ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 208 กระบี่สุดท้ายอย่างแท้จริง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตอนที่ 208 กระบี่สุดท้ายอย่างแท้จริง

ยามที่ปลายหอกนั้นพุ่งตัวออกมาจากความว่างเปล่า เฉินฉางเซิงก็รีบขวางกระบี่รับเอาไว้ เขาใช้วิชาเพลงกระบี่โง่งม

ตั้งแต่ที่ตั้งมั่นว่าจะสังหารราชามาร จนกระทั่งเข้าสู่รัตตติกาลในตัวบ้าน จนกระทั่งตอนนี้เมื่อได้มาอยู่เบื้องหน้าของทูตสวรรค์เซิ่งกวงแล้ว เขาได้ใช้วิชาเพลงกระบี่รอบรู้

อย่างนั้นในเพลงกระบี่สุดท้าย แน่นอนว่าเขาจะต้องใช้เพลงกระบี่สันดาปแน่นอน

นั่นคือสามวิชาเพลงกระบี่ที่ซูหลีถ่ายทอดให้เขาในปีนั้นเมื่ออยู่ที่ดินแดนรกร้างนั่น

เมื่อมองเห็นกระบี่ที่สาดแสงส่องสว่างขึ้นมาเล่มนั้น ทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ยกมือซ้ายขึ้น

ราวกับเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าความเร็วของเฉินฉางเซิงจะเร็วขึ้นในเวลาอันสั้นเพียงนี้ ปราณแท้ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมาก

เกิดเสียงดังปัง กระบี่ของเฉินฉางเซิงถูกทูตสวรรค์เซิ่งกวงใช้นิ้วกดเอาไว้เสีย ขยับไม่ได้อีกต่อไป ราวกับยุงที่ถูกบีบเอาไว้

กระบี่ไร้ราคีมีความแหลมคมเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่เมื่อถูกบีบเอาไว้แน่นเช่นนี้ ก็ไม่มีทางตัดนิ้วของทูตสวรรค์ได้

นี่คงจะนับว่าเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินฉางเซิงแล้ว แต่มันกลับคุกคามทูตสวรรค์เซิ่งกวงไม่ได้เลย

หากว่ากันตามหลักการแล้ว อีกไม่นานทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็คงใช้ท่าทางกดดัน เปิดฉากการโจมตีไปยังเฉินฉางเซิงโดยตรง

แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ส่วนลึกในตาเขากลับปรากฏความกลัวออกมา

ในเวลานี้ซูหลีอาจจะอยู่ที่ดินแดนเซิ่งกวง หรือไม่เขาอาจจะเคยเห็นกระบี่นี้มาก่อน หรือไม่ก็เขาอาจจะสังเกตได้ถึงเรื่องอื่น

เฉินฉางเซิงไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของทูตสวรรค์เซิ่งกวง เขายังคงแผดเผาปราณแท้อยู่ กดดันไปด้านหน้าเรื่อยๆ

กระบี่ไร้ราคีไม่ได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าแม้เพียงส่วนเดียว

ส่วนลึกที่อยู่ในดวงตาของทูตสวรรค์เซิ่งกวงกลายเป็นไฟแห่งความโกรธ นิ้วทั้งสองของเขาเริ่มเปลี่ยนทิศ

กระบี่ไร้ราคีโค้งงอราวกลับสายรุ้ง แต่กลับไม่หักลง

ความสามารถอันยิ่งใหญ่ยากจะจินตนาการได้ถูกส่งผ่านกระบี่ไปยังมือของเฉินฉางเซิง

เกิดเสียงดังขึ้นแผ่วเบา กระดูกข้อมือของเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่เกิดบาดแผลมากมายถึงเพียงนี้ มันพร้อมจะหักลงได้ทุกเมื่อ

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจ ซูหลีเคยสอนเพลงกระบี่ทั้งสามนี้ให้แก่เขาเมื่อยังอยู่ ณ ดินแดนรกร้าง นั่นไม่ใช่ไม้ตายที่แท้จริงของเขา

เพลงกระบี่ทั้งสามนี้เป็นวิธีช่วยให้เขาได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของทูตสวรรค์เซิ่งกวง

สร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่กลายร่างมาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งห้าเม็ดบนด้ามกระบี่นั้นหมุนตัวอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งตัวเข้าหาทูตสวรรค์เซิ่งกวงตามแนวที่ทอดไปของกระบี่

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติในครั้งแรก

ในชั้นบรรยากาศที่เขาและเฉินฉางเซิงอยู่ร่วมกันนั้น หลักการแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง

มันเรื่องอะไรกันสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของสวรรค์และโลกมนุษย์ภายในขอบเขตที่เล็กเพียงนี้ได้

จู่ๆ สีหน้าของทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวผิดปกติ ดูราวกับจะโปร่งแสง มองแล้วเหมือนกับกระจกก็มิปาน

เส้นแสงมากมายสาดส่องออกมาจากร่างกายเขา สาดส่องไปรอบทิศทาง

หากเป็นผู้บำเพ็ญธรรมดาทั่วไปบนแผ่นดินใหญ่ เพียงแค่ได้สัมผัสกับเส้นแสงที่มีพลังหาใดเทียบนี้เข้า ก็คงจะถูกเผาไหม้จนสิ้นชีวิตลงทันที

แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่เป็นอะไร ในร่างกายของเขาก็มีเส้นแสงเช่นนี้เช่นเดียวกัน หรืออาจจะมีแม้กระทั่งจำนวนมากกว่า บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงปล่อยนิ้วมือออกอย่างไม่ลังเล ก่อนจะถอยเข้าไปสู่ด้านในของรัตติกาล

เมื่อเกิดเสียงแหลมเล็กดังขึ้น กระบี่ไร้ราคีสะท้อนกลับมา กรีดเอาช่องว่างมิติออกมาด้วยความแหลมคม แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงร่างกายของทูตสวรรค์เซิ่งกวง

สร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่แปลงกายมาจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เส้นนั้นดีดออกไปตามแนวด้ามกระบี่ แต่กลับไม่กระทบลงบนกายของทูตสวรรค์เซิ่งกวงเลย

ลำแสงมากมายสาดส่องเข้ามาในดวงตาของเฉินฉางเซิงมันคือร่องรอยที่หลงเหลือจากการกระพือปีกคู่นั้นของทูตสวรรค์เซิ่งกวง

หากเป็นความเร็วของทูตสวรรค์เซิ่งกวง ขอเพียงต้องการถอยร่น ก็ยากที่เขาจะติดตามได้ และยิ่งยากที่จะมีโอกาสเข้าไปรบประชิดตัว

ถึงตอนนั้น เขาคงทำได้เพียงจ้องมองหอกแสงนั้นไกลๆ เข้าสู่หนทางตันอย่างแท้จริง

แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่ลนลาน ไม่มีความรู้สึกหมดหวัง

เนื่องจากสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่เกิดจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มิใช่หนทางสุดท้ายของเขา

เกิดเสียงดัง กึก กระบี่ไร้ราคีกับฝักกระบี่ซ่อนคมแยกตัวออกจากกัน

เฉินฉางเซิงจับด้านบนของฝักกระบี่เอาไว้ ก่อนฟาดฟันไปยังรัตติกาลที่อยู่เบื้องหน้า

การเคลื่อนไหวนี้คล้ายกับในครานั้นที่ลั่วลั่วได้ฟาดฟันแส้วิรุณโปรย ทั้งยังคล้ายกับการสาดน้ำ

แสงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนสาดแสงออกมาจากฝักกระบี่ ราวกับทะเลดวงดาว ทั้งยังราวกับมีเสียงมังกรคร่ำครวญอยู่ด้วย

ปีกคู่นั้นที่อยู่เบื้องหลังของทูตสวรรค์เซิ่งกวงกระพือไม่หยุด

เกิดเสียงกระทบกระทั่งนับไม่ถ้วนในรัตติกาล

เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงฟันแทงที่เกิดจากกระบี่กับปีกแสง แต่กลับมีเสียงโลหะกระทบกัน ดังก้องอย่างแปลกประหลาดและกังวาน

ประกายไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืนสาดแสงไปทั่วทิศทาง ราวกับต้นไม้ที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟมากมาย แน่นอนว่ามันก็ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้

แสงกระบี่เหล่านั้นกระจายตัวออกไปราวกับหิ่งห้อย พวกมันไม่สามารถต่อต้านทูตสวรรค์เซิ่งกวงให้หลบหนีออกไปจากขอบเขตการโจมตีของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้

ต่อให้ถึงตอนนี้ แววตาของเฉินฉางเซิงก็ยังคงสงบนิ่ง

แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไม่ใช่กลวิธีสุดท้ายของเขา การโบกกระบี่ให้กลายเป็นลมฝนก็ไม่ใช่

กระบี่สุดท้ายของเขาไม่ได้อยู่ในฝักกระบี่ ทั้งยังไม่ได้อยู่ในมือของเขาเช่นกัน

กระบี่ด้ามนั้นมาจากที่อื่น

นั่นไม่ใช่กระบี่ของเขา

เป็นกระบี่ของนาง

สวีโหย่วหรงกลับออกมาจากด้านในของรัตติกาล

แสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง

กระบี่จำศีลแหวกอากาศกลับมา พุ่งเข้าโจมตีทูตสวรรค์เซิ่งกวง

เฉินฉางเซิงยื่นมือขวาออกไป ทะลุผ่านสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาเส้นนั้น คว้าด้ามกระบี่เอาไว้ได้อีกครั้งในรัตติกาล

เขาแสดงเพลงกระบี่สันดาปขึ้นอีกครั้ง พุ่งเข้าโจมตีทูตสวรรค์เซิ่งกวง

ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ของสวีโหย่วหรงหรือว่ากระบี่ของเขา ล้วนกำลังเปล่งประกายแสงและความร้อนออกมายังไม่จบไม่สิ้น

แสงของกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกัน หลังจากนั้นก็รวมกันเป็นหนึ่ง มันส่องสว่างยิ่งขึ้นกว่าเดิม คล้ายกับทะเลดวงดาวทั้งหมดได้มาปรากฏยังโลกมนุษย์

เจตจำนงกระบี่ทั้งสองรวมตัวกัน กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ อีกทั้งยังศักดิ์สิทธิ์และสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด

ในส่วนลึกที่สุดของความศักดิ์สิทธิ์และสงบนิ่ง นั่นคือจิตสังหารที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด

จิตสังหารนั้นปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นก็ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ

ตั้งแต่เม็ดทรายสีทองที่อยู่เต็มพื้นดินไปจนถึงท้องฟ้าที่ถูกแสงสว่างเชือดเฉือนออกจากรัตติกาล จู่ๆ ก็แห้งแล้งหาใดเปรียบ

ต่อหน้าแสงกระบี่สองสาย ราวกับทั้งดินแดนกำลังจะถูกล้างผลาญ!

จู่ๆ แววตาของทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็ลุ่มลึก

เขาไม่ได้ถอยอีกต่อไป

เขายกหอกแสงในมือขึ้น

เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน แสงกระบี่ที่สามารถทำลายล้างดินแดนสองสายนี้ หากอาศัยเพียงความเร็วจะไม่สามารถหลบหลีกได้ จึงทำได้เพียงต้านทานซึ่งหน้า

เมื่อแสงกระบี่ของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงพานพบกัน ราชามารก็คล้ายกับรับรู้ได้ถึงสิ่งใด สีหน้าของเขาปรากฏออกมาซึ่งความตกใจอย่างถึงที่สุด

เขาไม่ลังเลเลยที่จะเรียกใช้ศาสตรามารที่แข็งแกร่งทั้งหมดที่มี วางค่ายกลหนาแน่นไว้รอบกาย

……

……

พลังที่ยากจะจินตนาการสายหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์

คลื่นลมอันน่าหวาดกลัวนับไม่ถ้วนกระจายออกไปรอบด้าน

เสียงลมบ้าคลั่งกำลังกรีดร้อง เม็ดทรายสีเหลืองปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า

นักเล่นพิณตาบอดถูกกระแทกจนกระเด็นเข้าไปในรัตติกาล

รัตติกาลถูกแสงกระบี่เจิดจ้าทั้งสองสายรวมถึงลมปราณที่มีจิตสังหารแผดเผาเสียจนบอบบาง ราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไม่ไกลจากบ้านตระกูลเซี่ยง ด้านนอกของกำแพงบางด้านของบ้านเป็นหน้าผา

บนหน้าผาในเวลานี้เกิดเสาศิลาแหลมเล็กกว่าร้อยต้นขึ้นมา มองดูแล้วคล้ายกับกระบี่ศิลายิ่งนัก พวกมันแสดงเจตนาอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจางๆ

ไม่มีผู้ใดทราบว่าเสาศิลาที่คล้ายกับกระบี่นี้เกิดขึ้นเมื่อใด และเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน แปลกประหลาดยิ่งนัก

พายุทรายค่อยๆ สงบลง สีแห่งรัตติกาลก็ค่อยๆ จางลง แสงจากท้องฟ้าปรากฏลงบนตัวบ้านอีกครั้ง สาดส่องทุกสิ่งในที่นั้นอย่างชัดเจน

ใบหน้าสวีโหย่วหรงยังคงงดงามราวกับภาพวาด สีหน้าอารมณ์สงบนิ่งและจดจ่อ มองไม่ออกเลยว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่

แต่บนทรายสีเหลืองเบื้องหลังของนางนั้นมีเปลวไฟหลายจุด นั่นน่าจะเป็นโลหิตของหงษ์ที่กำลังแผดเผาอยู่

สีหน้าของเฉินฉางเซิงซีดขาว

มือที่กุมกระบี่ไว้ของเขากำลังสั่นเทาเล็กน้อย ง่ามนิ้วปริแตก โลหิตกำลังไหลริน

บาดแผลของเขาน่าจะหนักพอสมควร

ส่วนฝั่งตรงข้าม

ทูตสวรรค์ผู้นั้นกำลังยืนอยู่ภายในเม็ดทรายสีเหลืองทองที่อยู่เกลื่อนพื้น มือขวาของเขากุมหอกแสงเอาไว้ ปีกทั้งสองข้างสะบัดปลิวเบาๆ สีหน้าเฉยชายิ่งนัก

บนเม็ดทรายสีเหลืองทองราวกับสามารถมองเห็นร่องรอยของโลหิต ยังมีขนนกสีขาวบริสุทธิ์ที่ฉีกขาดหนึ่งอัน

เห็นได้ชัดว่า เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บไม่น้อยเลย

นี่ก็เพียงพอแล้ว

……

……

นึกไม่ถึงว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงจะได้รับบาดเจ็บ

พรสวรรค์ของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคนั้นไปได้

ก่อนหน้าที่หวังผ้อจะสำแดงกระบี่นั่นที่แม่น้ำลั่ว ก็ไม่มีทางทำร้ายเถี่ยซู่ได้

พวกเขาทำได้อย่างไรกัน

เมื่อได้เห็นภาพฉากนั้น ราชามารก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ในใจคิดว่าหรือนี่จะเป็นวิชาสองกระบี่ประสานพลัง