บทที่ 1160 ขนาดจะตายแล้วยังจะเอาฮาอีก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,160 ขนาดจะตายแล้วยังจะเอาฮาอีก

หลินเป่ยเฉินสลายพลังปราณธาตุทองคำของตนเอง

การต่อสู้เป็นอันยุติลง

ทุกอย่างจบเพียงเท่านี้

ร่างแยกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ที่ทุกคนไม่สามารถจัดการได้… ให้ตายสิ มันไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย

หลินเป่ยเฉินทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ ต้องผจญผ่านพ้นอุปสรรคมากมายถึงจะมีวันนี้ได้ แล้วทำไม ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ที่ไม่ได้หล่อเท่าเขา ไม่ได้เป็นคนดีเท่าเขา กลับสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้?

หรือว่าไอ้หมอนี่มันจะเป็นลูกรักสวรรค์?

ลูกรักสวรรค์ที่ต้องเป็นคู่ต่อสู้กับเด็กหนุ่มผู้ทะลุมิติมาจากต่างโลก

ใช่ไหมนะ?

หรือว่า ‘เว่ยหมิงเฉิน’ จะเป็นศัตรูกับเขามาตั้งแต่ชาติปางก่อน?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ

หลินเป่ยเฉินทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่บนสะพานหิน

“เขากำลังจะตาย”

ลู่กวนไห่เงยหน้ามองมาที่หลินเป่ยเฉิน

ฉู่อวิ๋นซุนนอนหายใจรวยริน ใบหน้ากลายเป็นสีทองคำ

หลินเป่ยเฉินคิดอะไรอยู่เล็กน้อย ก็ยกมือขึ้นลองใช้พลังวารีบำบัด

แต่เขาเพิ่งเลื่อนขั้นพลังได้เพียงขั้นเดียวเท่านั้น ไม่ใช่การเลื่อนขั้นพลังอย่างก้าวกระโดด เพราะฉะนั้น พลังวารีบำบัดของเขาจึงไม่อาจช่วยเหลือฉู่อวิ๋นซุนกลับมาจากเงื้อมมือแห่งความตายได้

แต่มีอะไรที่เขาพอจะทำได้ไหมนะ?

มันต้องมีบ้างสิ

เขาเพิ่งสังหารร่างแยกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ และกลายเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 4 ที่มีพลังปราณธาตุถึงห้าชนิด

พูดอีกอย่างก็คือ ร่างแยกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ มีระดับพลังอยู่ในขอบเขตเดียวกับเขา

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าขอบเขตพลังของพวกเขาไม่ได้ต่างกันมาก

แล้วเหตุไฉนพลังวารีบำบัดถึงไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากพลังปราณทองคำของร่างแยก ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ได้เล่า?

หลินเป่ยเฉินพยายามใช้พลังวารีบำบัดกับฉู่อวิ๋นซุนต่อไป

ยังคงไม่ดีขึ้น

เขาหันไปมองหน้าลู่กวนไห่และส่ายศีรษะ

ลู่กวนไห่ถอนหายใจ

ทันใดนั้น ดวงตาของฉู่อวิ๋นซุนกลับมาเป็นประกายสดใสอีกครั้งและสติสัมปชัญญะของเขาก็หวนคืนกลับมา

ท่านเจ้าเมืองหนุ่มจ้องมองลู่กวนไห่ด้วยแววตาลึกซึ้ง

แต่ไม่ใช่สายตาที่สามีใช้จ้องมองภรรยา

นั่นเป็นสายตาเสมือนบุตรชายจ้องมองมารดามากกว่า

“ข้ากำลังจะตายแล้ว”

ฉู่อวิ๋นซุนพูดออกมาด้วยเสียงที่ฟังชัดเจน “กวนไห่ ท่านกำลังจะได้เป็นอิสระ ขอบคุณที่คอยดูแลข้าตลอดมา ข้าเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องท่านได้อีก ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ท่านทำเพื่อเมืองไป๋หยุนเรา น่าเสียดายที่เมืองของเราไม่อาจตอบแทนท่านได้เลย”

ลู่กวนไห่ไม่พูดอะไรออกมา

ความเศร้าหมองปรากฏขึ้นในแววตาที่มักจะเย็นชาอยู่เสมอ

ฉู่อวิ๋นซุนยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่โลหิตสีทองคำจะไหลซึมออกมาจากมุมปาก

เขาหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ส่วนเจ้า… ข้าเกลียดเจ้าเหลือเกิน…”

หลินเป่ยเฉินเพียงยิ้มมุมปากเท่านั้น

เขาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับคนที่กำลังจะตาย

“แต่ข้าก็ขอยอมรับเลยว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่คิด อีกทั้งยังมีความกล้าหาญ เต็มเปี่ยมไปด้วยภาวะผู้นำ ผิดกับอาจารย์ตัวบัดซบของเจ้าลิบลับ…”

ฉู่อวิ๋นซุนกล่าวต่อ

เฮ้ย เฮ้ย ต่อหน้าคนตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องมาดูหมิ่นอาจารย์ติงของเขาด้วย

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความไม่ชอบใจ

แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก

ฉู่อวิ๋นซุนกำลังจะตาย ส่วนอาจารย์ติงยังไม่ตายสักหน่อย

“บัดนี้เจ้ามีสถานะเป็นศิษย์ของเมืองไป๋หยุนแล้ว เจ้าอยากรับตำแหน่งท่านเจ้าเมืองคนต่อไปหรือไม่?”

ฉู่อวิ๋นซุนกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่ ก่อนจะกล่าวเน้นย้ำน้ำเสียงชัดเจน

เป็นเจ้าเมืองแล้วได้เงินเดือนเยอะไหมล่ะ?

หลินเป่ยเฉินเกือบจะหลุดปากถามออกไปตามสัญชาตญาณ

ฉู่อวิ๋นซุนกระแอมไอในลำคอ ราวกับว่าในลำคอมีก้อนเลือดอุดตัน ลู่กวนไห่ลูบแผ่นหลังของเขาอย่างอ่อนโยน ฉู่อวิ๋นซุนจึงสามารถกล่าวต่อได้อีกครั้ง “เจ้ามันหน้าด้านไร้ยางอาย ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เหอเหอเหอ ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองของเมืองไป๋หยุนเป็นตำแหน่งที่เต็มไปด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรี ผู้ดำรงตำแหน่งจะได้รับความเคารพไปทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ เจ้าคงอยากให้ข้าตายไปเร็ว ๆ แล้วล่ะสิ?”

ให้ตายเถอะ

คนจะตายพูดมากแบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ?

ในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จำนวนมาก มักมีตัวละครมากมายที่ก่อนตายเอาแต่พูดจาไร้สาระ ต้องรอจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายถึงได้พยายามเอ่ยเรื่องสำคัญออกมา และส่วนใหญ่นั้นมักจะพูดไม่ทันจบเนื้อความสำคัญก็ต้องขาดใจตายไปเสียก่อน ปล่อยให้คนที่ยังรอดชีวิตตกอยู่ในความงงงัน บางครั้งก็ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากมาย…

ดูเหมือนนี่จะเป็นประเพณีที่คนใกล้ตายทุกคนต้องทำหรืออย่างไร?

“เดิมที ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองของเราต้องส่งต่อให้คนในตระกูลฉู่ ฮ่า ๆๆ แต่ตระกูลฉู่ไม่ได้เป็นตระกูลฉู่อีกต่อไปแล้ว อย่าว่าแต่ข้ายังไม่มีบุตร… พูดก็พูดเถอะ หลินเป่ยเฉิน เจ้าช่วยเรียกข้าว่าบิดาสักคำได้หรือไม่? เมื่อข้าตายแล้ว ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองก็จะตกเป็นของเจ้าทันที”

ใบหน้าสีเหลืองทองอร่ามของฉู่อวิ๋นซุนปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ลักษณะเหมือนอยากสบถคำหยาบเต็มทน

บุรุษหนุ่มผู้นี้คิดจะใช้ความตายของตนเองมากดดันผู้อื่นให้พูดในสิ่งที่ตนเองอยากได้ยินหรืออย่างไร?

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว…”

ฉู่อวิ๋นซุนเห็นดังนั้นก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ก่อนพูดว่า “ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองข้าจะมอบให้กับเจ้า นับจากนี้ไป เจ้าคือท่านเจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองไป๋หยุน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนี้ล้วนตกเป็นของเจ้า ยกเว้นนางเท่านั้น…”

เขามองไปที่ลู่กวนไห่

หญิงสาวผู้เย็นชายังคงเงียบงัน ใบหน้ายังคงปราศจากอารมณ์ความรู้สึก

“นางไม่ใช่คนไป๋หยุนโดยกำเนิด… เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปออกคำสั่งกับนาง”

เมื่อฉู่อวิ๋นซุนพูดมาถึงตรงนี้ ความเศร้าโศกก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเขา น้ำเสียงที่เหยียดหยามทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตสลายหายไป

ฉู่อวิ๋นซุนหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อ “เจ้าเป็นชาวเป่ยไห่ใช่หรือไม่? เจ้าจะปกป้องเมืองแห่งนี้ด้วยชีวิตใช่หรือไม่? หากข้าส่งต่อเมืองไป๋หยุนให้กับเจ้า เจ้าจะดูแลมันให้ดีที่สุดใช่หรือไม่?”

ให้ตายเถอะ

อยู่ดี ๆ มาปรับอารมณ์ทำซึ้งได้ยังไงกันครับเนี่ย?

คำพูดที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของฉู่อวิ๋นซุนช่างขัดแย้งกับเรื่องราวการแย่งชิงบัลลังก์ท่านเจ้าเมืองที่หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

เพราะเขาได้ข่าวว่าการขึ้นครองตำแหน่งท่านเจ้าเมืองของฉู่อวิ๋นซุนก็เป็นไปด้วยกลวิธีสกปรกไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

แต่เขาก็ไม่อยากพูดอะไรด้วยเช่นกัน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเมืองนี้ถึงถูกตั้งชื่อว่าเมืองไป๋หยุน (เมืองเมฆขาว)?”

ฉู่อวิ๋นซุนยังคงกล่าวต่อ “เพราะในอดีต ตอนที่องค์ปฐมกษัตริย์และอาจารย์ใหญ่ของพวกเราสร้างเมืองนี้ขึ้นมา มันเป็นเมืองแห่งความหวังของมวลมนุษยชาติ มันเป็นเมืองที่มีอิสรเสรีไม่ต่างไปจากก้อนเมฆขาวบนท้องฟ้า ต่อให้ทั่วดินแดนถูกปกครองด้วยวิหารเทพพงไพร แต่ที่นี่… ผู้คนจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี…”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว

แนวคิดในการสร้างเมืองทันสมัยใช้ได้เลยนะเนี่ย

ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ

หลินเป่ยเฉินนึกชอบแนวคิดในการสร้างเมือง

ดังนั้น นี่เท่ากับว่าองค์ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่กับอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งเมืองไป๋หยุนตั้งตัวเป็นศัตรูกับวิหารเทพพงไพรมาตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ?

ความเกลียดชังระหว่างพวกเขามีมานานแล้ว?

นี่แสดงให้เห็นเลยว่าการก่อตั้งเมืองไป๋หยุน ต้องมีปีศาจนอกระบบเทพเจ้าคอยหนุนหลังอยู่แน่นอน…

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความลับที่ไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในตำราประวัติศาสตร์

ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่ตำราไม่ได้บันทึกเอาไว้

“เจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพีกระบี่ อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง และบัดนี้ เจ้าก็กำลังจะได้เป็นท่านเจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองไป๋หยุน เจ้าคงดีใจมากเลยใช่ไหมล่ะ… หลินเป่ยเฉิน นับจากนี้ไป เจ้าคือท่านเจ้าเมืองรุ่นที่ 4 ของเมืองไป๋หยุน”

เมื่อพูดจบ ศีรษะของฉู่อวิ๋นซุนก็เอียงพับไปข้างหนึ่ง โลหิตไหลทะลักออกมาจากปาก

เดี๋ยวก่อนสิเฮ้ย

อย่าบอกนะว่าตายแล้ว?

พูดจบก็ตายเลยเหรอ?

ไม่คิดจะสั่งเสียอะไรให้ค้าง ๆ คา ๆ แบบที่พวกจอมยุทธ์ในหนังจีนชอบทำกันบ้างหรือไง?

หรือว่าฉู่อวิ๋นซุนมีค่าเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น?

หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

เขาเองก็ไม่ได้มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับฉู่อวิ๋นซุน มิหนำซ้ำ ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากันอย่างชัดเจน แต่ดูจากรูปการที่เป็นอยู่ในขณะนี้ บางทีท่านเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้อาจไม่ใช่บุคคลคนเลวร้ายก็เป็นได้กระมัง?

ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน

“อ้อ จริงด้วยสิ ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง”

ฉู่อวิ๋นซุนพลันผงกศีรษะกลับขึ้นมาลืมตาอีกครั้ง “จำเอาไว้ว่าอย่าลืมนำวัตถุวิเศษแห่งเมืองไป๋หยุนกลับมาด้วย เพราะมีแต่วิธีนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะได้เป็นท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนอย่างแท้จริง”

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

“ท่านยังไม่ตายอีกหรือ?”

เด็กหนุ่มหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ตายแล้ว จริงด้วยสินะ ข้าตายแล้ว เดี๋ยวจะกลับไปตายต่อนี่แหละ… อะเฮือก”

ศีรษะของฉู่อวิ๋นซุนเอียงพับไปด้านข้างและดวงตาก็หลับลงอีกครั้ง

คราวนี้ไม่มีลมหายใจ ตัวคนได้ตายไปแล้วจริง ๆ

กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินกระตุกระริก

นับว่าฉู่อวิ๋นซุนมีความพิเศษไม่เหมือนใครจริง ๆ…

ขนาดจะตายแล้วยังจะเอาฮาอีก