ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 211 จากเมฆเป็นเสือ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงถูกทำให้เสียเวลาเพราะเมฆที่โก่งตัวนูนสูงขึ้น จึงสลัดทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นออกไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าจากสลัดอีกฝ่ายทิ้ง แต่หลังจากที่เห็นมู่ฮูหยินเข้า นี่จึงกลายเป็นทางเลือกเดียวที่เลือกได้

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมู่ฮูหยิน จึงหันหน้ากลับไปมอง แววตาที่เฉยเมยเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมู่ฮูหยิน

มู่ฮูหยินมองไปทางทูตสวรรค์เซิ่งกวง นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากนัก

เนื่องจากเวลาที่ลงมาจุตินั้นยาวนานขึ้น จึงเคยชินเสียแล้วกับกฎเกณฑ์หลักการสวรรค์และโลกมนุษย์ของโลกนี้

เวลาต่อมา นางรับรู้ได้ถึงความหมายที่คุ้นเคยด้านในลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากทูตสวรรค์เซิ่งกวง

ตอนนี้นางจึงได้รู้ว่า ราชามารยังคงยืนหยัดเข้าร่วมพิธีฉลองใหญ่ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง

……

……

มู่ฮูหยินอยู่ไกลออกไปกว่าสิบลี้ ทางตะวันตก

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงอยู่ไกลออกไปหลายลี้ ด้านตะวันออก

จะมองอย่างไร สถานการณ์นี้ก็ยากอธิบาย

ต่อให้เปี๋ยยั่งหงฟื้นคืนชีพ ก็แก้ไขสถานการณ์ไม่ได้

หวังผ้อและเจ้าสำนักพรรคกระบี่เขาหลีซานก็ไม่สามารถทะลุหมื่นลี้มาได้

ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถละเลยระยะห่างของช่องว่างได้

อย่างนั้นผู้ใดจะมาแก้ไขปัญหานี้เล่า

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “แผนของข้าดูท่าจะมีปัญหาแล้วจริงๆ”

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “แค่ความยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีปัญหาอะไร”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้ากังวลว่าจักรพรรดิขาวจะไม่ลงมือ”

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ในเมื่อเขาออกมาพบทุกคนแล้ว เขาจะต้องลงมือแน่นอน”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เขาเอ่ยว่า “อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากัน”

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะว่าท่านไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือผู้ใด”

เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่เข้าใจ เขาเอ่ยว่า “ต่อให้จักรพรรดิขาวลงมือจริงๆ ก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้”

สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ยังคงเป็นประโยคนั้น ในเมื่อเขาออกมาพบทุกคนแล้ว เขาจะต้องลงมือแน่นอน”

เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ แต่หอกแสงของทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็มาถึงแล้ว

แสงอาทิตย์ที่แสบตานั้นคล้ายกับถูกดูดกลืนโดยหอกแสงที่มีพลังน่ากลัวซ่อนอยู่ด้านใน

ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มืดครึ้มลงไปหลายส่วน ชั้นเมฆราวกับเปลี่ยนเป็นสีเทา

ในเวลาต่อมา แสงสว่างก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันนำมาซึ่งลมปราณที่บริสุทธิ์และน่าเกรงขาม นั่นมาจากกระบี่จำศีล

ปีกที่ขาวบริสุทธิ์วาดเงาร่างขึ้นมาไม่รู้กี่เส้นในท้องฟ้า

ตามติดมาด้วยกระบี่นับไม่ถ้วน ที่คอยปกป้องอยู่ ราวกับน้ำตกที่เปลี่ยนทิศทางอย่างเป็นธรรมชาติ

ภาพที่เห็นนั้นมองดูแล้วงดงามอย่างยิ่งใหญ่และแปลกตา

ฝนกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าจู่ๆ ก็เกิดเจตจำนงกระบี่วุ่นวายขึ้นมาทันที พวกมันเข้าไปภายในแสงสว่างนั้น

แสงสว่างไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น แต่ราวกับพวกมันได้กลายเป็นการมีอยู่ที่เสมือนจริง ก็คล้ายกับชั้นเมฆนั้นก่อนหน้า หนาแน่นจนถึงขีดสุด

ทันใดนั้นเงาร่างของทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็เคลื่อนไหวช้าลง

แสงกระบี่สองสาย

หนึ่งสายตกลงแล้ว

กระบวนท่ากระบี่อันยอดเยี่ยมยากบรรยายและมิอาจพรรณนา

พวกมันพานพบกับหอกแสงที่มีพลังไร้ขีดจำกัดอีกครั้ง

ดวงอาทิตย์ดวงนั้นที่อยู่บนท้องฟ้าจู่ๆ ก็มืดครึ้มลงหลายเท่านัก

มวลเมฆถูกลมบ้าคลั่งหอบม้วนขึ้นบดบังรอบทิศทาง โลกที่อยู่โดยรอบสิบกว่าลี้ปรากฏริ้วเมฆราวขนห่านลอยอยู่เต็มไปหมด

ระฆังยักษ์ไร้รูปร่างปริแตกออกระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ มันระเบิดเอาคลื่นเสียงและคมศรออกมานับไม่ถ้วน

มวลเมฆแตกละเอียดกระจัดกระจายไปเต็มท้องฟ้า แสงของท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงกลับร่นถอยไปไกลหลายร้อยลี้

ในเมฆวุ่นวายที่ค่อยๆ สงบลงนั้น สามารถมองเห็นโลหิตหงส์ที่แผดเผาไปทั่วทุกหนแห่ง แสงกระบี่ที่แตกสลาย ยังท่อนปีกที่ขาวยิ่งกว่าเมฆเสียอีก

ก็เหมือนกับก่อนหน้าที่อยู่ในลานบ้าน ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง บาดแผลของสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงสาหัสยิ่งกว่า

นับตั้งแต่ที่วิชาสองกระบี่ประสานพลังถือกำเนิดขึ้นภายใต้เคล็ดวิชาดาบสองท่อนและค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี มันสามารถก้าวข้ามอานุภาพความห่างชั้นของระดับขั้นมาได้ดังคาด ดังนั้นในตอนแรกจึงสามารถต่อกรกับอู๋ฉยงปี้ได้ตรงๆ แต่ยังคงไม่พอเพียงเอาชนะผู้แข็งแกร่งจากต่างดินแดนที่อยู่ในระดับนี้อย่างทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้

แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอ่อนแอเลย

หากพิจารณาตามอายุและระดับขั้นแล้ว หากสามารถทำให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้รับบาดเจ็บได้ละก็ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้มากแล้ว

เช่นทูตสวรรค์เซิ่งกวงเมื่อครู่นี้ มู่ฮูหยินก็มองเห็นปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในแสงกระบี่สองสายนั้น เกิดสีแปลกๆ สายหนึ่งขึ้นในแววตานาง

เมฆที่ราวกับขนห่านหยุดเคลื่อนตัวเงียบๆ บนทะเลเมฆเกิดร่องน้ำขึ้น ในนั้นมีโพรงเล็กๆ สายหนึ่ง

สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงหายตัวไป พวกเขาเหาะลงไปใต้เมฆตามโพรงนั้น

ในท้องฟ้าเกิดเส้นอัคคีขึ้นสายหนึ่ง ชั้นเมฆวุ่นวายโดยพลัน ทูตสวรรค์เซิ่งกวงไล่ล่าฆ่าฟันติดตามไป

ด้านใต้ของชั้นเมฆนั้นก็คือกลุ่มเทือกเขาที่อยู่ตรงข้ามของแม่น้ำแดง

มู่ฮูหยินชัดเจนในเรื่องนี้

เมื่อคิดไปถึงลมปราณที่แผดเผาโลกนี้ได้ในแสงกระบี่ทั้งสองสายนั้นก่อนหน้านี้ คิดไปถึงต้นไม้ท้องฟ้าที่ถูกไฟโหม สีแปลกๆ ในแววตานางก็มีสีเข้มขึ้นทันที

นางเข้าใจว่านี่คือวิธีการรบของสวีโหย่วหรง เกิดความเคารพเลื่อมใสในความสามารถการวางแผนและอนุมานของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ขึ้นมา หลังจากนั้นก็เกิดความรู้สึกเยาะเย้ยและสงสารขึ้นมาเล็กน้อย

แต่นางไม่คิดจะรอให้สวีโหย่วหรงพบข้อผิดพลาดของตนเอง เนื่องจากคนผู้นั้นได้กลับไปถึงยังเมืองไป๋ตี้เรียบร้อยแล้ว

เครื่องแบบชาววังสีน้ำเงินโบกปลิว แขนเสื้อทั้งสองข้างของนางม้วนตัวขึ้นด้วยแรงลม

ทะเลเมฆกระโดดขึ้นอย่างรุนแรงราวกับใยฝ้ายที่ถูกดีดออก

ทุกครั้งที่กระโดดล้วนหมายความถึงเมฆหมอกที่อยู่ด้านในกว่าหลายร้อยจั้งกำลังถูกบีบอัดและดิ้นรน

ชั้นของเมฆค่อยๆ แยกออกจากกัน หายตัวออกไปทุกทิศทาง ค่อยๆ แบ่งแยกออกเป็นหมู่เกาะมากมายนับไม่ถ้วน

หมู่เกาะเหล่านั้นบีบตัวลงสู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง พลังที่ยากจะจินตนาการพลันเข้าเติมเต็มในทุกๆ พื้นที่เล็กๆ ที่อยู่ด้านใน

ไม่ว่าตอนนี้เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจะซ่อนตัวอยู่ที่แห่งใดในชั้นเมฆ ก็ล้วนไม่มีทางหนีออกไปได้

กลุ่มเมฆลดตัวเข้าสู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง หมอกเล็กๆ ทั้งหมดแล้วหยดน้ำที่รวมตัวกันต่างก็ดึงดูดกันและกันเอาไว้ แล้วกลายเป็นสิ่งของที่มีน้ำหนักขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว

ถ้าหากกลุ่มเมฆเหล่านี้ม้วนตัวเข้าสู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสวีโหย่วหรงที่มีโลหิตแท้ของหงส์สวรรค์ หรือร่างไร้ราคีของเฉินฉางเซิง สุดท้ายก็ล้วนจะต้องถูกบีบอัดจนเสียชีวิต

นี่ก็คือเคล็ดวิชาชุมนุมเมฆที่แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์แดนต้าซีในตำนาน

นี่ก็คือเคล็ดวิชาเทพของนักปราชญ์นั้นเอง

……

……

กลุ่มเมฆนับไม่ถ้วนบีบตัวกดอัดอย่างต่อเนื่อง รูปร่างยังคงกำหนดไม่ได้ มันปรวนแปรเป็นหลายรูปร่างเหลือเกิน

บางกลุ่มเมฆก็มีหน้าตาคล้ายโจรสลัดของดินแดนต้าซี บางกลุ่มเมฆก็มีรูปร่างคล้ายผู้เล่าเรียนทงกู่ซือ บางกลุ่มเมฆ…ก็คล้ายกับพยคฆ์

เครื่องแบบชาววังสีเงินไม่ได้โบกปลิวอีกต่อไป

แขนเสื้อก็ไม่ขยับแล้ว

มู่ฮูหยินมองไปยังกลุ่มเมฆนั้นอย่างเงียบๆ

กลุ่มเมฆที่อยู่ในทะเลเมฆซึ่งค่อยๆ กระจายตัวไปก็มองมาที่นางอย่างเงียบๆ

เมฆนั้นเป็นสีขาว ทุ่งหญ้าก็เป็นสีขาว คล้ายกับฉาบเอาไว้ด้วยน้ำค้าง

นั่นคือพยัคฆ์ขาวตัวหนึ่ง