองไกลๆ ก็ยังเป็นภาพที่งดงาม มากพอจะทำให้จิตใจผ่อนคลายได้

หลังจากนั้นถึงได้กลับไปยังห้องเล็กของตน เฉินผิงอันแกะสลักตราประทับต่ออีกครั้ง ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ที่จัดทำขึ้นอย่างหยาบๆ เล่มนั้น วันหน้าคงยังต้องจัดรวมเล่มใหม่อีกครั้งแน่นอน ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ ด้านในไม่ใช่ว่ามีตราประทับแค่ร้อยอันจริงๆ เสียหน่อย

ตราประทับร้อยกว่าอันที่อยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ล้วนถูกเยี่ยนจั๋วหอบเอาไปที่ร้าน เอาไปเป็นสมบัติพิทักษ์ร้านหมดแล้ว

เวลานี้ที่วางอยู่บนโต๊ะยังคงเป็นตราประทับแบบเกลี้ยงที่มีจำนวนมากกว่า ตราประทับที่แกะสลักตัวอักษรแล้วมีเพียงเล็กน้อย

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว เรื่องแกะสลักตราประทับนี้ นอกจากจะนำมาใช้สงบจิตใจแล้วก็สามารถนำมาเป็นการทบทวนความรู้ให้กับตัวเองได้อีกด้วย

นอกจากนี้แล้ว ควรจะนำความรู้น้อยนิดของตัวเองมาแกะสลักผ่านตัวอักษรสิบกว่าคำ แล้ว ‘มอบ’ ออกไปพร้อมกับตราประทับวัสดุธรรมดา อีกทั้งยังทำให้คนที่รับ รับไปด้วยความยินดี ถึงขั้นยังตั้งใจจ่ายเงินมาซื้อไป หรือว่านี่เป็นแค่ความรู้เล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง? ไม่เลย แท้จริงแล้วเป็นความรู้ที่ใหญ่อย่างมาก

ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อริยะ วิญญูชน นักปราชญ์มากมายของหลี่เซิ่งและหย่าเซิ่งสองสาย แต่ละท่านมาเยือนแล้วก็จากไป บางคนก็ถึงขั้นรบตายอยู่บนสนามรบทางทิศใต้ หรือว่าบัณฑิตที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่อยากให้กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้กังวานไปด้วยเสียงท่องตำราอย่างนั้นหรือ? ก็แค่ว่าต่างคนต่างก็มีความลำบากใจ ต่างก็มีความอึดอัดใจ ต่างก็มีพันธนาการ เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วพวกเขาไม่อาจเผยแพร่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อได้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถนี้ เขาเองก็ได้แต่ทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้า อยู่ข้างมือเท่านั้น