สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงถูกทำให้เสียเวลาเพราะเมฆที่โก่งตัวนูนสูงขึ้น จึงสลัดทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นออกไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าจากสลัดอีกฝ่ายทิ้ง แต่หลังจากที่เห็นมู่ฮูหยินเข้า นี่จึงกลายเป็นทางเลือกเดียวที่เลือกได้
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมู่ฮูหยิน จึงหันหน้ากลับไปมอง แววตาที่เฉยเมยเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมู่ฮูหยิน
มู่ฮูหยินมองไปทางทูตสวรรค์เซิ่งกวง นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากนัก
เนื่องจากเวลาที่ลงมาจุตินั้นยาวนานขึ้น จึงเคยชินเสียแล้วกับกฎเกณฑ์หลักการสวรรค์และโลกมนุษย์ของโลกนี้
เวลาต่อมา นางรับรู้ได้ถึงความหมายที่คุ้นเคยด้านในลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากทูตสวรรค์เซิ่งกวง
ตอนนี้นางจึงได้รู้ว่า ราชามารยังคงยืนหยัดเข้าร่วมพิธีฉลองใหญ่ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง
……
……
มู่ฮูหยินอยู่ไกลออกไปกว่าสิบลี้ ทางตะวันตก
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงอยู่ไกลออกไปหลายลี้ ด้านตะวันออก
จะมองอย่างไร สถานการณ์นี้ก็ยากอธิบาย
ต่อให้เปี๋ยยั่งหงฟื้นคืนชีพ ก็แก้ไขสถานการณ์ไม่ได้
หวังผ้อและเจ้าสำนักพรรคกระบี่เขาหลีซานก็ไม่สามารถทะลุหมื่นลี้มาได้
ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถละเลยระยะห่างของช่องว่างได้
อย่างนั้นผู้ใดจะมาแก้ไขปัญหานี้เล่า
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “แผนของข้าดูท่าจะมีปัญหาแล้วจริงๆ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “แค่ความยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีปัญหาอะไร”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ข้ากังวลว่าจักรพรรดิขาวจะไม่ลงมือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ในเมื่อเขาออกมาพบทุกคนแล้ว เขาจะต้องลงมือแน่นอน”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เขาเอ่ยว่า “อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากัน”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะว่าท่านไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือผู้ใด”
เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่เข้าใจ เขาเอ่ยว่า “ต่อให้จักรพรรดิขาวลงมือจริงๆ ก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้”
สวีโหย่วหรงเอ่ยว่า “ยังคงเป็นประโยคนั้น ในเมื่อเขาออกมาพบทุกคนแล้ว เขาจะต้องลงมือแน่นอน”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ แต่หอกแสงของทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็มาถึงแล้ว
แสงอาทิตย์ที่แสบตานั้นคล้ายกับถูกดูดกลืนโดยหอกแสงที่มีพลังน่ากลัวซ่อนอยู่ด้านใน
ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มืดครึ้มลงไปหลายส่วน ชั้นเมฆราวกับเปลี่ยนเป็นสีเทา
ในเวลาต่อมา แสงสว่างก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันนำมาซึ่งลมปราณที่บริสุทธิ์และน่าเกรงขาม นั่นมาจากกระบี่จำศีล
ปีกที่ขาวบริสุทธิ์วาดเงาร่างขึ้นมาไม่รู้กี่เส้นในท้องฟ้า
ตามติดมาด้วยกระบี่นับไม่ถ้วน ที่คอยปกป้องอยู่ ราวกับน้ำตกที่เปลี่ยนทิศทางอย่างเป็นธรรมชาติ
ภาพที่เห็นนั้นมองดูแล้วงดงามอย่างยิ่งใหญ่และแปลกตา
ฝนกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าจู่ๆ ก็เกิดเจตจำนงกระบี่วุ่นวายขึ้นมาทันที พวกมันเข้าไปภายในแสงสว่างนั้น
แสงสว่างไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น แต่ราวกับพวกมันได้กลายเป็นการมีอยู่ที่เสมือนจริง ก็คล้ายกับชั้นเมฆนั้นก่อนหน้า หนาแน่นจนถึงขีดสุด
ทันใดนั้นเงาร่างของทูตสวรรค์เซิ่งกวงก็เคลื่อนไหวช้าลง
แสงกระบี่สองสาย
หนึ่งสายตกลงแล้ว
กระบวนท่ากระบี่อันยอดเยี่ยมยากบรรยายและมิอาจพรรณนา
พวกมันพานพบกับหอกแสงที่มีพลังไร้ขีดจำกัดอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์ดวงนั้นที่อยู่บนท้องฟ้าจู่ๆ ก็มืดครึ้มลงหลายเท่านัก
มวลเมฆถูกลมบ้าคลั่งหอบม้วนขึ้นบดบังรอบทิศทาง โลกที่อยู่โดยรอบสิบกว่าลี้ปรากฏริ้วเมฆราวขนห่านลอยอยู่เต็มไปหมด
ระฆังยักษ์ไร้รูปร่างปริแตกออกระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ มันระเบิดเอาคลื่นเสียงและคมศรออกมานับไม่ถ้วน
มวลเมฆแตกละเอียดกระจัดกระจายไปเต็มท้องฟ้า แสงของท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงกลับร่นถอยไปไกลหลายร้อยลี้
ในเมฆวุ่นวายที่ค่อยๆ สงบลงนั้น สามารถมองเห็นโลหิตหงส์ที่แผดเผาไปทั่วทุกหนแห่ง แสงกระบี่ที่แตกสลาย ยังท่อนปีกที่ขาวยิ่งกว่าเมฆเสียอีก
ก็เหมือนกับก่อนหน้าที่อยู่ในลานบ้าน ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง บาดแผลของสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงสาหัสยิ่งกว่า
นับตั้งแต่ที่วิชาสองกระบี่ประสานพลังถือกำเนิดขึ้นภายใต้เคล็ดวิชาดาบสองท่อนและค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี มันสามารถก้าวข้ามอานุภาพความห่างชั้นของระดับขั้นมาได้ดังคาด ดังนั้นในตอนแรกจึงสามารถต่อกรกับอู๋ฉยงปี้ได้ตรงๆ แต่ยังคงไม่พอเพียงเอาชนะผู้แข็งแกร่งจากต่างดินแดนที่อยู่ในระดับนี้อย่างทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้
แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอ่อนแอเลย
หากพิจารณาตามอายุและระดับขั้นแล้ว หากสามารถทำให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้รับบาดเจ็บได้ละก็ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้มากแล้ว
เช่นทูตสวรรค์เซิ่งกวงเมื่อครู่นี้ มู่ฮูหยินก็มองเห็นปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในแสงกระบี่สองสายนั้น เกิดสีแปลกๆ สายหนึ่งขึ้นในแววตานาง
เมฆที่ราวกับขนห่านหยุดเคลื่อนตัวเงียบๆ บนทะเลเมฆเกิดร่องน้ำขึ้น ในนั้นมีโพรงเล็กๆ สายหนึ่ง
สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงหายตัวไป พวกเขาเหาะลงไปใต้เมฆตามโพรงนั้น
ในท้องฟ้าเกิดเส้นอัคคีขึ้นสายหนึ่ง ชั้นเมฆวุ่นวายโดยพลัน ทูตสวรรค์เซิ่งกวงไล่ล่าฆ่าฟันติดตามไป
ด้านใต้ของชั้นเมฆนั้นก็คือกลุ่มเทือกเขาที่อยู่ตรงข้ามของแม่น้ำแดง
มู่ฮูหยินชัดเจนในเรื่องนี้
เมื่อคิดไปถึงลมปราณที่แผดเผาโลกนี้ได้ในแสงกระบี่ทั้งสองสายนั้นก่อนหน้านี้ คิดไปถึงต้นไม้ท้องฟ้าที่ถูกไฟโหม สีแปลกๆ ในแววตานางก็มีสีเข้มขึ้นทันที
นางเข้าใจว่านี่คือวิธีการรบของสวีโหย่วหรง เกิดความเคารพเลื่อมใสในความสามารถการวางแผนและอนุมานของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ขึ้นมา หลังจากนั้นก็เกิดความรู้สึกเยาะเย้ยและสงสารขึ้นมาเล็กน้อย
แต่นางไม่คิดจะรอให้สวีโหย่วหรงพบข้อผิดพลาดของตนเอง เนื่องจากคนผู้นั้นได้กลับไปถึงยังเมืองไป๋ตี้เรียบร้อยแล้ว
เครื่องแบบชาววังสีน้ำเงินโบกปลิว แขนเสื้อทั้งสองข้างของนางม้วนตัวขึ้นด้วยแรงลม
ทะเลเมฆกระโดดขึ้นอย่างรุนแรงราวกับใยฝ้ายที่ถูกดีดออก
ทุกครั้งที่กระโดดล้วนหมายความถึงเมฆหมอกที่อยู่ด้านในกว่าหลายร้อยจั้งกำลังถูกบีบอัดและดิ้นรน
ชั้นของเมฆค่อยๆ แยกออกจากกัน หายตัวออกไปทุกทิศทาง ค่อยๆ แบ่งแยกออกเป็นหมู่เกาะมากมายนับไม่ถ้วน
หมู่เกาะเหล่านั้นบีบตัวลงสู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง พลังที่ยากจะจินตนาการพลันเข้าเติมเต็มในทุกๆ พื้นที่เล็กๆ ที่อยู่ด้านใน
ไม่ว่าตอนนี้เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจะซ่อนตัวอยู่ที่แห่งใดในชั้นเมฆ ก็ล้วนไม่มีทางหนีออกไปได้
กลุ่มเมฆลดตัวเข้าสู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง หมอกเล็กๆ ทั้งหมดแล้วหยดน้ำที่รวมตัวกันต่างก็ดึงดูดกันและกันเอาไว้ แล้วกลายเป็นสิ่งของที่มีน้ำหนักขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
ถ้าหากกลุ่มเมฆเหล่านี้ม้วนตัวเข้าสู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสวีโหย่วหรงที่มีโลหิตแท้ของหงส์สวรรค์ หรือร่างไร้ราคีของเฉินฉางเซิง สุดท้ายก็ล้วนจะต้องถูกบีบอัดจนเสียชีวิต
นี่ก็คือเคล็ดวิชาชุมนุมเมฆที่แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์แดนต้าซีในตำนาน
นี่ก็คือเคล็ดวิชาเทพของนักปราชญ์นั้นเอง
……
……
กลุ่มเมฆนับไม่ถ้วนบีบตัวกดอัดอย่างต่อเนื่อง รูปร่างยังคงกำหนดไม่ได้ มันปรวนแปรเป็นหลายรูปร่างเหลือเกิน
บางกลุ่มเมฆก็มีหน้าตาคล้ายโจรสลัดของดินแดนต้าซี บางกลุ่มเมฆก็มีรูปร่างคล้ายผู้เล่าเรียนทงกู่ซือ บางกลุ่มเมฆ…ก็คล้ายกับพยคฆ์
เครื่องแบบชาววังสีเงินไม่ได้โบกปลิวอีกต่อไป
แขนเสื้อก็ไม่ขยับแล้ว
มู่ฮูหยินมองไปยังกลุ่มเมฆนั้นอย่างเงียบๆ
กลุ่มเมฆที่อยู่ในทะเลเมฆซึ่งค่อยๆ กระจายตัวไปก็มองมาที่นางอย่างเงียบๆ
เมฆนั้นเป็นสีขาว ทุ่งหญ้าก็เป็นสีขาว คล้ายกับฉาบเอาไว้ด้วยน้ำค้าง
นั่นคือพยัคฆ์ขาวตัวหนึ่ง