ภายใต้การชี้แนะของกุนซือชุดดำ ช่องทางข่าวสารของเมืองเสวี่ยเหล่ามีประสิทธิภาพมาก ก่อนหน้านี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีรวมสถานศึกษาของสถานศึกษาหนานซีได้ถูกบันทึกลงในคัมภีร์อย่างละเอียดตั้งแต่แรกแล้ว ในคัมภีร์ยังบันทึกเอาไว้ถึงเรื่องผลงานของนักวาดภาพท่านหนึ่งแห่งหอความลับสวรรค์ผู้ทำการหักหลังแล้วหลบหนีไป
ราชามารเคยเห็นภาพนั้นด้วยตาตนเอง เคยเห็นแสงกระบี่อันน่าสะพรึงทั้งสองนั้นบนภาพวาดมาก่อน แต่เขายังคงคิดว่าสิ่งที่บรรยายเอาไว้ในคัมภีร์นั้นค่อนข้างจะเกินจริงไปอยู่มาก ตราบจนกระทั่งวันนี้ที่เห็นแสงกระบี่ทั้งสองด้วยตาของตน ถึงได้พบว่าที่แท้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนั้นเกินจริงกว่าที่บรรยายไว้ในคัมภีร์มากนัก
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นจ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงที่อยู่ด้านตรงข้ามอย่างเงียบๆ
โลหิตเหลวสีทองค่อยๆ หยดลงจากปีกสีขาวที่หักนั้น
สีหน้าของเขายังคงเฉยเมย แต่แววตาดูจริงจังขึ้นมามากนัก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามนุษย์ที่ยังเยาว์สองคนนี้จะสามารถต้านทานการโจมตีสุดกำลังของหอกแสงตนเอาไว้ได้ในครั้งเดียว
และที่ทำให้เขาต้องรู้สึกตื่นตัวก็คือ เจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงนั่นเอง
เจตจำนงกระบี่ทั้งสองที่รวมเป็นหนึ่งนั้นยังคงไม่เพียงพอเอาชนะเขาได้ แต่อะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้อยู่ด้านในทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าไข่มุกศิลาเส้นนั้นที่อยู่บนข้อมือของเฉินฉางเซิง
ลมปราณแห้งเย็นที่พุ่งตัวจากพื้นทรายสีเหลืองทองสู่ท้องฟ้า กลิ่นอายที่ราวกับสามารถทำลายสรรพสิ่งทั้งหมดได้ นั่นคือสิ่งใดกันแน่
……
……
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงมีความสามารถลึกซึ้งหลายแขนงจนยากจินตนาการได้ เนื่องจากเขามีชีวิตอยู่มายาวนานมากแล้ว อีกทั้งยังมีดวงตาของนักปราชญ์ที่ทวยเทพประทานให้อีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงสามารถรับรู้ล่วงหน้าได้ถึงจุดที่น่ากลัวของสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาเส้นนั้น กระทั่งรู้จักเพลงกระบี่ทั้งสามเล่มนั้นของเฉินฉางเซิงได้ มองออกถึงความเป็นมาของกระบี่เขา และทำลายมันเสียให้สิ้นได้
แต่เขาไม่ทราบว่าเมื่อกระบี่ของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงรวมตัวกัน กลิ่นอายที่ปรากฏออกมานั้นคือสิ่งใด
กลิ่นอายนั้นสื่อถึงการทำลายล้าง มีที่มาจากเคล็ดวิชาดาบสองท่อนที่สูญหายไปหลายปีแล้ว หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือนั่นก็คือการผลาญพิภพนั่นเอง
เคล็ดวิชาดาบสองท่อนคือวิชาที่หายสาบสูญไปของโจวตู๋ฟู
วิชาสองกระบี่ประสานพลังของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงนั้น เดิมทีก็มาจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบสองท่อนยามที่พวกเขาทั้งสองยังอยู่ที่สุสานโจวและสุสานเทียนซู
เมื่อแสงกระบี่ของพวกเขาลงมือ แน่นอนว่ามันต้องนำมาซึ่งจิตใจอันอาจหาญที่เป็นศัตรูกับโลกทั้งใบของโจวตู๋ฟู หรือแม้กระทั่งความหาญกล้าที่จะทำลายโลกใบนี้อยู่หลายส่วน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจิตใจและลมปราณเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากต่างดินแดนก็คงต้องรู้สึกหวาดกลัว
โจวตู๋ฟูคือผู้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้โลกแห่งดวงดาวนี้
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจงถู่หรือว่าดินแดนเซิ่งกวง ล้วนอยู่ภายใต้โลกแห่งดวงดาวนี้
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง
บรรยากาศรอบทั้งตัวบ้านเริ่มระอุขึ้นมาอีกครั้งตามการหายใจครั้งนี้ของเขา
หน้าอกของเขาค่อยๆ พองขึ้น จากนั้นก็ลดลง
ระหว่างนั้นก็เกิดเสียงลมและฟ้าร้องขึ้นนับไม่ถ้วน
เขายกหอกแสงขึ้นมา และนำมันชี้ไปยังเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
ความหวาดกลัวมาจากการที่ชะตาชีวิตอันยาวนานได้รับการคุกคาม และสิ่งนี้มันทำให้เกิดความปรารถนาสังหารอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเขาขึ้นมา
นี่คือสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ต่อให้เป็นข้ารับใช้ของทวยเทพก็ตามที
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงตัดสินใจที่จะสังหารเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงให้สิ้น จะใช้วิธีการที่ร้ายกาจที่สุด ต่อให้วิธีนี้อาจจะทำให้บาดแผลของเขาสาหัสขึ้นก็ตาม
เขาจะไม่ยอมให้มนุษย์ที่ยังเยาว์ทั้งสองนี้มีชีวิตยืนยาวต่อไปได้อีก
ภายในระยะห่างกว่าสิบจั้งนี้ เฉินฉางเซิงก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังกดดันน่ากลัวที่ถ่ายทอดออกมาจากหอกแสงนั้น
เขาไม่คิดจะถอยหนี เนื่องจากความเร็วของทูตสวรรค์เซิ่งกวงรวดเร็วเกินไป ต่อให้สวีโหย่วหรงติดตามไปได้ทัน แต่เขาทำไม่ได้
เขายกมือซ้ายขึ้น เล็งไปยังหอกแสงนั้นที่อยู่ไกลๆ
สร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่บัดนี้กลับมาอยู่บนข้อมือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกมันส่งเสียงดังปังๆ
เสียงนี้ฟังดูแผ่วเบายิ่งนัก แต่ที่จริงแล้วข้างในนั้นแอบซ่อนพลังแห่งกาลเวลานับไม้ถ้วนอยู่ในนั้น
แสงกระบี่พันกว่าเล่มที่กระจัดกระจายตกอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนแหวกอากาศกลับมา พวกมันหยุดอยู่รอบกายของเขาและสวีโหย่วหรงอย่างเงียบเชียบ
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีต่อให้ประสบความสำเร็จ ยิ่งต้องมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เป็นรากฐาน เฉินฉางเซิงเชื่อว่าสามารถต้านทานการโจมตีของทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้ อย่างน้อยๆ ก็สามารถต้านทานได้ครู่ใหญ่
ขอเพียงสามารถยื้อเวลาได้ครู่หนึ่ง เขาและสวีโหย่วหรงก็จะสามารถออกกระบี่ได้
เขาเชื่อว่าสวีโหย่วหรงจะต้องเข้าใจในเจตนาของตนได้ ภายใต้แสงที่เหลือน้อยนั้นกลับเห็นว่านางไม่ได้เคลื่อนไหว นางส่ายหน้าเบาๆ
…สู้ต่อไป ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีคนเสียชีวิตมากเกินไป
เหล่านักพรตที่อยู่ด้านนอกตัวบ้าน ไม่ได้ถูกคุ้มครองโดยค่ายกลพระราชวังหลี จะต้องถูกกระแทกจนเสียชีวิตจากความรุนแรงในการรบครั้งนี้เป็นแน่
เหล่าผู้คนเผ่าปีศาจที่อยู่ในเมืองไป๋ตี้จะต้องตายไปอีกเท่าไรกัน
เฉินฉางเซิงมองไปก็ทราบได้ทันทีว่านางคิดอะไรอยู่กัน
เขาไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ไปเถิด”
เฉินฉางเซิงเอ่ยขึ้น
สวีโหย่วหรงยื่นมือซ้ายออกไป จับชายเสื้อเขาเอาไว้
ร่างกายของเขาสูงกว่านางไม่น้อยเลย นางกลับไม่ออกแรงในการรั้งเลย ดูคุ้นเคยยิ่งนัก ราวกับทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
เกิดเสียงดังปัง!
เม็ดทรายสีเหลืองทองร่ายรำปลิวว่อน ลมหนาวพัดมาหอบใหญ่
ปีกสีขาวบางครั้งก็ปรากฏให้เห็น บางครั้งก็หายไป
สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงจากไปแล้ว
ชั้นเมฆในท้องฟ้ายามค่ำคืนเปิดออกจนเป็นโพรง
ค่ายกลพระราชวังหลีก็เปิดออกเป็นทางเช่นกัน
ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่กำลังต่อกรกับค่ายกลพระราชวังหลีก็ต้านทานไม่ทัน
โลหิตสดสีทองไม่ไหลหยดลงมาอีก ปีกสีขาวบนพื้นดินก็โดดเด่นอย่างนั้น
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า สายตาเขามีความไม่เข้าใจ
เขาไม่เข้าใจเพราะเหตุใดมนุษย์สองคนที่ยังเยาว์นี้ถึงได้เลือกวิธีการสู้รบเช่นนี้
ในฐานะผู้รับใช้เทพเจ้า เขาเกิดมาก็สามารถใช้กฎเกณฑ์ที่เป็นหลักการของสวรรค์และโลกมนุษย์ได้
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่รวดเร็วที่สุดของดินแดนนี้ ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ภายใต้ตัวเลือกความเร็วนี้
ความไม่เข้าใจนั้นเป็นเพียงเรื่องแค่ชั่วพริบตา
เส้นแสงมากมายนับไม่ถ้วนสาดส่องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฏโพรงขึ้นมาอีกครั้ง
ปีกนั้นโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางลมพัด
คำตอบก็ล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลม
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้กลายร่างเป็ยสายน้ำไหล ติดตามไปทางด้านนั้น
ภายในบ้านกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ราชามารเดินออกมาจากส่วนลึกของรัตติกาล เงยหน้าขึ้นมองเมฆที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน มองไปยังโพรงในก้อนเมฆที่ค่อยๆ คืนรูปเดิมทั้งสองนั้น
“ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
เขาเอ่ยอย่างถอนใจ “แทบอยากจะให้พวกเจ้าศีรษะขาวโพลนในค่ำคืนเดียว ทั้งยังไม่อยากให้พวกเจ้าครองคู่ไปจนศีรษะหงอกขาว อย่างไรดีนะ”
……
……
รัตติกาลปกคลุมตัวบ้านเพียงครึ่งเดียว
ไม่ไกลจากพื้นดิน ก็เลยมาถึงยังบริเวณที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งสว่างไสว
ทั่วทั้งเมืองไป๋ตี้ล้วนสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าได้
เส้นแสงที่สะดุดตามากทั้งสองเส้นนั้น
ที่ปลายด้านหน้าของเส้นแสงทั้งสองเส้น คล้ายกับสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ได้
เหล่าพสกนิกรเผ่าปีศาจที่มองเห็นภาพฉากนี้ ต่างก็ตกตะลึงเสียจนไม่รู้จะเอ่ยคำใด บางคนเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นคือเทพเจ้า ต่างก็คุกเข่าคำนับศีรษะลงกับพื้น
เส้นแสงทั้งสองเส้นที่อยู่บนท้องฟ้าคล้ายกับเชื่องช้า แต่ที่จริงแล้วพวกมันกำลังเคลื่อนตัวสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว ต่างก็ไล่ตามกันและกัน
ภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่อึดใจ เส้นแสงทั้งสองเส้นก็ได้เข้าสู่ชั้นเมฆที่อยู่สูงขึ้นไปอีก
ภายในชั้นเมฆนั้นสาดส่องแสงสว่างออกมานับไม่ถ้วน ราวกับกำลังแผดเผาอยู่อย่างนั้น
……
……
ลมหนาวพัดผ่านใบหน้าด้วยความเร็วสูง คล้ายกับมีดน้ำแข็ง
การเคลื่อนไหวของปีกนก ใช้ความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้กรีดผ่านอากาศ เกิดเสียงคำรามดังลั่น
สวีโหย่วหรงนำเฉินฉางเซิงเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า บินเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นเมฆที่ล้อมรอบไปด้วยสีขาว แลดูว่างเปล่า
หากไม่เคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน ก็ง่ายมากที่จะไม่รู้ทิศทาง อาจจะกระแทกเข้ากับพื้นดินอันแข็งแกร่ง
สวีโหย่วหรงแน่นอนว่าไม่เคยเจอกับปัญหาเช่นนี้
เฉินฉางเซิงที่เคยผ่านประสบการณ์การขี่นกกระเรียนท่องเที่ยวมาแล้ว ก็สงบนิ่งเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศค่อยๆ ลดลง หรือว่าเมฆหมอกหนาแน่นขึ้น จู่ๆ รอบด้านก็เงียบสงัด
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองสวีโหย่วหรง
แสงอาทิตย์ลอดผ่านชั้นเมฆหนา ต่างก็กระจัดกระจายเป็นแสงละเอียด ทอดตกลงบนใบหน้านาง งดงามหาใดเปรียบ
ความงดงามนี้ที่เอ่ยถึงไม่ได้หมายถึงโลกของเงาและแสง
ทันใดนั้นเฉินฉางเซิงก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพาผู้อื่นโผบินบ่อยๆ หรือ”
สวีโหย่วหรงมองเขา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนนี้เขาต้องถามคำถามนี้