ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 213 กระจกทองเหลืองแตกสลาย นักพรตดำเนินออกมา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตอนที่ 213 กระจกทองเหลืองแตกสลาย นักพรตดำเนินออกมา

แสงสว่างนั้นมาจากวัชระแสงที่งดงามมาก มันมีลักษณะหัวกลมมนและด้านท้ายแหลม

วัชระแสงเล่มนั้นถืออยู่ในมือที่ทั้งน่ากลัวและมั่นคงนั่น

มือนั้นเป็นของทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นที่ทะลุหมอกแห่งแสงออกมา

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงเชี่ยวชาญการสู้รบ ถูกเปี๋ยยั่งหงขนานนามว่านู่หั่ว ในแววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มันเต็มไปด้วยความดุร้ายและความปรารถนาที่ต้องการสังหาร

ในสายตาของเขานั้น ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์เหล่านี้ก็คล้ายกับมดนั่นเอง

เขาถูกพวกมดเหล่านี้กักเอาไว้เป็นเวลานานถึงเพียงนี้ ถือเป็นความอัปยศที่ยากจะยอมรับได้

เพื่อเป็นการลบล้างความอัปยศอดสูเหล่านี้ เขาตัดสินใจสังหารคนทั้งบ้านนี้ ไม่สิ เขาตัดสินใจสังหารผู้คนทั้งเมืองนี้ให้สูญสิ้น

ของเหลวที่คล้ายกับแสงที่เสมือนจริงเหล่านี้ กระจัดกระจายออกไปตามท้องฟ้าที่อยู่รอบด้านตามการเคลื่อนไหวของเขา พวกมันนำพาความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวที่ยากจะจินตนาการออกไปด้วย

สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ได้สัมผัสกับของเหลวที่คล้ายกับแสงเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นน้ำแข็งทันทีในเวลาต่อมา และก็จะสูญสิ้นลมหายใจรวมถึงจิตวิญญาณไปในที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นวิหคที่โผบินอยู่บนท้องฟ้าหรือว่าบุปผาพฤกษ์ที่อยู่ริมลำธารด้านนอกบ้าน

ของเหลวที่ราวกับแสงสีทองนั้นกระจัดกระจายลงบนค่ายกลพระราชวังหลีอย่างต่อเนื่อง สายฟ้านับไม่ถ้วนสาดส่องไปทั่วทั้งรัตติกาล ทั้งยังมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นและเสียงการปะทะอยู่

บนท้องฟ้า ศิลาดาวตกหมุนตัวด้วยความเร็วสูง เส้นทางสีดำนั้นเล็กลงทุกที กิ่งหลิวสีเข้มก็ปรากฏจุดด่างดำขึ้น อาวุธล้ำค่าแห่งพระราชวังหลีต่างก็ถูกยับยั้งเอาไว้

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นมองบรรดามดปลวกเหล่านี้กำลังดิ้นรนอย่างยากลำบาก อารมณ์ที่ดุร้ายระอุขึ้นเรื่อย แค่นเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความปรารถนาในการสังหารขึ้น

เสียงคำรามนั้นตกกระทบลงพื้น ม้วนตัวเอาคลื่นลมนับไม่ถ้วนขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำลายแก้วหูของเหล่านักพรตไปมากมายเท่าไหร่แล้ว เหล่านักพรตที่มีระดับขั้นอ่อนแอหน่อยก็ถึงกับเป็นลมไปเลย

ในที่สุดแจกันใบนั้นก็แตกลง แตกละเอียดเป็นชิ้น ก็เหมือนกับท้องฟ้าสีครามผืนนั้นที่ปรากฏเหนือศีรษะของผู้คนนั่นเอง

ศิลาดาวตกและกิ่งต้นหลิวสีเข้มรวมไปถึงอาวุธล้ำค่าของพระราชวังหลีต่างก็บินกลับมาสู่ในมือของราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ

ค่ายกลพระราชวังหลีถูกทำลายในที่สุด พวกเขาที่กำลังบังคับค่ายกลอยู่ได้รับการตอกกลับอย่างรุนแรง ต่างก็มีสีหน้าซีดเผือดผิดปกติ ในดวงจิตของแต่ละคนเกิดคลื่นยักษ์ซัดโถม

ถังซานสือลิ่วที่อยู่เคียงข้างจุดศูนย์กลางค่ายกลได้รับการปะทะรุนแรงที่สุด เขากระอักเลือดออกมา ร่างกายโอนเอนราวกับจะล้มลง ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือใกล้จะรับมือไม่ไหวแล้ว

หญิงสาวที่ขายเครื่องประทินโฉมผู้นั้นรุดมายืนข้างกายเขา ประคองเขาเอาไว้ เหล่าผู้กล้าฝีมือดีตระกูลถังเหล่านั้นของตระกูลถังเร่งมายืนอยู่รอบกายเขา

นักเล่นพิณตาบอดพยายามยืนขึ้นอีกครั้งอย่างยากลำบาก มือที่เต็มไปด้วยโลหิตนั้นกรีดกรายลงบนสายพิณด้วยความสั่นเทา เกิดเสียงพิณที่แหบพร่าขึ้นมา

รัตติกาลม้วนตัวมาจากส่วนลึกของตัวบ้าน ไม่ได้ถูกทำลายลงด้วยเสียงพิณ มันม้วนตัวเป็นเกลียวไปถึงหน้าบ้านด้วยความรวดเร็ว

ราชามารเดินออกมาจากด้านในของรัตติกาล

มือของเขาถือเอาวัชระศิลาไว้ในมือ แม้จะมองไม่ออกว่ามันมีความพิเศษอย่างไร แต่ราวกับมันมีพลังมารบางอย่างอยู่ในนั้น และดึงดูดเอาสายตานับไม่ถ้วนไว้

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นเดินออกมาจากด้านในของรัตติกาล เพียงอยู่ด้านในท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปอีกด้านของทุกคน

เส้นแสงนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้า ไม่ได้ทำให้รัตติกาลหายไป แต่กลับปกคลุมทั้งรอบด้านของตัวบ้านเอาไว้เฉกเช่นเดียวกับรัตติกาล

ทุกคนในที่นั้นสามารถสัมผัสได้ถึงพลังกดดันที่ยากจะจินตนาการได้ ทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเผือด

นักบวชร้อยกว่าท่านข่มกลั้นความเจ็บปวดที่ผันผวนอยู่ด้านในดวงจิตของตน ก้มหน้าลง ต่างก็กำลังสวดมนต์คัมภีร์เต๋าอย่างต่อเนื่อง

เสียงสวดมนต์ด้วยใจที่เคารพศรัทธาแน่วแน่ สะท้อนกลับไปมาอยู่ทุกทิศทางรอบตัวบ้าน ต้านทานพลังแก่กล้าที่อยู่ด้านในเส้นแสงนั้น และแน่นอนว่ามันปรากฏออกมาซึ่งบรรยากาศอันน่าเศร้าสลด

ราชันแห่งหลิงไห่และอันหลินรวมไปถึงคนอื่นๆ เข้ามาถึงด้านหน้าประตูใหญ่ของบ้านหลังนี้เช่นกัน พวกเขาต่างจ้องมองไปยังราชามารที่อยู่ด้านบนบันไดศิลา

พวกเขาล้วนทราบดีว่าวันนี้หากต้องการจะมีชีวิตกลับไป ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือต้องชิงลงมือก่อนทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น สังหารราชามารให้สิ้นเสียก่อน

คำถามก็คือ ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นจะเปิดโอกาสนี้ให้ตนหรือ

“ข้าไม่ได้อยากจะใช้วิธีการนี้ในการสังหารพวกเจ้า”

ราชามารคุยกับพวกเขาอย่างทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ดีให้ทางเลือกอื่นกับข้ามากนัก”

นักเล่นพิณตาบอดเงียบขรึมไม่เอ่ยคำใด ราชันแห่งหลิงไห่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถังซานสือลิ่วกุมเอาไม้คฑาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือเสียแน่น

พวกเขาฟังออกว่าคำพูดที่ราชามารเอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องจริง

……

……

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองคนที่อยู่ห่างกันร้อยกว่าลี้ ต่างก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน

ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำแดง ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาหรือว่าเมืองศิลา ล้วนถูกปกคลุมอยู่ด้านในของแสงสว่างผืนนั้น

ด้านในแสงสว่างผืนนั้นแอบซ่อนพลังกดดันที่ยากจะจินตนาการได้เอาไว้ มันกำลังป่าวประกาศการมาถึงของสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่และเหนือชั้นกว่าจากอีกโลกหนึ่ง

เมื่อมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าตอนนี้ ก็รับรู้ได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านในเส้นแสงเหล่านั้น ประชาชนในเมืองไป๋ตี้ต่างก็หวาดวิตกจนถึงขีดสุด หลายคนตกใจเสียจนนั่งลงกับพื้น แม้แต่นักรบเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านั้นสีหน้าก็ยังเปลี่ยนเป็นซีดขาว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความกล้าหาญในการสู้รบเลย

เหล่าผู้อาวุโสเผ่าปีศาจที่เดินทางเข้าสู่เขตพระราชฐานเหล่านั้น อาทิเช่นจินอวี้ลวี่ เสี่ยวเต๋อ หรือหัวหน้าเผ่าชื่อ หัวหน้าเผ่าสยง พวกเขาล้วนมองเห็นทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองคนที่อยู่บนท้องฟ้า พวกเขายังคงยืนอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ตกใจจนล้มคว่ำลงไป แต่สีหน้าของพวกเขาก็ไม่น่าดูนัก

บนหอทัศนะยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จักรพรรดิขาวอาจจะกำลังปะทะอยู่กับมู่ฮูหยิน อย่างนั้นผู้ใดจะมาจัดการทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองคนนี้เล่า

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่มีทางจะเอาชนะได้ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกโกรธและไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าไม่สบายใจยิ่งนัก”

จินอวี้ลวี่ล้วงเอาขวานด้ามยักษ์ที่เหน็บเอาไว้ตรงบริเวณเอวของหัวหน้าเผ่าสยงออกมา มองไปทางเสี่ยวเต๋อก่อนเอ่ยออกมาว่า “ท่านโยนข้าขึ้นไปบนท้องฟ้าที ข้าอยากจะลองฟันพวกเขาสักขวานหนึ่ง”

ในที่นั้นถือว่าเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด ระดับขั้นสูงที่สุด แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าเห็นต่าง

ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจที่เหลือเหล่านั้นก็ไม่สบายใจเช่นกัน

เสี่ยวเต๋อเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ข้าวางแผนว่าจะนั่งนกอินทรีดำขึ้นไปแทงเจ้าผู้นั้นสักหนึ่งแผล”

หัวหน้าเผ่าสยงเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าโยนเอง”

จินอวี้ลวี่แสดงท่าทีเห็นด้วย เขาชี้ไปยังทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่อยู่เหนือเมืองไป๋ตี้ ก่อนเอ่ย “ข้าจะโจมตีผู้นี้”

เสี่ยวเต๋อชี้ไปยังบริเวณเหนือเทือกเขาที่อยู่ตรงข้ามแม่น้ำแดง ก่อนเอ่ย “อย่างนั้นข้าจะโจมตีผู้นั้น”

……

ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจไม่สบายใจ สาเหตุใหญ่ๆ มาจากท่าทีของทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสอง

สีหน้าและอารมณ์ทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองต่างก็เฉยเมยยิ่งนัก ต่อให้รับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ของเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจ แต่สีหน้าของพวกเขาก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ราวกับว่าสำหรับพวกเขาแล้ว เมืองนี้ หรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งตามคำบอกเล่าของดินแดนแห่งนี้ ล้วนเป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้น

พวกคนที่มีสีหน้าหวั่นวิตก หากไม่ใช่เพราะแออัดอยู่ด้วยกันเกินไป ก็เกรงว่าจะกลัวจนแข้งขาอ่อนแรงลงได้ทุกเมื่อ คนเหล่านั้นยิ่งถือเป็นมดปลวก

ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแห่แหนกันมายืนบนท้องถนน หรือไม่ก็กระจายตัวออกไปรอบทิศทาง หรือไม่ก็มองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ริมถนนนั้นวันนี้ไม่มีผู้คนเลยสักคน แมวป่าตัวหนึ่งค่อยๆ ย่องเข้าไปในครัวด้านหลัง ถือโอกาสนี้ขโมยรับประทานเนื้อก้อนนั้นที่เพิ่งปรุงสุกใหม่

ในห้องบางห้องบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมจู่ๆ ก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ คล้ายกับเสียงกระจกแตก

แมวป่าตัวนั้นเพิ่งจะกระโดดขึ้นไปบนเตาพลันตกใจกลัว มันส่งเสียงเหมียวก่อนจะกระโจนออกไปทางหน้าต่าง แล้วหายตัวไปทันที

ผู้คนล้วนมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าซีดขาว ต่างก็ไม่มีใครสังเกตหรือได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยม แล้วก็ไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานนักนักพรตเต๋าที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวก็ดำเนินออกมาจากในโรงเตี๊ยม

นักพรตผู้นี้แววตาเงียบขรึม ผมดำขลับไปทั้งศีรษะ ไม่มีแม้แต่ผมสีดอกเลา ระหว่างที่กำลังดำเนินอาจจะกล่าวไม่ได้ว่ามีท่าทีสบายๆ แต่เมื่อเลิกคิ้วขึ้นกลับดูสูงส่งเหยียดคน

หากมองจากเพียงรูปลักษณ์ภายนอก อย่างมากเขาคงอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ แต่หากมองจากบารมีแล้ว อย่างน้อยเขาคงมีชีวิตอยู่แล้วประมาณสองร้อยปี และคงใช้ชีวิตอยู่ในวัดวาอารามเป็นแน่ แต่หากมองจากแววตา หากมีคนอื่นเอ่ยว่าเขามีชีวิตมาแล้วหลายพันปีก็ต้องมีคนเชื่อ แน่นอนว่ามันเป็นผลมาจากการพเนจรในยุทธภพเป็นแน่

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนักพรตเต๋าสวมเสื้อคลุมสีเขียวผู้นี้

เขาดำเนินมาอยู่ท่ามกลางผู้คน เฉกเช่นเดียวกับประชาชนเผ่าปีศาจ และเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าเช่นกัน มองไปยังทูตสวรรค์เซิ่งกวงทั้งสองนั่น

ในแววตาของบรรดาประชาชนเผ่าปีศาจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สิ้นหวัง มีแม้กระทั่งความบ้าคลั่งที่ยากจะอธิบาย

ในแววตาของนักพรตชุดเขียวผู้นี้ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ มีเพียงความเฉยเมย คล้ายกับกำลังมองดูสิ่งที่ตายแล้วก็มิปาน