บทที่ 592.3 หนิงเหยาออกกระบี่จะเป็นอย่างไร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันถือมีดแกะสลักค่อยๆ สลักตราประทับชิ้นหนึ่งช้าๆ สลักเป็นคำว่า ข้าพิศมองคนที่พิศมรรคาว่าพิศมรรคาอย่างไร (ภาษาจีนคือประโยคว่ากวานเต้ากวานเต้ากวานเต้า)

ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่งปู้เต๋อมาถามเรื่องการแกะสลักตราประทับส่วนตัวของนางและเพื่อนๆ อันที่จริงแรกเริ่มเฉินผิงอันไม่ค่อยเต็มใจจะรับการค้าครั้งนี้มากนัก แต่หนิงเหยาพยักหน้าตอบตกลง เขาถึงตกปากรับคำอีกฝ่าย

บางครั้งไม่ใช่ว่าเก่งกาจแล้วจะสามารถไม่ต้องสนใจเรื่องใดเลย

แน่นอนว่าต่งปู้เต๋อจงใจพูดเรื่องนี้กับเฉินผิงอันต่อหน้าหนิงเหยา นี่ก็คือความฉลาดของต่งปู้เต๋อ

ตราประทับหยกงามเหล่านั้น เฉินผิงอันแกะสลักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เน้นสองคำว่าสง่างามและสุภาพมากเป็นพิเศษ ในเมื่อเป็นการค้าขายของแท้แน่นอนก็ต้องไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านกับต่งถ่านดำ เขาก็บอกว่าพี่สาวของเขารู้สึกว่าไม่เลว วันหน้าหากมีโอกาสจะหาลูกค้ามาเพิ่มให้อีก แต่นางต่งปู้เต๋อต้องได้ส่วนแบ่ง เพียงแต่เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปแล้ว ต่งฮว่าฝูเองก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะเดิมทีก็ไม่ได้หวังให้พี่สาวของตนไปกลับจวนหนิงทุกๆ สามวันห้าวันอยู่แล้ว ไปบ่อยเข้า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะมีคำพูดเหลวไหลอะไรแพร่ไปอีกหรือไม่ คนที่ต้องลำบาก คนแรกคือเฉินผิงอัน แต่สุดท้ายคนที่ต้องลำบากมากที่สุดก็ต้องเป็นเขาต่งฮว่าฝูอย่างแน่นอน หากเฉินผิงอันโดนพี่หญิงหนิงโกรธใส่ ไม่มาคิดบัญชีกับเขาต่งฮว่าฝูแล้วจะคิดกับใคร?

เขาไม่ใช่ฟ่านต้าเช่อที่ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับเฉินผิงอันอย่างไรเสียหน่อย ถูกคนซ้อมไปรอบหนึ่ง ฟ่านต้าเช่อยังอารมณ์ดีอยู่ได้ ฟ่านเต้าเช่อโง่เง่า แต่เขาต่งฮว่าฝูไม่ได้โง่หรอกนะ

เศษมุมที่เป็นชิ้นส่วนของหยกก้อนงามซึ่งเหลือจากการแกะสลักก่อนหน้านี้ ไม่เสียแรงที่ต่งปู้เต๋อเป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลต่ง และเพื่อนของนางก็ล้วนไม่ใช่คนขี้เหนียว บอกไว้แล้วว่าจะมอบให้เฉินผิงอันเป็นค่าเหนื่อยก็มอบให้จริงๆ เฉินผิงอันจึงเอามาแกะสลักเป็นตราประทับขนาดเล็กมากๆ ต่ออีกครั้ง ได้มาประมาณสิบกว่าชิ้น แต่ตัวอักษรค่อนข้างจะถี่ยิบ ก้อนหนึ่งในนั้นมีมากถึงร้อยกว่าตัวอักษร วัสดุเหล่านี้ไม่ใช่หยกขาวทั่วไป แต่เป็นหยกซวงเจี้ยงที่มีชื่อเสียงมากท่ามกลางวัตถุดิบวิเศษตระกูลเซียน เฉินผิงอันต้องใช้กระบี่บินสืออู่มาเป็นมีดแกะสลักถึงจะสลักตัวอักษรได้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเอาไปมอบให้เป็นของรางวัลแก่คนที่มาซื้อผ้าร้านแพรต่วน ลูกค้าจะต้องเอาเงินเอาทองมาซื้อไป ตราประทับหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ห้ามต่อราคา อยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ช่าง

บางทีคงรู้สึกว่าสตรีร่ำรวยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จะไปซื้อผ้าที่ร้านอาจจะไม่เข้าใจความลี้ลับมหัศจรรย์ของอักษรประโยคนี้ ดังนั้นตราประทับที่มองปราดๆ แล้วคือคำว่า ‘พิศมรรคา’ ซ้ำกันถึงสามครั้งนี้ จึงมีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องกินฝุ่นอยู่นานมาก

เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสลักตราประทับธรรมดาชิ้นหนึ่ง ด้านบนสลักแปดคำว่า ‘บุปผาจันทราอยู่พร้อมหน้า คู่รักเทพเซียน’

เฉินผิงอันสลัดตราประทับ แล้วก้มหน้าเป่าลมใส่หนึ่งที ชั่งน้ำหนักอยู่ในมือพักหนึ่งด้วยความพึงพอใจ ฝีมือเช่นนี้ ความหมายเช่นนี้ หากตราประทับชิ้นนี้ไม่มีใครแย่งชิงเอาไป ข้าผู้อาวุโสก็จะไม่ใช้แซ่เฉินแล้ว

กิจการของที่ร้านไม่อาจอาศัยให้สตรีควักเงินอย่างเดียวได้ ต้องให้บุรุษไปซื้อด้วย นั่นต่างหากถึงจะถือเป็นความสามารถที่แท้จริงของเถ้าแก่รองร้านผ้าแพรต่วนอย่างเขา ดังนั้นเฉินผิงอันที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มผิวปากคลอเพลง แล้วสลักตราประทับอีกชิ้นหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ สลักเป็นคำว่า ‘สาวงามบนโลกมนุษย์ งามเพริศพริ้งจนตะเกียงสามดวงบนสวรรค์ยังอาย’

……

ทางฝั่งของจวนเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน

จูเหมยกับเจี่ยงกวนเฉิงต่างก็ก้มหน้ายืนอยู่ด้านล่างบันไดของศาลาแห่งหนึ่ง พวกเหยียนลวี่ก็ไม่มีใครที่ยิ้มออก

ในศาลาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นหมากล้อมอยู่เพียงลำพัง นามว่าหลินจวินปี้

กระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากล้วนเป็นของรักของเด็กหนุ่มที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา ล้วนเป็นสมบัติหนักลำดับหนึ่งบนภูเขา เล่าลือกันว่าในอดีตคือวัตถุที่นครจักรพรรดิขาวเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ภายหลังถ่ายทอดมาอยู่ในมือของหลินจวินปี้ โถเก็บเม็ดหมากสองใบในนั้น แบ่งออกเป็นสลักประโยคว่า ‘ทุกหนทุกแห่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ปกป้อง’ ‘ทุกคนทุกเรื่องราว สวรรค์คุ้มครองป้องกัน’ และเม็ดหมากขาวดำจำนวนมากบนกระดานหมากก็เหมือนแสงกระบี่สองชนิดที่ส่องประกายแสงแวววาว แต่ละเม็ดล้วนฟูมฟักปราณกระบี่ที่มีสีสันแตกต่างกันออกมา และการคุมเชิงกันบนกระดานหมากจึงทำให้มีปราณกระบี่ตัดสลับอยู่บนนั้น

ทุกครั้งที่หลินจวินปี้คีบหมากเม็ดหนึ่งวางลงไป ลำพังเพียงแค่ทิศทางการวางเม็ดหมากที่มีปราณกระบี่เหล่านั้นล้อมวนพัวพันก็ทำให้คนตาลายได้แล้ว และความรู้สึกนี้ยังพุ่งตรงไปยังจิตใจด้วย

อันที่จริงหลินจวินปี้ไม่ได้ตำหนิคนทั้งสอง เพียงแค่ฟังพวกเขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถามรายละเอียดบางอย่าง แต่จูเหมยกับเจี่ยงกวนเฉิงสองคนตกอกตกใจกันไปเอง

ยากจะจินตนาการได้ว่า แท้จริงแล้วหลินจวินปี้มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เพียงแต่ว่าประสบการณ์ชีวิตช่วงหลัง เวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่ปี กลับเต็มไปด้วยความตระการตาชวนให้ตื่นตาตื่นใจ เป็นเหตุให้คนนอกง่ายที่จะมองข้ามชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านของเด็กหนุ่ม

หลินจวินปี้มองสถานการณ์หมากบนกระดาน แล้วมองตำราหมากล้อมที่กางอยู่ข้างมือตัวเองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับทุกวันว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น สถานการณ์หมากยังคงเดิม ทุกคนไปฝึกตนของตัวเองเถอะ”

สามวันให้หลัง คนทั้งสามจะต้องผ่านสามด่าน

จากนั้นหลินจวินปี้ก็เรียกคนผู้หนึ่งเอาไว้ “ศิษย์พี่เปียนจิ้ง พวกเรามาเล่นหมากด้วยกันสักกระดานดีไหม?”

คนหนุ่มที่ไปร้านเหล้ากับพวกเหยียนลวี่พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งในศาลาเพียงลำพัง

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนถนนใหญ่ หลังจากเฉินผิงอันลงมือแล้ว เขาก็คือคนที่เคลื่อนไหวได้งุ่มง่ามที่สุด

ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ชื่อว่าเปียนจิ้งผู้นี้ขยับโถเก็บเม็ดหมากใบหนึ่งมาไว้ฝั่งของตัวเองแล้ว กลับกลายเป็นว่ามีท่วงท่าเกียจคร้าน เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง ช่วยหลินจวินปี้เก็บเม็ดหมากเข้ามาไว้ในโถ แล้วก็เลือกจะฝ่าปราณกระบี่ที่ล้อมวนอยู่บนกระดานเพื่อหยิบเม็ดหมากขึ้นมาโดยตรง ไม่เหมือนหลินจวินปี้ที่จงใจอ้อมผ่านพวกมันไป

หลินจวินปี้กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

เปี้ยนจิ้งกลับบ่นขึ้นมาว่า “เจ้าพูดตั้งสองรอบแล้ว ความจำของข้าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ แกล้งแพ้ให้ซือหม่าเว่ยหรันไงล่ะ ไม่อย่างนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน วันหน้าพวกเราจะเจอปัญหาไม่หยุด ย่อมถ่วงรั้งเวลาการฝึกตนอย่างสงบของพวกเหยียนลวี่ จูเหมยอย่างเลี่ยงไม่ได้”

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมดี”

เปียนจิ้งเอ่ยว่า “เจ้าชนะการประลองครั้งแรก เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังขาอยู่แล้ว แต่การประลองครั้งที่สองของเหยียนลวี่ เจ้ามั่นใจหรือ?”

หลินจวินปี้เอ่ย “มั่นใจ แต่ไม่มาก หากตอนนี้ศิษย์พี่เปียนจิ้งเพิ่งจะเป็นขอบเขตประตูมังกร ก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลแล้ว เจ้าและข้าผ่านสองด่านมาได้ คาดว่าวันหน้าอีกฝ่ายก็คงไม่มีอารมณ์มาหาเรื่องพวกเราแล้ว”

เปียนจิ้งเอ่ยสัพยอก “ข้าโชคดีฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วก็ผิดด้วยหรือ?”

เปียนจิ้งขอบเขตโอสถทองตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่คนของราชวงศ์เส้าหยวนพวกเขา มองดูเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ แต่ความจริงใกล้จะสามสิบปีแล้ว ทว่าต่อให้จะอายุสามสิบ มีตบะคอขวดโอสถทองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดมากแล้ว

อาจารย์ของหลินจวินปี้คือราชครูของราชวงศ์ใหญ่ลำดับที่หกในใต้หล้าไพศาล และเปี้ยนจิ้งก็คือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์หลินจวินปี้

หลินจวินปี้ไม่ค่อยรู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของผู้ฝึกกระบี่ไร้สัญชาติซึ่งมี ‘ขอบเขตชมมหาสมุทร’ ผู้นี้มากนัก เพราะอาจารย์ไม่ยินดีจะเล่าอะไรให้ฟัง การเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ นอกจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่พอจะมองเส้นสายปลายเหตุออกบ้างเล็กน้อยแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนนั้นก็ยังไม่รู้ขอบเขตที่แท้จริงของเปียนจิ้ง ส่วนพวกเหยียนลวี่ก็ยิ่งไม่รู้ว่าข้างกายของตัวเองมีเจียวหลงตัวหนึ่งส่ายสะบัดหางคอยแอบมองดูเรื่องสนุกอยู่

หากจะบอกว่าความสนใจที่ใหญ่ที่สุดในการเดินทางมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ของหลินจวินปี้คือหาคนมาเล่นหมากล้อมด้วยกัน ขณะเดียวกันก็อยากเห็นเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วกับตาตัวเอง

ถ้าอย่างนั้นเปียนจิ้งที่ถือว่าเป็นแค่ศิษย์พี่ครึ่งตัวผู้นี้ก็มาเพราะเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป

แต่ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัว ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เปียนจิ้งจะมีโชควาสนาไม่น้อย ถูกชะตากับฮูหยินท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์เรือนแห่งนั้นอยู่มาก

ส่วนทางฝั่งของราชวงศ์เส้าหยวนที่เป็นบ้านเกิด ต่อให้เปียนจิ้งจะใช้แค่สถานะของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทร อย่างมากที่สุดก็อาศัยตำแหน่งลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของราชครู แต่กระนั้นก็ยังมีชีวิตได้อย่างสุขเสรีดุจปลาได้น้ำ มีโชควาสนาเข้ามาหาไม่หยุด บางครั้งหลินจวินปี้ก็ยังนึกสงสัยว่าเปียนจิ้งจะใช่เจ๋อเซียนที่มาจุติและสติปัญญาเปิดโล่งแล้วหรือไม่

หลินจวินปี้ถาม “ได้ยินว่าเฉินผิงอันผู้นั้นมีอาวุธเซียนเล่มหนึ่ง ขนาดต่อยตีกับผังหยวนจี้จนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำยังไม่ได้เอาออกมาใช้ หากต่อสู้กับเจ้า ผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร?”

เปียนจิ้งคีบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้ววางลงบนโต๊ะหินที่อยู่นอกกระดานหมาก นิ้วทั้งสองประกบกันแล้วปาดเม็ดหมากสีขาวหิมะที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดเม็ดนั้นไปมาคล้ายกำลังระบายโทสะ แล้วพูดว่า “ฝึกตนบนมรรคม ผลกลับต้องมาช่วงชิงแพ้ชนะกับคนอื่น น่าเบื่อจะตายไป”

หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ หยิบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งกำ “เดาก่อนไหม?”

เปียนจิ้งไม่รีบร้อนวางหมาก เงยหน้าถามว่า “เจ้ารู้แล้วหรือ?”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับเบาๆ “ตอนที่เจ้ากลับมา เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับมีมากกว่าปกติ พูดเสียงก็ดังกว่าปกติ ข้าก็เลยเดาได้แล้ว”

เปียนจิ้งทอดถอนใจ “แต่อีกฝ่ายคือเฉาสือเชียวนะ แพ้แล้วก็คงไม่น่าอายหรอกกระมัง?”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “แพ้ให้เฉาสือไม่น่าอาย แต่ไปหาเรื่องโดนซ้อมถึงถิ่นคนอื่นเขา ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร”

เปียนจิ้งเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

หลินจวินปี้ถามอย่างใคร่รู้ “กี่หมัด?”

เปียนจิ้งผงกคางชี้ไปยังเม็ดหมากที่สองนิ้วของตัวเองกดเอาไว้

หลินจวินปี้กล่าวอย่างสงสัย “หมัดเดียว?”

เปียนจิ้งหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “ดูแคลนศิษย์พี่ขนาดนี้เชียวหรือ? สองหมัด! หมัดแรกแหวกกระบี่บินของข้า อีกหมัดหนึ่งต่อยจนข้าสับสนมึนงงไปหมด แต่บอกตามตรง หากข้าหน้าไม่อายสักนิดก็ยังสามารถรับได้อีกหลายหมัด”

หลินจวินปี้เพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

เปียนจิ้งถาม “ในเมื่อเหยียนลวี่ไม่มีโอกาสที่จะชนะแน่นอน เจ้าก็ไม่มีแผนการอย่างอื่นแล้วหรือ?”

หลินจวินปี้เอ่ย “แรกเริ่มสุดข้าวางแผนไว้ว่า หากการประลองครั้งที่สอง ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้กวอจู๋จิ่วออกศึก ข้าก็จะฝ่าด่านไปเอง แต่หากการประลองครั้งที่สามคือเกาเหย่โหวหรือซือหม่าเว่ยหรัน ถ้าอย่างนั้นข้าค่อยฝ่าด่านอีกครั้ง แต่พอมาพักอยู่ที่นี่ข้าก็เปลี่ยนใจแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็น ทำเช่นนี้ก็มีแต่จะเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น หากเฉินผิงอันอยู่ด้วยก็จะต้องมีการต่อสู้ครั้งที่สี่เกิดขึ้น ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ศิษย์พี่ จะต้องแพ้ให้แก่เฉินผิงอันที่เคยผ่านสี่ด่านมาแล้วอย่างแน่นอน มีแต่จะทำให้เฉินผิงอันผู้นั้นยิ่งได้ใจผู้อื่น”

เปียนจิ้งเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าสนใจเฉินผิงอันขนาดนี้เชียวหรือ? พวกจูเหมยวิ่งไปชนกำแพงที่ร้านเหล้า ก็เป็นความตั้งใจของเจ้าเช่นกันหรือ?”

หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ย “สามารถถูกข้าหลินจวินปี้จดจำไว้ในใจได้ เฉินผิงอันควรจะรู้สึกดีใจ”

……

ส่วนเฉินผิงอันที่ถูกคนคิดถึงแต่กลับไม่รู้ตัว เวลานี้กำลังเริ่มลงมือหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่อยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งของจวนหนิง

ตามหลังตราประทับอักษรน้ำในจวนน้ำ ดินห้าสีของศาลภูเขา และเทวรูปของเรือนไม้ ก็คือทองของห้าธาตุ สุดท้ายจึงเป็นไฟที่ยังไม่เจอวัตถุดิบที่เหมาะสม

ตราประทับตัวอักษรน้ำหลอมทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปอย่างยอดเขาทะเลเมฆนครมังกรเฒ่า

ดินห้าสีหลอมที่ทางเข้าลำน้ำจี้ตู๋ไหลลงสู่มหาสมุทรของอุตรกุรุทวีป

เทวรูปไม้ที่ได้มาจากอารามเต๋าบนยอดเขาของซากปรักจวนเซียนหลอมบนเกาะของถ้ำสวรรค์วังมังกร

ตอนนี้กำลังจะหลอมทองของห้าธาตุ คือหน้าหนังสืออักษรสีทองที่ทำมาจากวัสดุสีทองแผ่นหนึ่ง หรือควรจะพูดให้ถูกคือคัมภีร์พุทธเล่มหนึ่ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยสอบถามศิษย์พี่จั่วโย่วมาก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ จั่วโย่วเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่าวิญญูชนมิใช่ภาชนะ จะมีอะไรไม่เหมาะสม

เตาหลอมยังคงเป็นเตาตู้ทองห้าสีที่ได้มาจากมือของลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าของใบถงทวีป ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด แต่เกี่ยวข้องกับเจียงซ่างเจิน จึงกึ่งซื้อกึ่งมอบให้ รับเงินเฉินผิงอันไปแค่ห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช

ลู่ยงเคยเอ่ยว่า ‘ทองมิอาจทำลาย จึงเป็นผู้นำแห่งหมื่นสมบัติ’ ดังนั้นวัตถุที่เหมาะจะนำมาหลอมในเตาหลอมโอสถใบนี้มากที่สุด เดิมทีก็คือธาตุทองในห้าธาตุ

ในห้องลับ วัตถุดิบวิเศษมากมายล้วนจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว

นอกห้องลับ น่าหลันเย่สิงนั่งขัดสมาธิ รับผิดชอบเฝ้าด่านช่วยคุมหลังให้

ตรงศาลาของหน้าผาสังหารมังกร ป๋ายหมัวมัวคุยเล่นอยู่กับหนิงเหยา

หญิงชรายิ้มกล่าว “วางใจเถอะ คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ท่านเขยของพวกเราเป็นคนดี สวรรค์ย่อมต้องช่วยเหลือแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านเขยยังมีความรู้ลึกซึ้ง แม้จะเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเคยเดินทางไกลไปทั่วสารทิศ เดินท่องอยู่ในโลกมนุษย์ดุจดั่งพระโพธิสัตว์มีชีวิต คุณหนูไม่จำเป็นต้องกังวลกับการหลอมวัตถุของเขาครั้งนี้”

หนิงเหยายังคงมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ยังคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “ป๋ายหมัวมัว คำพูดพวกนี้อย่าไปพูดกับเขานะ เดี๋ยวเขาจะรู้สึกอึดอัด”

หญิงชราจงใจเอ่ยว่า “เรื่องที่เรียกเขาว่าท่านเขยหรือ? อย่างมากสุดท่านเขยก็แค่เขินที่จะพูดเท่านั้น แต่ในใจไม่ต้องบอกเลยว่ารู้สึกดีแค่ไหน”