ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 210 เอ่ยคำรักในเมฆา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นที่สุดอย่างนี้ ควรจะพูดว่าต่อไปจะทำอย่างไร จะมุ่งหน้าไปทิศทางใด ต่อให้ไตร่ตรองเองว่าต้องเสียชีวิตเป็นแน่ ก็คงอยากจะทิ้งถ้อยคำสั่งลาครั้งสุดท้ายไว้เสียหน่อย แล้วก็มักจะเริ่มต้นจากการย้อนกลับไปมองชีวิต…ก็เหมือนกับในปีนั้นที่เฉินฉางเซิงถูกม่ออวี่กักขังเอาไว้อยู่ในพระราชวังถง ต่อมาในคืนนั้นก็ได้พบกับมังกรดำอย่างนั้น

ดังนั้นสวีโหย่วหรงจึงไม่เข้าใจว่าเฉินฉางเซิงเป็นอะไร

หากเป็นหญิงสาวธรรมดา บางทีอาจจะรำคาญหรือโกรธเอาได้ อาจจะเมินเฉยสะบัดหน้าหนีไปไม่สนใจอีก

แต่นางหาใช่หญิงสาวธรรมดาไม่ นางเป็นถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้เข้าไปในเมืองเพื่อไปเล่นไพ่นกกระจอกทุกๆ สิบกว่าวัน ทั้งยังเป็นหญิงสาวที่ไม่เกรงกลัวว่าจะสังหารเถ้าแก่บ่อนพนันผู้มักมากในกามด้วยกระบี่เดียว แต่ในเวลานี้ยามอยู่ในเมฆาดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องขบคิด ถึงแม้ว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงจะน่ากลัว แต่ยังคงติดตามมาไม่ถึง

“ข้าก็เคยพาท่านบิน”

“ครั้งก่อนหลังจากกลับเมืองหลวง ไม่เคยลองพาซวงเอ๋อร์บินหรือ”

“ข้ามิใช่ห่านป่าแดง และก็ไม่ใช่รถลากบินได้”

น้ำเสียงของสวีโหย่วหรงยังคงสงบนิ่ง แต่เฉินฉางเซิงฟังออกว่านางเริ่มรำคาญใจแล้ว

เขาเอ่ยอธิบายว่า “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเจ้ามีความชำนาญมาก”

สวีโหย่วหรงเอ่ยต่อ “เขาบอกแล้ว ข้าเคยพาท่านบิน”

แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่เคยลืม

ในสวนโจวในปีนั้น เขาถูกหนานเค่อไล่ล่า ตั้งแต่ก้นทะเลสาบไปจนถึงสระน้ำที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล เมื่อขึ้นมาจากน้ำได้ก็สลบไสลไม่ได้สติ

และก็เป็นนางที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดหลังจากนั้นให้เขาฟัง

ในตอนนั้นนางกระโดดลงมาจากหุบเขาอัสดง วิญญาณเทพถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้ง ปีกหงส์คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนแนหลัง

ตอนนั้นนางก็จับตนโผบินทั้งอย่างนั้นนะหรือ

เฉินฉางเซิงยังรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย

ชายใดก็ตามเมื่อถูกคู่หมั้นของตนหิ้วเอาไว้อย่างนี้ ก็คงล้วนมีความรู้สึกอย่างนี้เช่นกันกระมัง

อีกอย่างเคยถูกจับบินเพียงครั้งเดียว เหตุใดวิธีการของนางจึงดูคุ้นชินเช่นนี้ หรือว่าในเวลาปกตินางก็มีการฝึกฝนหรือ นางฝึกเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน

สวีโหย่วหรงมองไปยังสีหน้าของเขา ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร ยกยิ้มก่อนเอ่ย “ต่อมาเมื่อท่านสลบไสลไม่ได้สติ ข้าเองก็เคยหิ้วท่านอีกหลายครั้ง”

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าสู่หุบเขาอัสดง

ในตอนนั้นนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เฉินฉางเซิงเองก็สลบไสลไม่ได้สติ หากต้องการพาเขาไป นอกจากหิ้วไปจะทำอย่างไรได้เล่า

ถึงแม้ว่าจะเป็นการหิ้วไป ไม่ใช่หิ้วบิน แต่สุดท้ายก็ล้วนเป็นคำว่าหิ้วอยู่ดี

เฉินฉางเซิงเองก็คิดตกแล้ว เขาเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ในตอนนั้นข้าล้วนแต่แบกเจ้าเดิน”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “รูปร่างท่านสูงกว่าข้า ข้าจะแบกท่านได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงในใจลอบคิดว่ามีเหตุผล จากนั้นก็รู้สึกว่าไร้เหตุผลยิ่งนัก

รูปร่างของตนสูงกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่สะดวกแบก แต่สะดวกหิ้วน่ะหรือ

เขาคิดอยู่นาน รู้สึกว่าอย่างนั้นก็คงทำได้เพียงหิ้วที่สายรัดเอว

ภาพเช่นนี้ช่างเหลือทนเสียจริง ดังนั้นเขาจึงเงียบขรึมลงเสีย

สวีโหย่วหรงเอ่ยถาม “วิธีการสุดท้ายของท่านก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์หรือ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ไม่ คือเจ้า”

เมื่อยามที่ให้คำตอบนี้ เขาไม่ได้มีความลังเลใดๆ เลย แม้แต่คิดยังไม่คิดเลย

นี่ล้วนเป็นคำรักที่น่าตื้นตันที่สุด เขาแสดงออกมาได้ราวกับว่าเป็นผู้ชายเจ้าชู้ประตูดิน

สวีโหย่วหรงรู้ดีว่าเขาไม่ได้เป็นเยี่ยงนั้น

คำตอบของเขาไม่ใช่คำรัก แต่เป็นความจริง

แต่นางก็หน้าแดงแล้ว

ความจริงที่ไม่ใช่คำรักเช่นนี้ ความรู้สึกที่ราวกับเป็นคู่บุพเพสันนิวาส ช่างทำให้คนรู้สึกเขินอายได้พอดู

อยู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ เอ่ยถามออกไปว่า “ท่านรู้ว่าข้ามาแล้วหรือ”

การสู้รบด้านในตัวบ้านก่อนหน้านี้มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายนัก

เมื่อมองจากการรับมือของเฉินฉางเซิง เขาน่าจะรอคอยให้นางออกกระบี่มาโดยตลอด

“วันที่ฉูซูถูกขับไล่ออกไปนั้น เนื่องจากเกิดเรื่องราวหลายอย่าง จิตใจของข้าวุ่นวายอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้คาดคิด”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ต่อมาขณะที่กำลังจะทำพิธีศพให้ผู้อาวุโสเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้นั้น ข้าเห็นร่องรอยเผาไหม้ของศิลา จึงคาดเดาว่าเจ้าน่าจะมาแล้ว”

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ดังนั้นท่านก็รอให้ข้าปรากฏตัวตลอดเลยหรือ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ในเมื่อเจ้าอยู่ในเมืองไป๋ตี้ อย่างนั้นเมื่อยามที่ข้าต่อกรไม่ไหว เจ้าต้องปรากฏตัวแน่นอน”

นี่ยังคงเป็นความจริง มิใช่คำรัก

ใบหน้าของสวีโหย่วหรงแดงขึ้นกว่าเดิม

เพื่อจะปกปิดความอายและความร้อนที่ใบหน้าที่แม้แต่ลมหนาวก็ยังไม่สามารถทำให้มันเย็นขึ้นได้ นางตัดสินใจว่าจะตำหนิเขาเสียสองประโยค

“อย่างนั้นท่านก็ควรจะเอ่ยแผนออกมาเสียก่อน จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายถึงเพียงนี้”

เฉินฉางเซิงทราบดีว่าหากว่ากันตามการอนุมานและการวางแผน ตนนั้นเทียบนางไม่ได้เลย แผนการในวันนี้หากว่าให้นางเป็นผู้ลงมือ บางทีบทสรุปอาจจะดีกว่านี้ก็ได้

อย่างน้อยพวกเขาในเวลานี้ก็คงไม่ต้องถูกบีบบังคับให้ไกลจากพื้นดิน ถูกล่าสังหารโดยทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่น่ากลัวผู้นั้น

ปัญหาก็คือ ในเมื่อนางในตอนนั้นไม่ปรากฏตัวเนื่องจากเหตุผลบางอย่าง ตนจะบอกแผนการกับนางอย่างไรเล่า

หรือจะเหมือนในปีนั้น ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไทรย้อยต้นใหญ่กับถังซานสือลิ่ว พร่ำตะโกนเสียงดังใส่เมืองหลวงนี้ไม่หยุด

สวีโหย่วหรงเอ่ยต่อ “ข้ารู้หรือไม่ไม่สำคัญ แต่มีคนอยู่หนึ่งคนที่ควรรู้ล่วงหน้า”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าคนผู้นั้นที่นางพูดถึงคือใคร

ภายใต้สถานการณ์อันซับซ้อนอีกทั้งยังอันตรายหาใดเปรียบ ยังมีผู้ใดสำคัญไปกว่านาง ควรค่าต่อการเชื่อใจไปกว่านางอีกหรือ

ในขณะที่เขากำลังตั้งคำถามนี้ จู่ๆ สภาพแวดล้อมรอบด้านก็เปลี่ยนไป

ชั้นเมฆที่อยู่เบื้องหน้าจู่ๆ ก็หนาแน่นขึ้น พวกมันกระทั่งดูคล้ายกับทรายที่ไหลไปตามกระแสน้ำเช่นนั้นเลย

การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนช้าลง

ในแววตาของสวีโหย่วหรงปรากฏความระมัดระวังออกมา

เฉินฉางเซิงไม่มีความลังเลแม้แต่นิด เขาตวัดมือซ้ายออกไป กระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งแหวกอากาศออกไปทันที พวกมันพุ่งไปทางชั้นเมฆที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ นั่น

เจตจำนงกระบี่เชือดเฉือนชั้นเมฆไม่หยุด เปิดเป็นทางเส้นเล็กขึ้นมาตรงหน้าของทั้งสองคน

สวีโหย่วหรงเองก็เคลื่อนไหวแล้ว เพลิงแท้หงส์สวรรค์ปรากฏออกมาจากปีกสีขาวบริสุทธิ์ของนาง แผดเผาเมฆหมอกจนเกิดเสียงดังลั่น

เกิดเสียงดังพรึ่บ พวกเขาทะลวงเข้าไปในชั้นเมฆหนานั่น

เมฆแตกสลาย

สุริยาปรากฏ

ดวงอาทิตย์ที่อยู่ในท้องฟ้า ไม่คล้ายกับสีสันที่เคยมองเห็นจากบนโลกมนุษย์ เพียงแต่มันช่างขาวบริสุทธิ์ และปรากฏเส้นแสงนับไม่ถ้วนออกมา

ชั้นของเมฆก็เป็นสีขาว มันสะท้อนแสงที่เป็นสีขาวอยู่ แม้แต่ท้องฟ้าสีครามก็ถูกอาบไปด้วยสีขาว

ทั้งสองคนทอดมองออกไป ล้วนเป็นสีขาวทั้งหมด

เส้นแสงที่โชติช่วงแสบตายิ่งนัก

เกิดจุดดำเล็กๆ ขึ้นทางด้านทิศตะวันตกที่ห่างออกไปกว่าสิบลี้ มันค่อยๆ กลายเป็นเงาร่างหนึ่ง

เครื่องแบบชาววังสีน้ำเงินเข้ม มู่ฮูหยินยืนกุมมืออยู่ในกลุ่มเมฆ

เมื่อได้เห็นนักปราชญ์ท่าทางเยือกเย็นผู้นี้ สวีโหย่วหรงก็นิ่งขรึมลงทันที

นางคิดไม่ถึง จักรพรรดิขาวกลับมาจากเทือกเขาลั่วซิงแล้ว แต่มู่ฮูหยินกลับมาปรากฏตัวที่นี่

อีกประการหนึ่ง มู่ฮูหยินทำให้นางนึกถึงสตรีผู้นั้นที่นางให้ความเคารพสูงสุดในชีวิต

นางรู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์ยังคงตกอยู่ในการควบคุมของตน แต่ยังคงแสดงความไม่สบายใจอย่างแรงกล้าออกมา

เฉินฉางเซิงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เขากลับเงียบสงบกว่านางอยู่บ้าง

“นางไม่ใช่นาง”

มีเพียงสวีโหย่วหรงที่เข้าใจในความหมายของเขา

เฉินฉางเซิงไม่ได้ถูกมู่ฮูหยินทำให้รู้สึกหวั่นเกรง

เขาไม่รู้สึกว่ามู่ฮูหยินคล้ายกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

ในปัจจุบันคำนิยามที่ผู้คนมีไว้ให้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สามารถกล่าวได้ว่าทั้งป้ายสีและชมเชย เชื่อว่าต่อไปหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ก็คงบันทึกไว้เช่นนี้

แต่มีอยู่หนึ่งจุดที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ต่อให้เป็นซางสิงโจว อาจารย์ของเขาเองก็คงไม่อาจปฏิเสธ

น้ำใจของนางกว้างใหญ่ไพศาล

นี่มิใช่เมตตา มิใช่กรุณา แต่เป็นประสา

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จิตใจโอบหล้า

ไม่ว่านางจะประสงค์ให้ใต้หล้าเจริญรุ่งเรืองหรือล่มสลาย แววตาของนางก็มองไปยังใต้หล้านี้ตลอด

มู่ฮูหยินมาจากครอบครัวชั้นสูง ฐานะสูงส่ง อาจจะกล้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร กระทั่งสมคบคิดกับคนต่างดินแดน แต่สายตาของนางยังคงมองแค่สถานการณ์ตรงหน้าเท่านั้น

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงพอ

อย่างน้อยเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง

ต่อให้ใช้วิชาสองกระบี่ประสานพลัง ก็เฉกเช่นเดียวกัน

ชั้นเมฆเคลื่อนไหวอีกครั้ง มันโก่งตัวนูนสูงขึ้นมา หลังจากนั้นก็ปริออกราวกับกลีบดอกไม้

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นก็ทะลุออกมาจากเมฆ